จดหมายระหว่างลุงขวดและพี่ครรชิต 2

จดหมายถึงลุงขวด และ ความคิดเห็นของเพื่อนๆ EPISODE 2

จดหมายจาก ครรชิต ไพศาล 5/12/45


ครรชิต wrote:
แสดงว่าลุง เป็นพี่ของผม เพราะ ฉะนั้น ผมเรียก ลุงขวด ได้ สนิท ปาก นะครับ

ที่ผมยก มาเป็น EPISODE 2 เพราะ ผม มีเรื่องอยากเล่าให้ลุง มัน ยาว ไปสักนิด หวังว่าลุงคงไม่เบื่อ น้องคนนี้เสียก่อน นะครับ

ลุงขวด ครับ ผมก็เคยมี อดีต เรื่องหุ้นอันขมขื่น มาเหมือน กับ ลุงขวด นั้นแหละ อยากเล่าให้คนหัวอกเดียวกันฟัง

คือ ผม เริ่ม รู้จัก หุ้น เมื่อ มีเพื่อนคนหนึ่ง เขามา ขายหุ้น BBL ให้ตั้งแต่ ราคา พาร์ 100 บาท เขาขายให้ ในราคา 200 บาท ผมยังไม่รู้จักเลยว่าเขาซื้อขาย กันในตลาดหลักทรัพย์ อย่างไร ไม่รู้ ว่าจะหาข้อมูล ของ บริษัท ได้ที่ไหน ธนาคารก็ส่งปันผลมาให้ทุกปี พอเขามีเพิ่มทุน ก็ซื้อเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ ตามสิทธิ ถือยาวอยู่ประมาณ 4 ปี จนเขาแตกพาร์ เป็น 10 บาท ราคา BBL ขึ้น มาเป็น 150 บาท ต่อ หุ้น เห็นไหมครับผมถือยาว เงิน 20 บาท มันกลาย เป็น 150 บาท ภายใน 4 ปี นี้ยังไม่รวมปันผล และ หุ้นเพิ่มทุน ที่ได้รับอีกต่างหาก

ช่วงนั้น มีเพื่อน วิศวกร ของผม คนหนึ่ง เขาลาออกมาจาก การไฟฟ้าภูมิภาคกรุงเทพฯ ลาออกมาเล่นหุ้นอยู่ที่ Broker ที่หาดใหญ่ เขา ซื้อๆ ขายๆ เร็วๆ อย่างที่นักเก็งกำไรชอบทำกันอยู่ นี้แหละ ผมถึงได้รู้จัก การซื้อขาย หุ้น ในตลาด หลักทรัพย์ ก็เลยนึกมันขึ้นมาบ้าง เลยเอาหุ้น BBL ทั้งหมดที่ผมมีอยู่ ขายออกไป ด้วยราคา 150 ต่อหุ้น เพื่อ นำเงิน มาเล่นหุ้น เก็งกำไร ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อมูล เกี่ยวกับ บริษัท ต่างๆ อยู่ในสมองเลย ไม่รู้ แม้กระทั้ง ว่าชื่อย่อ นั้น คือบริษัทอะไร ,ค้าขายอะไร , มีหนี้สิน ,ทรัพย์สิน , ส่วนผู้หุ้น และ กำไรสะสม เท่าไร ซื้อขายเก็งกำไร ด้วยต่อมใต้สมอง อย่างเดียว(ไม่ได้ใช้สมอง) เลือดมันสูบฉีดแรงดี ด้วยความตื่นเต้น เห็นตัวไหน ราคาเริ่มขยับวิ่ง ปริมาณหุ้นเริ่มเพิ่มขึ้น หลังจากที่อยู่นิ่งมานาน ก็รีบซื้อ พอได้ กำไรนิดหน่อย ก็ รีบขายแล้ว เพราะไม่ รู้ ว่ามันจะลงเมื่อไหร่ กลัวจะเสียโอกาสทำกำไร พวก Broker บอกว่า แนวรับ แนวต้าน อยู่ตรงไหน ก็เชื่อเขาไปหมด โดยไม่รู้ เหตุผลเลย ว่าทำไม มันขึ้น และทำไม มันลง ขาดทุนบ้าง กำไรบ้าง ทำอยู่อย่างนี้เป็นปี พอถึงวันขึ้นปีใหม่ ผู้จัดการ บริษัท Broker ที่ผมไปซื้อขายอยู่ เขามาเยี่ยมที่บ้าน นำ ของขวัญ ,กระเช้าผลไม้ ,ขนม, เหล้านอก มาให้ เป็นของขวัญปี ใหม่ แต่ ผมมาตรวจดู เงินใน พอร์ต ของผม มันแทบจะเท่าเดิม ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาเลย แถม หุ้น BBL ที่ขายไป มันดันวิ่งขึ้น ไปชนเพดาน ที่ 250 บาท ผมไม่มีปัญญาซื้อคืน ขณะนั้น ฟองสบู่ ใกล้จะแตกแล้ว แต่ผมก็ยังหลง เป็น แมงเม่า หลงแสงไฟ จากกองไฟ ที่กำลังจะเผาเราให้เป็นจุล อยู่เหมือนเดิม ปีต่อมา ฟองสบู่แตก ผม ติดหุ้น SITCA , NAVA , NFS , TMB ผมก็ยังไม่รู้ จัก ข้อมูลพื้นฐาน ของบริษัท ที่ติดนี้ อยู่ดี SITCA ล้ม NANA ล้ม NFS และ TMB โคม่า มูลค่าพอร์ตลงทุนของผม จาก 1,200,000 บาท มัน เหลือ อยู่ แค่ 100,000 บาท โชคยังดี ผมกันเงินบ้างส่วนออกมาบ้างแล้ว

