DSM concept ตอนที่ 42
แต่ถ้าตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเข้าสู่ตลาดหุ้น ควรเริ่มด้วยเงินน้อย ๆ และห้ามเพิ่มเงินจนกว่าจะทำเงินได้ด้วยตัวของพอร์ตเองครับ ไม่งั้นเราจะถมเงินลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งอันตรายมาก
..............
ตอบคุณ yellowest ครับ
1. ช่องว่างของตลาดหุ้น ใช้เพื่อซื้อหุ้นคืนครับ
2. ช่องว่างนี้ ผมแค่ตั้งชื่อตามความเข้าใจของผมครับ ผมอ่านเจอประโยคหนึ่งในหนังสือพ่อรวย และ ลองผูกปมไปผูกปมมา ก็เริ่มเอะใจว่า เอ๊ะ ..... มันใช้ได้นี่นา จากนั้น มันก็ทำให้ผมสามารถเข้าซื้อหุ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกลัวว่าซื้อแล้วราคาจะลง เลยครับ มันสร้างความมั่นใจให้แก่ผม เสมือนว่า เรามีไม้ตายที่จะเอาเงินคืนได้ทุกเมื่อครับ ( งง มั้ยเนี่ยะ )
3. การซื้อหุ้นของผม ผมอยากเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบ วอเรน บุฟเฟต แต่ ... เพราะมีช่องว่างตัวนี้ ทำให้ผมคิดว่า ในเมื่อเราทำเงินได้ทั้งสองทาง ระหว่างที่เราถือหุ้น แล้วราคามันลง ทำไมเราไม่หาผลประโยชน์จากการขึ้นลงของราคาหุ้นละ ผมจึงเล่นแบบนี้ครับ แต่ภาพรวม ๆ คือ ต้องการถือหุ้นตลอดชีวิตครับ และ ต้องการ รายได้จากกระแสเงินสดแฝง และ รายได้จากเงินปันผล ด้วยครับ
...........
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี - [ 29 ก.ค. 47 01:18:23 ]
ความคิดเห็นที่ 55
พี่อาซ้อสี่ครับ
อย่างที่หนังสือพ่อรวยบอกครับ เล่มเกษียณเร็ว ๆ หน้า 199 บรรทัดแรกเลย
.... พ่อรวยถือว่า การเพิ่มค่า ( กำไร ) นั้นเป็นโบนัส ....
เพราะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เช่นกัน การโตขึ้นของพอร์ต จะได้กำไรเป็นโบนัส ( นั้นคือ กำไรเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะรายได้จากกระแสเงินสด จะมากกว่ากำไรหลายเท่า ครับ )
.........
ผมไปนอนก่อนนะครับ ง่วงแล้ว
..........
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี - [ 29 ก.ค. 47 01:50:54 ]
ความคิดเห็นที่ 56
ถึงคุณเด่นศรีครับ
รบกวนถามอีกแล้วครับ
"ตอนที่ผมทำเริ่มแรก ผมมีหุ้นอยู่ตัวเดียว ที่ราคา 25.00 x 40,000 หุ้น ผ่านไป 1 ปี มันกลายเป็น 15.00x100,000 หุ้น
นั่นคือ หุ้นราคาตกลงมาเกือบ 10 บาท แต่ปริมาณหุ้นผมมากขึ้นเป็นเท่าตัว มูลค่าพอร์ตก็ยิ่งโตตามด้วยครับ "
1. ผมสงสัยว่า มันเป็นไปได้ยังไง เพราะตอนแรกจาก 1ล้านบาท กลายมาเป็น 1.5ล้าน แล้วหุ้นเยอะขึ้นได้ยังไงครับ
เพราะถ้าขายหุ้น 10% เวลาหุ้นลง แล้วซื้อคืน เราก็ซื้อคืนในปริมาณหุ้นเท่าเดิม
2. แล้วคุณเด่นศรี บอกว่า ได้กระแสเงินสดแฝง แต่ว่า มันต้องขาดทุนค่าคอมฯ ด้วยอีกครับ
3. ที่คุณเด่นศรี ขายหุ้น 10% เวลาหุ้นลง ก็เพราะว่า ไม่รู้ว่ามันจะลงไปเท่าไร แต่ถ้าหากว่า คุณเด่นศรีพอที่จะรู้ว่า ราคามันจะลงไปเท่าไร มันจะไม่ดีกว่าเหรอครับ ถ้าหากว่า ขายทีเดียว 100% แล้วไปรับคืนมาให้หมดที่ราคาต่ำกว่า
ขอบคุณ คุณเด่นศรีอีกครั้งครับ
จากคุณ : yellowman (yellowest) - [ 29 ก.ค. 47 10:46:35 ]
ความคิดเห็นที่ 57