ผมหันหลังให้ตลาดหุ้น พยายามทำใจ นึกเสียว่าเป็นค่า ลงทะเบียน เรียน วิชา การลงทุนในทางที่ผิด ซึ่งผมได้รู้อย่างเดียวว่าเป็นวิธีที่ผิด แต่ ก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าทำไม ถึงผิด

จนมาปีนี้ ผมได้อ่าน หนังสือ วาทะคนแถวหน้า “วาทะของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ “ ที่ ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล และ หนังสือ ตีแตก ที่ ดร. นิเวศน์ เขียน และ หนังสือ เล่นหุ้นผ่านเนต ของคุณโชค ไพศาล (นามสกุลมาตรงกันได้อย่างไร ก็ไม่รู้ เขาไม่ได้เป็นญาติกับผม นะ ลุงขวด เดี๋ยวหาว่าผมเชียร์ หนังสือ ของญาติผมอีก ) ผมจึงได้รู้ ว่าผมผิดตรงไหน ขอขอบคุณ ท่านผู้เขียนหนังสือทั้ง 3 ท่าน และ ขอขอบคุณ องค์การโทรศัพท์ ที่มี FREEINET ให้ได้ค้นหาข้อมูล พร้อมทั้ง ขอขอบคุณ ตลาดหลักทรัพย์ ที่ได้ทำ Web ทะเบียนประวัติ บริษัท ย้อนหลังและปัจจุบันไว้ให้นักลงทุนได้เข้าไปค้นดูได้ตลอดเวลา

วรรคทอง ในหนังสือ ที่จับใจ ผมมากที่สุด

" ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ ถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี"

ประกอบกับความกดดัน ของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ที่เคยได้รับ ตั้งแต่ 13% ค่อยๆ ต่ำลง เหลือ 2% มันช่างสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจ ให้กับคนที่ ถูกสอนมาให้อดออม มาตั้งแต่เด็กๆ ในวันที่พ่อพาไป ฝากเงิน ที่ ธนาคารออมสิน ถือกระปุกออมสินไปให้พนังงานทุบกระปุเอาเหรียญออกมานับ แล้วพ่อก็บอกว่า “ออมสิน ออมสิน ออมสิน อดออมไว้กินวันหน้า” อดออมตลอดมาจนอายุใกล้จะ 50 ดอกเบี้ย 2% กินพอที่ไหน แถมหักภาษี ดอกเบี้ยอีก เลยตัดสินใจ มาลงทุน เป็น Chairsholder (ต่อไปนี้เวลาผมคุยกับลุงขวด ผมขออนุญาต ใช้คำนี้แทน ผู้ถือหุ้นที่ ชอบนั่งแล้วไม่ยอมลุก ตลอดไปนะครับ) เริ่มต้นใหม่ เมื่อ ก.พ. ปีนี้

ผิดหรือถูก ต้องพิสูจน์ กันด้วยเวลา เหมือน ที่ ดร. นิเวศน์ เขียนหัวข้อบทความ ว่า “ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์หุ้น”

ใช่ไหมครับ ลุงขวด

อีกอย่างหนึ่ง ที่เมื่อวาน ลุงขวด บอกว่า ลุง ตีราคา ในกลุ่มบันเทิงไม่ถูก เพราะ ค่า p/e และ p/bv สูง ๆ กัน ทุกตัว ผมก็เห็นด้วย กับ ลุง ผมก็เลย กลัวๆ กล้าๆ ที่ จึงเข้าถือ GRAMMY ไว้ น้อย นิดเดียวเอง คือ ซื้อ ไว้ เพียง 500 หุ้น ตอนพาร์ 10 บาท ที่ราคา 118 บาท ตอนก่อนปันผล ได้รับปันผล มาแล้ว 10 บาท/หุ้น กับกลางปี หลังแตกพาร์ 1 บาท รับอีก 0.5 บาท/หุ้น ยังเสียดาย ที่ตาผมไม่ถึงเหมือนไก่เห็นพลอย ดันคิดว่าเป็นก้อนกรวด ไปขายออกเสียอีก 2000 หุ้น เหลือ 3000 หุ้นเอง ต่อไปใครเห็นเป็นก้อนกรวดอีก แล้วคว้างทิ้งลงมาต่ำๆ ก็จะทยอยๆ ไปพอมีเงินเหลือเก็บ เพราะผมมานั่งนึก พิจารณา ดูอีกที่ ก็เห็นว่าผมตีราคา ของ GRAMMY ผิด

GRAMMY ไม่ได้มีแค่ อาคาร, ห้องอัดเสียง หรือ เครื่องไม้เครื่องมือ ที่สามารถ ตีเป็นตัวเงิน แล้วนำมาเปรียบเทียบ กัน ตามหลักของนัก บัญชี เขาทำกันได้

มูลค่าของ GRAMMY ยังมี ทรัพย์สินที่ ผมเองก็ประมาณค่าไม่ถูกเหมือนกัน คือ

1.น้องๆ ดารา ทั้งหมดใน GRAMMY (ถ้าเป็นนักฟุตบอลในอังกฤษ เขาคงประเมินค่าตัว นักฟุตบอลกันได้) ไม่ ว่า หนุ่ม เบริด หนุ่ม มอร์ต สาว แค็ท ลูก พลับ และคน อื่นๆ อีกมาก มาย พวกเขา ร้องรำทำเพลง อาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นเหมือน เครื่องจักร ที่มีชีวิต ปั๊มเงิน ให้แก่ผู้ถือหุ้น น้องเขาเหนื่อย เขาควรจะได้มาก กว่าเราผู้ถือหุ้นซึ่งลงทุน แล้วคอยนั่งเชียร์ ผมจึงบอกว่า ผมพอใจแล้ว สำหรับ เงินปันผล 5% ที่น้องๆ ลูกๆ หลานๆ เขาหามาแบ่งให้ พวกเขาเหล่านี้ บางคนก็โรยรา คนรุ่นใหม่ ก็ขึ้นมาแทน ไม่ได้ขาดสาย โดยเฉพาะ หนุ่ม เบิร์ด ผมอยากปิดทองให้ทั่วตัว ผมบอกได้ว่าผมก็ตีราคา ทรัพย์สินมีชีวิต เหล่านี้ไม่ถูก เหมือนลุงขวด เช่นกัน