ตอบคุณ yellowest ครับ
1. หุ้นที่ตกจากราคา 25.00 มาเหลือ 15.00 บาทนั้น มันไม่ได้ตกทีเดียว มันตกแล้วขึ้น ขึ้นแล้วตก ผันผวนอย่างนี้ตลอดหนึ่งปี เมื่อตกผมขายแล้วซื้อคืนได้ ผมก็จะมีเงินส่วนต่างกลับมา ผมก็นำเงินนี้ซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก
เช่น จากเดิม 40,000 หุ้น ผมขายครั้งละ 4,000 หุ้น บางวันขายไปถึง 5 ครั้ง แล้ว พอซื้อคืนได้ ก็ได้หุ้นกลับคืนมาหมด
นั่นคือ หุ้นผมจะเท่าเดิม แต่ จะได้เงินส่วนต่างจากหุ้นมา เช่นถ้าผมขายที่ 25.00 x 4,000 ....... 24.80 x 4,000 ..... 24.60 x 4,000 ...... 24.40 x 4,000 ....24.20 x 4,000 ........ ( รวมขายไป = 20,000 หุ้น )
แล้วผมมาซื้อคืนที่ราคา 23.80 x 20,000 ผมจะได้หุ้นคือกลับมาเท่าเดิมคือ 40,000 หุ้น และเงินส่วนต่าง ( หักค่าคอม ๆ ) อีกประมาณ 13,000 บาท
นั่นคือ ภายในวันเดียว ผมสามารถทำเงินส่วนต่าง ( หรือคือ กระแสเงินสดแฝงกลับมาได้ ประมาณ 13,000 บาท โดยที่ผมมีหุ้นอยู่ครบ
จากนั้นผมนำเงิน 13,000 บาท ไปซื้อหุ้นเพิ่ม ( สมมุติที่ราคา 24.00 บาท ) จะได้หุ้นเพิ่มอีกประมาณ 500 หุ้น
นั่นคือ หุ้นผมจะกลายเป็น 40,500 หุ้น
ผมทำอย่างนี้ทุกวัน ถ้าเดือนหนึ่งทำได้ 10 ครั้ง ผมจะมีหุ้นเพิ่มเข้ามาประมาณปีละ 40,000 - 60,000 หุ้น
เพราะฉะนั้น ปลายปี ราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่ก็แล้วแต่ หุ้นของผมก็จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ
ยิ่งราคาผันผวนมาก ปริมาณหุ้นยิ่งเพิ่มเร็ว
เพราะเรานำเงินส่วนต่างที่ได้ ( กระแสเงินสดแฝง ) ย้อนกลับไปซื้อหุ้นเพิ่มเข้าพอร์ต มันก็ยิ่งทบต้นและยิ่งทำเงินได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
...............
2. ผมคิดให้แล้วตามข้อหนึ่งครับ หักค่าคอม ๆให้เรียบร้อยแล้ว
.................
3. จากคำถามนี้
.... ที่คุณเด่นศรี ขายหุ้น 10% เวลาหุ้นลง ก็เพราะว่า ไม่รู้ว่ามันจะลงไปเท่าไร แต่ถ้าหากว่า คุณเด่นศรีพอที่จะรู้ว่า ราคามันจะลงไปเท่าไร มันจะไม่ดีกว่าเหรอครับ ถ้าหากว่า ขายทีเดียว 100% แล้วไปรับคืนมาให้หมดที่ราคาต่ำกว่า ......
ตอบคือ เพราะผมไม่รู้ว่ามันจะลงไปเท่าไหร่ และมันจะลงไปแค่ไหน หรือลงวันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะเด้งขึ้นมาหรือไม่
ผมจึงต้องขาย ขายเพื่อสร้างโอกาสซื้อ
ผมบอกแล้วว่า ผมไม่เคยคิดจะเดาตลาดหุ้น เพราะผมเดาอย่างไรก็ไม่มีทางถูก
ผมจึงไม่มีทางรู้ว่า หุ้นมันจะลงไปถึงไหน
พอเข้าใจมั้ยครับ คงไม่งงนะครับ
.............
และบางครั้ง หากผมขายทีเดียว 100 เปอร์เซนต์ ถ้าขายไปแล้วมันกลับเด้งขึ้นมาละครับ ผมก็เสียหุ้นทั้งหมดไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า มันจะลงมาให้ผมซื้อเมื่อไหร่
แนวทางของผม จะให้ความสำคัญกับหุ้นมากกว่าเงิน ดังนั้น ผมต้องรักษาหุ้นให้อยู่กับผม ขายไปแล้วต้องซื้อคืนให้ได้ หุ้นจะต้องเพิ่มขึ้น หากวิธีใดเป็นการเสี่ยงที่จะทำให้หุ้นในมือหายไป ผมจะเลี่ยง หรือ หาทางลดความเสี่ยงนั้น
ดังนั้น การทะยอยขายหุ้น จึงเป็นการลดความเสี่ยงจากการเสียหุ้นครับ
..................
สำหรับที่คุณ yellowest บอกว่า ถ้าผมพอจะรู้ว่า ราคามันจะลงไปเท่าไหร่ มันจะไม่ดีกว่าเหรอ ซึ่งคุณ yellowest คงหมายถึงการรู้แนวรับแนวต้าน ใช่มั้ยครับ
ถ้าหากใช่ ( เกี่ยวกับแนวรับแนวต้าน ) ..... ผมไม่ถนัดการดูกราฟทางเทคนิคครับ
ผมเคยพล็อตกราฟด้วยตัวผมเอง มันก็ใช้ได้ แต่ ... ต้องไม่มีเหตุการณ์ไม่คาคฝันเกิดขึ้น มันถึงจะพอยึดถือได้
ช่วงที่ผมทำหุ้นตัวดังกล่าวนี้ อยู่ ๆ เครื่องบินก็พุ่งชนตึกเวิลด์เทรด .... แถมด้วย บริษัท แอรอน โกหกงบการเงิน ต่อด้วย ... ตลท. ลดช่วง สเปรชหุ้น
นั่นคือ ถ้าจะใช้กราฟ ต้องไม่มีปัจจัยภายนอกมาเกี่ยวข้อง แต่คงเป็นไปไม่ได้ แค่หวัดนก ก็ทะลุแนวรับจนรับกันไม่อยู่ ซาร์มา ก็แย่ไปตาม ๆ กัน ... ยิงกันที่ภาคใต้ ก็อีก น้ำมันขึ้นราคา ฯลฯ
และอีกอย่าง ( ขออภัย เพื่อนที่วิเคราะห์กราฟด้วยนะครับ ถ้าหากว่าความคิดเห็นของผมไม่ตรงกันท่าน ) กราฟ ต่าง ๆที่เกิดขึ้น แนวรับแนวต้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันเกิดจากอดีตที่ผ่านมาแล้ว เอามาลากเป็นกราฟ แล้วเอามาทำนายอนาคต
อีกอย่างคือ กราฟต่าง ๆ นั้น สามารถปรับแต่งได้ ดูเช่นเมื่อวาน ตลาดลบอยู่ดี ๆ ปิดตลาดเสร็จก็ลากขึ้นมาเป็นบวก
บางครั้ง ใกล้ปิดตลาด ลบอยู่ดี ๆ ปิดตลาดเสร็จ กลายเป็น บวก 10
หุ้นบางตัว เช่น ปูนใหญ่ ( SCC ) ตอนใกล้ปิดตลาด อยู่ที่ 220 พอปิดตลาด ปิดที่ 230 ก็ยังมี
..........
ผมจึงไม่ค่อยนำกราฟมาเดาตลาดหุ้นครับ เพราะมันไม่แน่นอน มันมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป
............
ตอบตรงกับคำถามมั้ยครับเนี่ยะ
จากคุณ : เด่นศรี - [ 29 ก.ค. 47 13:15:44 ]
ความคิดเห็นที่ 58
ขอบคุณ คุณเด่นศรีมากเลยครับ
เริ่มจะเห็นภาพลาง ๆ :)
ทำให้ผมรู้สึกอยากถือยาวมากเลยครับ
1. แล้วถ้าเวลาราคาหุ้นขึ้นล่ะครับ ควรถืออย่างเดียวเลยเหรอครับ
2. ช่องว่างของตลาดหุ้นล่ะครับ ในหนังสือเกษียณเร็วเกษียณรวยมีบอกเป็นแนวไว้ใช่ไหมครับ
3. ที่คุณเด่นศรี บอกว่า "แล้วผมมาซื้อคืนที่ราคา 23.80 x 20,000 ผมจะได้หุ้นคือกลับมาเท่าเดิมคือ 40,000 หุ้น และเงินส่วนต่าง ( หักค่าคอม ๆ ) อีกประมาณ 13,000 บาท"
แล้วคุณเด่นศรีจะรู้ได้ยังไงว่า ให้ซื้อที่ 23.80 แล้วราคาหุ้นจะหยุดลง
ขอบคุณมากครับ
จากคุณ : yellowman (yellowest) - [ 29 ก.ค. 47 13:44:24 ]
ความคิดเห็นที่ 59
ตอบคุณ yellowest ครับ
1. ถ้าหากหุ้นขึ้น ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละท่านครับ เพราะแต่ละท่านแนวคิดไม่เหมือนกัน บางท่านอยากรีบขายทำกำไร หรือเอาแบบเท่าทุนก่อน อะไรทำนองเนียะ
แต่ถ้าหากเป็นผม ผมจะไม่ค่อยยุ่งตอนหุ้นขึ้น เพราะจะนั่งดูเฉย ๆ นอกจากว่ามันขึ้นมาเยอะมาก ๆ ก็ขายเล่น ๆ เผื่อมันลงสักนิดหน่อย แก้เบื่อ ทำนองนี้แหละครับ
...............