2.ทรัพย์สินทางปัญญา ลิขสิทธิเพลงจำนวนมหาศาล ของ GRAMMY ที่ จะเป็นทรัพย์สิน เครื่องจักร ที่มองไม่เห็นตัว เป็นเครื่องจักร ที่ไม่มีค่าเสื่อมราคา ไม่สูญสลาย เป็นเครื่องจักร ที่จะปั๊มเงิน ให้แก่ผู้ถือหุ้น อยู่ชั่วลูก หลาน หลิน เหลน ไม่รู้จักหมด เหมือนลูกๆของอาจารย์ สุรพล ที่ได้รับอยู่จนทุกวันนี้ ผมบอกได้ว่าผมก็ตีราคา ทรัพย์สินที่มองไม่เห็นตัวเหล่านี้ไม่ถูก เหมือนลุงขวด เช่นกัน

3.สายตาที่กว้างไกล และสมองอันทรงพลัง ตัวผู้บริหารใหญ่ คุณ นาย ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และทีมงาน ทุกคน ผมบอกได้ว่าผมก็ตีราคา ทรัพย์สินบุคลากร เหล่านี้ไม่ถูก เหมือนลุงขวด เช่นกัน

สรุปแล้วผมไม่รู้ ว่า มูลค่าที่แท้จริง ของ GRAMMY ควรจะอยู่ตรงไหน แต่ในความเห็นของผม ผมบอกได้เพียงอย่างเดียว ว่า มากกว่า ตัวเลขที่เห็นทางบัญชี

ลุงขวดเห็น ต่างจากผมหรือเปล่า ครับ


จดหมาย จากลุงขวด 5/12/45

ลุงขวด wrote:
เป็น ข้อเขียนที่ดีมากครับ เห็นด้วยทุกอย่างเลย ว่า ทำไมหุ้นในกลุ่มบันเทิง จึงว่า แพง อย่างนี้ P/E เฉลี่ยของกลุ่มอยู่ในระดับ 27 เท่า P/B ก็แถว 4.4 เท่า ซึ่งผมเคยบอกว่า ผมยอมรับได้สูงสุดเพียง 3 เท่า ถ้า 2 เท่าก็เริ่มขายแล้ว.......นี่กลุ่มบันเทิง เฉลี่ย 4.4 เท่า เลย ถือเป็นกลุ่มที่ไม่อยากถือเป็น ปี เคยเล่น grammy แถว 76 ได้มังครับ (สองปีก่อนมัง) และ bec ก็ แถว สองร้อยต้น ๆ วันก่อนมีกระทู้ ถามว่า 190 เศษ ๆ น่า ซื้อไหม ผมก็บอกว่า น่าซื้อลงทุนได้ เพราะผมเคยลงทุนแถว ต่ำกว่า 210 เล็กน้อย ไปขายแถว ประมาณ 250 บาท...ไม่ถือยาว เพราะ บอกว่า ดูค่าซ่อนเล้นที่ไม่เห็นด้วยตาเปล่า แบบที่คุณครรชิต บอกมา นั่น ถูกต้องหมด ค่าต่าง ๆ ในนั้นคิดลำบาก ถ้าเป็นค่าลิขสิทธิ์นั่นยังพอคิดได้ ว่าแบ่งกันอย่างไร แต่ค่าตัวของแต่ละคนในสังกัดนี่ซิ คิดไม่เป็นเลยครับ......แต่ในหมวดนี้ถ้าผลตอบแทน ดี และ สม่ำเสมอ ก็เหมาะแก่การลงทุน ต้องคิด ย้อน กลับ ว่า ปันผลเท่าใด ราคาทุน(ราคาที่เราซื้อมา) เท่าใด น่าลงทุนไหม..........แต่กลุ่มนี้ เวลาเศรษฐกิจขาลง ผมเกรงว่า มันจะลงไปมากซิครับ เพราะอยู่กลุ่มของ บริการที่ไม่ค่อยจำเป็น ไม่ใช่ ปัจจัยสี่ ที่เราต้องใช้อยู่เป็นประจำ