2. ในหนังสือ ไม่ได้บอก ช่องว่าง ... นี้ไว้ครับ ( ชื่อ ช่องว่างนี้ ผมตั้งเองตามความมหัศจรรย์ของมันครับ ( ยิ้ม )) ในหนังสือ เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แค่ประโยคเดียวครับ แต่ผมกลับฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมพ่อรวยถึงกล่าวถึงเรื่องแบบนี้ ..... ก็เลยลองตีลังกากลับหัวคิดดู ( ล้อเล่นครับ ) ก็ปรากฎว่า มันเป็นอย่างที่ท่านกล่าวไว้จริง ๆ ..... ซึ่งมัน วิเศษมาก ๆ สำหรับผมเลยแหละครับ
คือว่า ช่องว่างนี้ ทำให้ทุกอย่างลงตัวหมด ช่องว่างนี้ ดึงความสามารถของการลงทุนทุกประเภทให้มาหยุดอยู่ที่จุดเดียวกัน ทำให้ทุกอย่างสัมพันธ์และกลมกลืนกัน
ผมจึงบอกว่า มันเป็นความลับที่ผมต้องรักษาไว้อย่างดีเลยแหละครับ
..............
3. ที่ผมรู้ว่า ซื้อที่ราคา 23.80 แล้วราคาหุ้นจะหยุดไหลลง ก็เพราะว่า ..... ผมไม่รู้ ครับ ( ยิ้ม )
ผมไม่รู้หรอกครับว่า ซื้อแล้ว ราคาจะขึ้นหรือลง
แต่ที่แน่ ๆ คือ ผมซื้อแล้ว ผมก็ได้กำไรส่วนต่างมาแล้ว ถ้ามันจะไหลลงอีก ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาช็อทพอร์ตต่อไปอีก
บางจังหวะ ผมก็ตั้งใจไว้ว่า ถ้าลงมาถึง 5 ช่อง จะซื้อคืน หรือ ถ้าซื้อคืนได้ 3 ราคาที่เคยขายไป ก็จะเข้าไปซื้อคืน
นั่นคือ ผมจะปรับแนวทางของผมไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่า ตรงไหนที่ผมไม่ต้องรีบ ไม่ต้องกังวล หรือ ทำแล้วสบายใจและให้ผลดีที่สุด ผมก็จะเลือกวิธีนั้นครับ
นั่นก็คือ เพื่อน ๆ ต้องค่อย ๆ ปรับแนวทางของตัวเองให้เหมาะสมกับนิสัยและสภาพแวดล้อม ( โดยเฉพาะเวลาที่ต้องดูแลพอร์ต ) ครับ
..................
พอเห็นแนวทางบ้างมั้ยครับ
...............
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี - [ 29 ก.ค. 47 18:25:17 ]
ความคิดเห็นที่ 60
หวัดดีค่ะ คุณเด่นศรี
พรุ่งนี้ซ้อว่าง ซ้อกะว่าจะนั่งเฝ้าหน้าจอ และถ้าเซตลง จะลองวิธี short against port แบบที่คุณเด่นศรีบอก คือ ขายแพง ซื้อถูก .. คุณเด่นศรีว่า ซ้อต้องเตรียมตัวอะไรไปมากกว่านี้มั้ยคะ..
ก็กะว่าจะทำตามที่คุณเด่นศรีให้แนวทางไว้คือ .. หุ้นลง short against port ไปเรื่อย.. และซื้อคืน ถ้าทำได้... แต่ถ้าหุ้นขึ้น ก็ปล่อยให้ขึ้นไปเรื่อยๆ .. ซ้อว่าแค่แนวทางนี้ก็ OK แล้วใช่มั้ยค้า ..
จากคุณ : อาซ้อสี่ค่า :) - [ 29 ก.ค. 47 19:54:58 A:202.133.161.182 X: ]
ความคิดเห็นที่ 61
"แต่หากพี่อาซ้อสี่ยังไม่ทราบเรื่อง ช่องว่าง ... ก็จะมีทางแก้อีกทางหนึ่ง ซึ่งผมจะบอกทางนี้ครับ ( เพราะพอหุ้นขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็จะใช้แนวทางนี้ปรับพอร์ตไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคราวจำเป็น หรือ คราวเหมาะสม จึงจะใช้ช่องว่างนี้ครับ ( ใช้ไม่ค่อยบ่อย แต่ใช้ที ก็เหมือนกินรวบเลยครับ ( ยิ้ม ) )"
ตอนนี้ ซ้อมั่นใจมากขึ้นค่ะ ในตลาดขาลง แต่ในตลาดขาขึ้น ที่เราซื้อหุ้นที่เราขายออกไปกลับไม่ได้.. คุณเด่นศรีแนะนำว่าไงดีคะ ถ้าเรายังไม่เข้าใจเรื่อง .. ช่องว่าง..
..............
ตอบคุณ yellowest ครับ
1. ช่องว่างของตลาดหุ้น ใช้เพื่อซื้อหุ้นคืนครับ
2. ช่องว่างนี้ ผมแค่ตั้งชื่อตามความเข้าใจของผมครับ ผมอ่านเจอประโยคหนึ่งในหนังสือพ่อรวย และ ลองผูกปมไปผูกปมมา ก็เริ่มเอะใจว่า เอ๊ะ ..... มันใช้ได้นี่นา จากนั้น มันก็ทำให้ผมสามารถเข้าซื้อหุ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกลัวว่าซื้อแล้วราคาจะลง เลยครับ มันสร้างความมั่นใจให้แก่ผม เสมือนว่า เรามีไม้ตายที่จะเอาเงินคืนได้ทุกเมื่อครับ ( งง มั้ยเนี่ยะ )
3. การซื้อหุ้นของผม ผมอยากเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบ วอเรน บุฟเฟต แต่ ... เพราะมีช่องว่างตัวนี้ ทำให้ผมคิดว่า ในเมื่อเราทำเงินได้ทั้งสองทาง ระหว่างที่เราถือหุ้น แล้วราคามันลง ทำไมเราไม่หาผลประโยชน์จากการขึ้นลงของราคาหุ้นละ ผมจึงเล่นแบบนี้ครับ แต่ภาพรวม ๆ คือ ต้องการถือหุ้นตลอดชีวิตครับ และ ต้องการ รายได้จากกระแสเงินสดแฝง และ รายได้จากเงินปันผล ด้วยครับ
...........
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี - [ 29 ก.ค. 47 01:18:23 ]
ความคิดเห็นที่ 55
พี่อาซ้อสี่ครับ
อย่างที่หนังสือพ่อรวยบอกครับ เล่มเกษียณเร็ว ๆ หน้า 199 บรรทัดแรกเลย
.... พ่อรวยถือว่า การเพิ่มค่า ( กำไร ) นั้นเป็นโบนัส ....
เพราะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เช่นกัน การโตขึ้นของพอร์ต จะได้กำไรเป็นโบนัส ( นั้นคือ กำไรเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะรายได้จากกระแสเงินสด จะมากกว่ากำไรหลายเท่า ครับ )
.........
ผมไปนอนก่อนนะครับ ง่วงแล้ว
..........
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี - [ 29 ก.ค. 47 01:50:54 ]
ความคิดเห็นที่ 56
ถึงคุณเด่นศรีครับ
รบกวนถามอีกแล้วครับ
"ตอนที่ผมทำเริ่มแรก ผมมีหุ้นอยู่ตัวเดียว ที่ราคา 25.00 x 40,000 หุ้น ผ่านไป 1 ปี มันกลายเป็น 15.00x100,000 หุ้น
นั่นคือ หุ้นราคาตกลงมาเกือบ 10 บาท แต่ปริมาณหุ้นผมมากขึ้นเป็นเท่าตัว มูลค่าพอร์ตก็ยิ่งโตตามด้วยครับ "
1. ผมสงสัยว่า มันเป็นไปได้ยังไง เพราะตอนแรกจาก 1ล้านบาท กลายมาเป็น 1.5ล้าน แล้วหุ้นเยอะขึ้นได้ยังไงครับ
เพราะถ้าขายหุ้น 10% เวลาหุ้นลง แล้วซื้อคืน เราก็ซื้อคืนในปริมาณหุ้นเท่าเดิม