วรรคทองในหนังสือที่บอก เป็น แท้ อยู่ตามนั้น โดยเฉพาะเรื่อง ผู้บริหารที่โปร่งใส แบบ สมัยใหม่เรียกว่า good governance ธรรมาภิบาล เป็นหลักสำคัญ......ซึ่งตัวนี้จะแสดงมาเมื่อระยะเวลาผ่านไปแล้ว นั่นคือ ต้องดูประวัติย้อนหลังไปหลาย ๆ ปี การดำเนินการที่ผ่านมาและการให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น.........ซึ่งในเรื่อง นี้ต้องพึ่ง กลต ต้องเป็นคนดูแลผู้ลงทุน ต้องตามบริษัทฯ ต่าง ๆ ให้ทัน ว่า จะมาไม้ไหน.........มีอยู่ครั้งหนึ่ง หุ้นที่ผมถืออยู่มีหมายเหตุใน งบการเงิน ว่า "ไม่สามารถจะตรวจสอบรายละเอียดของบริษัทย่อยที่อยู่ในต่างประเทศได้" แค่นี้เอง ผม ก็ ผวา แล้วครับ.....แต่ก็โชคดี ในปีต่อมา เขา ก็ยกเลิก บริษัทฯ ย่อย อันนั้นไป อาจเนื่องจากการติดตามจาก กลต หรือ ด้านใดก็ไม่ทราบ

ส่วนเรื่องเล่นหุ้นตอนแรก ๆ ก็แบบเดียวกับคุณครรชิตแหละครับ จำได้ว่า เคยเห็น ว่า โวลุ่มโตราคาจะขยับ มาเช็คประวัติยอ้นหลังวันสองวัน วันหนึ่ง จำได้ว่า มีหุ้น BKP กรุงเทพฯ อะไรไม่รู้ รู้สึกว่า ในกลุ่มของ cp ตอนนี้เขายุบหรือรวมกับบริษัทฯ อื่น หรือไง ไม่ทราบ.......เห็นตัวนี้โวลุ่มโต ตอนนี้ บอก มาร์เก็ตติ้ง ว่า พรุ่งนี้เอาเลยนะ รายแรก ๆ ด้วย สั่ง mp เลย บอกจำนวนหุ้นเขาไป ไม่เกี่ยงราคา ตอนนั้น เขา เคาะกระดานกัน จึงได้ในอันดับแรก ๆ นั่นแหละ ได้แล้ว หลังจากนั้นก็ลงเลย ติดอยู่ ยอดก็เรานี่เอง..........จำได้ จน บัดนี้ อีกตัวก็ kmc กฤษฏานคร นี่แหละ เขาเล่นกันครับ พี่ ตอนนี้ ราคา 220 โวลุ่มมากด้วยซิ มีคนซื้อตลอด จะซื้อตามไหม ซื้อก็ซื้อ เรียบร้อย ครับ......ติดไปเลย 220 มาขายอีกที แถว 80 บาทมังครับ ถ้าถือถึงตอนนี้คง คงหน้ามืด อีกตัวหนึ่ง.........หุ้นที่ถูกปิด หุ้นที่ค่า 1 บาท ก็มีเหมือนกันทุกคนแหละครับ ใครเล่นหุ้นไม่มีบริษัทฯ ที่ถูกปิด หรือ ถูกลดค่า เท่ากับ 1 บาท ผมว่า แทบไม่มีนะครับ โดนกันทุกคน ไม่มากก็น้อยเท่านั้นเอง NAVA ผมก็ติดนะครับ ผมขอเป็นใบหุ้นมา ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้วซิ

เล่าประสบการณ์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้นเองครับ ไม่ได้หวัง เป็นอื่น ใด


จดหมายจาก ครรชิต ไพศาล 5/12/45

ครรชิต wrote:
ขอ ขอบคุณ ที่ลุงขวด อวยพร ให้เป็น Chairman เร็วๆ แต่ ผมคนตัวเล็ก มีเบี้ยน้อย แต่มีหอยเยอะที่ชายทะเลสงขลา ขอเป็นแค่ Chairsholder เกาะขาเก้าอี้ ของ Chairman ที่ ซื่อสัตย์ และ มีมันสมองที่ทรงพลังในการทำเงิน นำมาแบ่งปันให้กับผู้ถือหุ้น คนแก่ๆอย่างเรา ที่เตรียมตัว เลี้ยงลูกหุ้น ให้เติบโต ก็หวังว่า