2. แล้วคุณเด่นศรี บอกว่า ได้กระแสเงินสดแฝง แต่ว่า มันต้องขาดทุนค่าคอมฯ ด้วยอีกครับ
3. ที่คุณเด่นศรี ขายหุ้น 10% เวลาหุ้นลง ก็เพราะว่า ไม่รู้ว่ามันจะลงไปเท่าไร แต่ถ้าหากว่า คุณเด่นศรีพอที่จะรู้ว่า ราคามันจะลงไปเท่าไร มันจะไม่ดีกว่าเหรอครับ ถ้าหากว่า ขายทีเดียว 100% แล้วไปรับคืนมาให้หมดที่ราคาต่ำกว่า
ขอบคุณ คุณเด่นศรีอีกครั้งครับ
จากคุณ : yellowman (yellowest) - [ 29 ก.ค. 47 10:46:35 ]
ความคิดเห็นที่ 57
ตอบคุณ yellowest ครับ
1. หุ้นที่ตกจากราคา 25.00 มาเหลือ 15.00 บาทนั้น มันไม่ได้ตกทีเดียว มันตกแล้วขึ้น ขึ้นแล้วตก ผันผวนอย่างนี้ตลอดหนึ่งปี เมื่อตกผมขายแล้วซื้อคืนได้ ผมก็จะมีเงินส่วนต่างกลับมา ผมก็นำเงินนี้ซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก
เช่น จากเดิม 40,000 หุ้น ผมขายครั้งละ 4,000 หุ้น บางวันขายไปถึง 5 ครั้ง แล้ว พอซื้อคืนได้ ก็ได้หุ้นกลับคืนมาหมด
นั่นคือ หุ้นผมจะเท่าเดิม แต่ จะได้เงินส่วนต่างจากหุ้นมา เช่นถ้าผมขายที่ 25.00 x 4,000 ....... 24.80 x 4,000 ..... 24.60 x 4,000 ...... 24.40 x 4,000 ....24.20 x 4,000 ........ ( รวมขายไป = 20,000 หุ้น )
แล้วผมมาซื้อคืนที่ราคา 23.80 x 20,000 ผมจะได้หุ้นคือกลับมาเท่าเดิมคือ 40,000 หุ้น และเงินส่วนต่าง ( หักค่าคอม ๆ ) อีกประมาณ 13,000 บาท
นั่นคือ ภายในวันเดียว ผมสามารถทำเงินส่วนต่าง ( หรือคือ กระแสเงินสดแฝงกลับมาได้ ประมาณ 13,000 บาท โดยที่ผมมีหุ้นอยู่ครบ
จากนั้นผมนำเงิน 13,000 บาท ไปซื้อหุ้นเพิ่ม ( สมมุติที่ราคา 24.00 บาท ) จะได้หุ้นเพิ่มอีกประมาณ 500 หุ้น
นั่นคือ หุ้นผมจะกลายเป็น 40,500 หุ้น
ผมทำอย่างนี้ทุกวัน ถ้าเดือนหนึ่งทำได้ 10 ครั้ง ผมจะมีหุ้นเพิ่มเข้ามาประมาณปีละ 40,000 - 60,000 หุ้น
เพราะฉะนั้น ปลายปี ราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่ก็แล้วแต่ หุ้นของผมก็จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ
ยิ่งราคาผันผวนมาก ปริมาณหุ้นยิ่งเพิ่มเร็ว
เพราะเรานำเงินส่วนต่างที่ได้ ( กระแสเงินสดแฝง ) ย้อนกลับไปซื้อหุ้นเพิ่มเข้าพอร์ต มันก็ยิ่งทบต้นและยิ่งทำเงินได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
...............
2. ผมคิดให้แล้วตามข้อหนึ่งครับ หักค่าคอม ๆให้เรียบร้อยแล้ว
.................
3. จากคำถามนี้
.... ที่คุณเด่นศรี ขายหุ้น 10% เวลาหุ้นลง ก็เพราะว่า ไม่รู้ว่ามันจะลงไปเท่าไร แต่ถ้าหากว่า คุณเด่นศรีพอที่จะรู้ว่า ราคามันจะลงไปเท่าไร มันจะไม่ดีกว่าเหรอครับ ถ้าหากว่า ขายทีเดียว 100% แล้วไปรับคืนมาให้หมดที่ราคาต่ำกว่า ......
ตอบคือ เพราะผมไม่รู้ว่ามันจะลงไปเท่าไหร่ และมันจะลงไปแค่ไหน หรือลงวันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะเด้งขึ้นมาหรือไม่
ผมจึงต้องขาย ขายเพื่อสร้างโอกาสซื้อ
ผมบอกแล้วว่า ผมไม่เคยคิดจะเดาตลาดหุ้น เพราะผมเดาอย่างไรก็ไม่มีทางถูก
ผมจึงไม่มีทางรู้ว่า หุ้นมันจะลงไปถึงไหน
พอเข้าใจมั้ยครับ คงไม่งงนะครับ
.............
และบางครั้ง หากผมขายทีเดียว 100 เปอร์เซนต์ ถ้าขายไปแล้วมันกลับเด้งขึ้นมาละครับ ผมก็เสียหุ้นทั้งหมดไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า มันจะลงมาให้ผมซื้อเมื่อไหร่
แนวทางของผม จะให้ความสำคัญกับหุ้นมากกว่าเงิน ดังนั้น ผมต้องรักษาหุ้นให้อยู่กับผม ขายไปแล้วต้องซื้อคืนให้ได้ หุ้นจะต้องเพิ่มขึ้น หากวิธีใดเป็นการเสี่ยงที่จะทำให้หุ้นในมือหายไป ผมจะเลี่ยง หรือ หาทางลดความเสี่ยงนั้น
ดังนั้น การทะยอยขายหุ้น จึงเป็นการลดความเสี่ยงจากการเสียหุ้นครับ
..................
สำหรับที่คุณ yellowest บอกว่า ถ้าผมพอจะรู้ว่า ราคามันจะลงไปเท่าไหร่ มันจะไม่ดีกว่าเหรอ ซึ่งคุณ yellowest คงหมายถึงการรู้แนวรับแนวต้าน ใช่มั้ยครับ
ถ้าหากใช่ ( เกี่ยวกับแนวรับแนวต้าน ) ..... ผมไม่ถนัดการดูกราฟทางเทคนิคครับ
ผมเคยพล็อตกราฟด้วยตัวผมเอง มันก็ใช้ได้ แต่ ... ต้องไม่มีเหตุการณ์ไม่คาคฝันเกิดขึ้น มันถึงจะพอยึดถือได้
ช่วงที่ผมทำหุ้นตัวดังกล่าวนี้ อยู่ ๆ เครื่องบินก็พุ่งชนตึกเวิลด์เทรด .... แถมด้วย บริษัท แอรอน โกหกงบการเงิน ต่อด้วย ... ตลท. ลดช่วง สเปรชหุ้น
นั่นคือ ถ้าจะใช้กราฟ ต้องไม่มีปัจจัยภายนอกมาเกี่ยวข้อง แต่คงเป็นไปไม่ได้ แค่หวัดนก ก็ทะลุแนวรับจนรับกันไม่อยู่ ซาร์มา ก็แย่ไปตาม ๆ กัน ... ยิงกันที่ภาคใต้ ก็อีก น้ำมันขึ้นราคา ฯลฯ
และอีกอย่าง ( ขออภัย เพื่อนที่วิเคราะห์กราฟด้วยนะครับ ถ้าหากว่าความคิดเห็นของผมไม่ตรงกันท่าน ) กราฟ ต่าง ๆที่เกิดขึ้น แนวรับแนวต้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันเกิดจากอดีตที่ผ่านมาแล้ว เอามาลากเป็นกราฟ แล้วเอามาทำนายอนาคต
อีกอย่างคือ กราฟต่าง ๆ นั้น สามารถปรับแต่งได้ ดูเช่นเมื่อวาน ตลาดลบอยู่ดี ๆ ปิดตลาดเสร็จก็ลากขึ้นมาเป็นบวก
บางครั้ง ใกล้ปิดตลาด ลบอยู่ดี ๆ ปิดตลาดเสร็จ กลายเป็น บวก 10
หุ้นบางตัว เช่น ปูนใหญ่ ( SCC ) ตอนใกล้ปิดตลาด อยู่ที่ 220 พอปิดตลาด ปิดที่ 230 ก็ยังมี
..........
ผมจึงไม่ค่อยนำกราฟมาเดาตลาดหุ้นครับ เพราะมันไม่แน่นอน มันมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป
............