"ยามแก่เฒ่า หวังแต่เจ้าช่วยเลี้ยงดู"

ดังบทความ "เลี้ยงลูก-เลี้ยงหุ้น" ของ ดร. นิเวศน์ เขียนไว้ให้อ่าน

การซื้อหุ้น ปันผล กับ หุ่นเก็งกำไร นี้ผมเห็นแล้วว่ามันผิดกัน เพราะ วันที่ผมตัดสินใจซื้อหุ้น

TR ที่ 128 บาท ถึงจำนวนจะไม่มากนัก เมื่อต้นปี ผมได้ให้ราคาซื้อ ที่สูงที่สุด ในประวัติ 5 ปี ของบริษัท แต่ผมก็นอนหลับสบายใจไม่มีความกังวล สงสัยใดๆ ในลูกหุ้นตัวนี้ของผมเลย เมื่อมาถึงวันนี้ ราคาขึ้นมายืน 204 บาท โอ้ลูกรัก ขยันทำมาหากิน อย่าเกเรนะลูก

ซื้อ AYUD ก่อนปันผลก็สูงที่สุดในประวัติ 5 ปี ที่ 115 บาท หลังปันผล ผมเก็บเพิ่ม จนได้ราคาเฉลี่ย 105 บาท รับปันผลมาแล้วรวม 14.5 บาท ราคาปิดสุดท้าย 141 บาท โอ้ลูกรัก ขยันทำมาหากิน อย่าเกเรนะลูก

ผมขอยืนยันอีกครั้ง ผม ขอเป็นแค่ Chairsholder เกาะขาเก้าอี้ ของ Chairman ที่ ซื่อสัตย์ และ มีมันสมองที่ทรงพลังในการทำเงิน นำมาแบ่งปันให้กับผู้ถือหุ้น คนแก่ๆอย่างเรา เท่านั้นพอแล้ว

สวัสดี ครับ น้องๆ ที่เข้ามาคุยด้วย ยินดี ที่ได้คุยด้วย ตัวของผมชอบใช้ ชื่อ และ นามสกุล จริง เพราะ รู้สึกจริงใจดี ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร อยากรู้จัก ชื่อ และ นามสกุล ของเพื่อนๆ ทุกคน อยากรู้จัก ด้วยความจริงใจ เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้า เป็นอา กันตลอดไป แต่ถ้าไม่สะดวดก็ไม่เป็นไร ยังยินดีคุยด้วย ด้วยความจริงใจ เสมอ ครับ


จดหมายจาก ธิติพล ศรัทธาพร (นักดูดาว) 5/12/45
นักดูดาว wrote:
ขอแนะนำตัวครับ
ผมเกิดปีที่ลุงขวดจบปริญญาจาก มธ. ครับ ดังนั้น เรียกลุงคิดว่าเป็นที่ถูกต้องแน่นอน การศึกษาจบโทวิศวะ จุฬา ปี2543 ใช้นามปากกานี้เพราะตอนที่ไปอเมริกา เมื่อปีที่แล้ว เพื่อนๆฝรั่งชักชวนคุยเรื่องดาว(DOW) ก็เลยหันมาสนใจหุ้นไทยครับ

วรรคทองของผม "กฏข้อที่ 1. อย่าขาดทุน กฏข้อที่ 2.อย่าลืมกฏข้อที่ 1" ... ผมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดครับ

อาจารย์ลุงขวดครับ ผมทำการบ้าน TTL ไม่ค่อยได้ครับ จับประเด็นเรื่องความแข็งแรงของการเงินได้ หนี้สินน้อย ทรัพย์สินหมุนเวียนมาก ทึ่เตะตาเหลือเกินก็คือมีเงินสดเหลือเยอะครับ น่าจะปันผลได้ตามนโยบาย แต่ยังไม่เห็นจุดไหนที่ต้อง "ตีแตก" ในหุ้นตัวนี้เลย

อาจารย์ช่วยเฉลยด้วยครับ


จดหมายจาก tod 5/12/45
tod wrote:
ขอบคุณครับ
กับประสบการณ์และข้อเขียนดีๆ
ผมกำลังทำตัวเป็น Value investor อยู่เหมือนกันครับ
แต่บางครั้งความโลภก็บังตาบ้าง
ยังมีกิเลสอยู่นะ


จดหมายจาก RR 5/12/45
RR wrote:
ของ ผมเริ่มต้นหลังจากแชร์แม่ชม้อยล้ม ก็เลยมาป้วนเปี้ยนกับหุ้น โดยเริ่มกับcpf และtmb พยายามลดต้นทุนของcpf ลงมาให้เหลือราคา par แล้วถือไว้รับปันผล
ส่วน tmbขายหมดไปตั้งแต่ set index พันกว่าๆเพราะตอนนั้นจะไปกู้เงินจากbankมาสร้างบ้าน แต่พี่ที่ทำงาน
bankแนะนำให้ขายหุ้นแทน ผมก็เลยโชคดี รอดตัวจากการติดหุ้นในรอบนั้นไป ส่วนcpfที่ถือราคา parก็เก็บไว้รับปันผล ตอนนี้กำลังปลุกปั้นgrammy อยู่เช่นเดียวกัน
ถ้าสามารถลดลงมาเหลือราคาparได้ก็คงจะดี แต่ว่าตอนนี้ยังห่างไกลเป้าหมาย เพราะยังเฉลี่ยอยู่สิบกว่าบาทครับ แอบดูfancy ของลุงขวดกับคุณปรัชญาอยู่หลายรอบแล้วแต่ยังหาจังหวะเข้าไม่ได้ deltaก็สนใจ
แต่ว่าผมไปถือccetไว้ก่อนแล้วเลยไม่อยากเปลี่ยนตัว
กลุ่มอาหารผมกำลังหาอยู่ใครมีข้อมูลดีๆช่วยแนะนำด้วยจักเป็นพระคุณยิ่ง เพราะผมเป็นพวกรักจริงหวังแต่งนะครับ รับรองว่าไม่ทิ้งๆขว้างๆ
สำหรับพวกหุ้นหวือหวาก็พอมีไว้แก้เหงาบ้างแต่ไม่มากนัก


จดหมายจาก ลุงขวด 5/12/45
ลุงขวด wrote:
คุณ ดูดาวครับ อย่าเรียกอาจารย์เลย มันเขินครับ คุณดูดาวยัง มีความรู้ดีกว่าผมอีก......ได้แลกเปลี่ยนความคิดก็ดีอยู่แล้ว.....ลองอ่าน สิ่งที่คุณพบอีกที ตรง หนี้สินน้อย ทรัพย์สินหมุนเวียนมาก มีเงินสดเหลืออีกต่างหาก.....มันบอกถึงคุณค่าของมันแล้ว .....และลองไป อ่านวาทะสรุปของ WARREN BUFFETT ที่คุณครรชิต ยกมาสรุปว่า ซื้อหุ้นของกิจการที่ดีมีกำไรต่อเนือง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถในเวลาที่ราคาต่ำกว่า มูลค่าที่แท้จริงและถือตราบที่มันเป็นธุรกิจที่ดี.........แต่ทุกคนก็มาติด เรื่องสภาพคล่อง เพราะปีหนึ่งเทรดกันไม่กี่ หมื่นหุ้นเองครับ


จดหมายจาก GSM จากโต๊ะมาบุญครอง 5/12/45
GSM จากโต๊ะมาบุญครอง wrote:
ตอนลุงขวดเรียนจบ ป.ตรี ผมยังไม่เกิดเลยครับ ผม
อายุน้อยกว่าคุณนักดูดาว 3 ปีครับ ก็จบปริญญาตรีทาง
ด้านบริหารธุรกิจ และก็เศรษฐศาสตร์ ส่วนปริญญาโท
จบบริหารธุรกิจ (MBA) เมื่อปี 2543 ครับ

เริ่มเข้ามาลงทุนก็เริ่มจากสไตล์ Value Investor เลย
ครับ ก็แนวคิดในการลงทุนก็ได้รับอิทธิพลมาจากดร.นิเวศน์ และบัฟเฟทท์ครับ ปัจจุบัน Portfolio ของผม
ก็มีมูลค่าไม่มากครับ (เมื่อเทียบกับคุณลุงขวด) ก็อยู่ที่
ประมาณ 5 ล้านบาท

สำหรับหุ้นสภาพคล่องต่ำนั้น ผมคิดว่าเป็นหุ้นที่ดีกว่าหุ้น
ที่มีสภาพคล่องสูงครับ เนื่องจากเป็นหุ้นของกิจการที่ดี
ก็เลยมีแต่คนซื้อแล้วเก็บเอาไว้ ก็เลยทำให้ไม่เข้ามา
หมุนเวียนอยู่ในตลาด


จดหมายจาก ครรชิต ไพศาล 6/12/45
ครรชิต wrote:
ลุง ขวดครับ สำหรับหุ้นดีมีคุณค่า ในความคิด ของผม ไม่จำเป็นต้องมีสภาพ คล่องก็ได้ครับ เพราะผมจะซื้อเก็บ ไม่ได้ซี้อมาเพื่อขาย เพราะมี Value Investor อีกหลายคนที่ยังไม่แสดงตัวให้พวกเราเห็น ได้เข้ามาถือเก็บไว้ทั้งนั้นครับ ขอความกรุณา พวกน้องๆ ที่ชอบเล่นปั่นหุ้นเก็งกำไร อย่าเข้ามาปั่นให้มัน สูงเกินไปจาก มูลค่าที่แท้จริงของมันก็พอแล้ว ถ้าจะราคาราคาเพิ่ม เพราะมันมีกำไรสะสม ทรัพย์สิน พอพูนขึ้นมาก แล้วราคาค่อยๆ ขยับขึ้น ก็สมเหตสมผล

สภาพ คล่อง มี 500 หุ้น ก็สะสม 500 หุ้น ก็ได้ หุ้นพวกนี้ สะสม หลายๆ ตัว ผมก็ยังนอนหลับ สบายไม่กังวล เพราะราคา มันนอน ดุ๊กดิ๊ก ๆ เป็นดักแด้สะสมพลังงาน เมื่อพลังงานสะสมพร้อมแล้ว มันก็พองตัวเพิ่มขึ้นโผบินเป็นผีเสือ ไปสู่ที่ ที่ผีเสือควรจะอยู่ แล้วออกไข กลายเป็น หนอนและกลายเป็น ดักแด้ นอน ดุ๊กดิ๊ก ๆ สะสมพลังงานอีก เมื่อพลังงานสะสมพร้อมแล้ว วัฏจักรของชีวิต ก็ดำเนินต่อไปอีก ตามรูปแบบพิมพ์เขียวทางพันธุกรรม ของมัน

เมื่อเราเลี้ยงมันไว้จนโต ผลิ ดอก ออกลูก มาเป็นปันผล ให้ คนแก่ๆ อย่างผม อย่าง ลุงขวด ได้เก็บกิน ทุกปี

ถ้า เพื่อนๆ ไม่เชี่อ ลองไปตรวจดูประวัติ ตลอด 5 ปี ราคาของ หุ้นพวกดู

ตัวอย่าง ดู หุ้น TR ที่ผมซื้อ เก็บ ตามสภาพ ตามที่มี และ ตามที่เป็น สภาพ ของเขา ในเวลา 5 ปี ราคาเขา จาก 19.5 บาท มาเป็น 204 บาท (ต้องเรียก ว่า เขา ไม่เรียกว่า มัน เพราะ เขาเป็นลูกหุ้น ของผมแล้ว เหมือน คุณทองแดง ถ้าอยู่ข้างถนน เรียกว่า มัน แต่พอเข้าไปถวายตัวในวังแล้ว ต้องว่าเรียกว่า คุณ ใช่ไหมครับ)

ผมชอบเก็บหุ้น ลักษณะนี้ เก็บไว้ หลายตัว เช่น FE , P-FCB , WACOAL , TF ,TR ,AYUD, TWFP คิดว่า เป็นการ ปลูกผักสวนครัว รั้วกินได้ ไว้เก็บกิน เมื่อ เขาออก ลูกปันผล

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