ตอบตรงกับคำถามมั้ยครับเนี่ยะ
จากคุณ : เด่นศรี - [ 29 ก.ค. 47 13:15:44 ]
ความคิดเห็นที่ 58
ขอบคุณ คุณเด่นศรีมากเลยครับ
เริ่มจะเห็นภาพลาง ๆ :)
ทำให้ผมรู้สึกอยากถือยาวมากเลยครับ
1. แล้วถ้าเวลาราคาหุ้นขึ้นล่ะครับ ควรถืออย่างเดียวเลยเหรอครับ
2. ช่องว่างของตลาดหุ้นล่ะครับ ในหนังสือเกษียณเร็วเกษียณรวยมีบอกเป็นแนวไว้ใช่ไหมครับ
3. ที่คุณเด่นศรี บอกว่า "แล้วผมมาซื้อคืนที่ราคา 23.80 x 20,000 ผมจะได้หุ้นคือกลับมาเท่าเดิมคือ 40,000 หุ้น และเงินส่วนต่าง ( หักค่าคอม ๆ ) อีกประมาณ 13,000 บาท"
แล้วคุณเด่นศรีจะรู้ได้ยังไงว่า ให้ซื้อที่ 23.80 แล้วราคาหุ้นจะหยุดลง
ขอบคุณมากครับ
จากคุณ : yellowman (yellowest) - [ 29 ก.ค. 47 13:44:24 ]
ความคิดเห็นที่ 59
ตอบคุณ yellowest ครับ
1. ถ้าหากหุ้นขึ้น ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละท่านครับ เพราะแต่ละท่านแนวคิดไม่เหมือนกัน บางท่านอยากรีบขายทำกำไร หรือเอาแบบเท่าทุนก่อน อะไรทำนองเนียะ
แต่ถ้าหากเป็นผม ผมจะไม่ค่อยยุ่งตอนหุ้นขึ้น เพราะจะนั่งดูเฉย ๆ นอกจากว่ามันขึ้นมาเยอะมาก ๆ ก็ขายเล่น ๆ เผื่อมันลงสักนิดหน่อย แก้เบื่อ ทำนองนี้แหละครับ
...............
2. ในหนังสือ ไม่ได้บอก ช่องว่าง ... นี้ไว้ครับ ( ชื่อ ช่องว่างนี้ ผมตั้งเองตามความมหัศจรรย์ของมันครับ ( ยิ้ม )) ในหนังสือ เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แค่ประโยคเดียวครับ แต่ผมกลับฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมพ่อรวยถึงกล่าวถึงเรื่องแบบนี้ ..... ก็เลยลองตีลังกากลับหัวคิดดู ( ล้อเล่นครับ ) ก็ปรากฎว่า มันเป็นอย่างที่ท่านกล่าวไว้จริง ๆ ..... ซึ่งมัน วิเศษมาก ๆ สำหรับผมเลยแหละครับ
คือว่า ช่องว่างนี้ ทำให้ทุกอย่างลงตัวหมด ช่องว่างนี้ ดึงความสามารถของการลงทุนทุกประเภทให้มาหยุดอยู่ที่จุดเดียวกัน ทำให้ทุกอย่างสัมพันธ์และกลมกลืนกัน
ผมจึงบอกว่า มันเป็นความลับที่ผมต้องรักษาไว้อย่างดีเลยแหละครับ
..............
3. ที่ผมรู้ว่า ซื้อที่ราคา 23.80 แล้วราคาหุ้นจะหยุดไหลลง ก็เพราะว่า ..... ผมไม่รู้ ครับ ( ยิ้ม )
ผมไม่รู้หรอกครับว่า ซื้อแล้ว ราคาจะขึ้นหรือลง
แต่ที่แน่ ๆ คือ ผมซื้อแล้ว ผมก็ได้กำไรส่วนต่างมาแล้ว ถ้ามันจะไหลลงอีก ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาช็อทพอร์ตต่อไปอีก
บางจังหวะ ผมก็ตั้งใจไว้ว่า ถ้าลงมาถึง 5 ช่อง จะซื้อคืน หรือ ถ้าซื้อคืนได้ 3 ราคาที่เคยขายไป ก็จะเข้าไปซื้อคืน
นั่นคือ ผมจะปรับแนวทางของผมไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่า ตรงไหนที่ผมไม่ต้องรีบ ไม่ต้องกังวล หรือ ทำแล้วสบายใจและให้ผลดีที่สุด ผมก็จะเลือกวิธีนั้นครับ
นั่นก็คือ เพื่อน ๆ ต้องค่อย ๆ ปรับแนวทางของตัวเองให้เหมาะสมกับนิสัยและสภาพแวดล้อม ( โดยเฉพาะเวลาที่ต้องดูแลพอร์ต ) ครับ
..................
พอเห็นแนวทางบ้างมั้ยครับ
...............
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี - [ 29 ก.ค. 47 18:25:17 ]
ความคิดเห็นที่ 60
หวัดดีค่ะ คุณเด่นศรี
พรุ่งนี้ซ้อว่าง ซ้อกะว่าจะนั่งเฝ้าหน้าจอ และถ้าเซตลง จะลองวิธี short against port แบบที่คุณเด่นศรีบอก คือ ขายแพง ซื้อถูก .. คุณเด่นศรีว่า ซ้อต้องเตรียมตัวอะไรไปมากกว่านี้มั้ยคะ..
ก็กะว่าจะทำตามที่คุณเด่นศรีให้แนวทางไว้คือ .. หุ้นลง short against port ไปเรื่อย.. และซื้อคืน ถ้าทำได้... แต่ถ้าหุ้นขึ้น ก็ปล่อยให้ขึ้นไปเรื่อยๆ .. ซ้อว่าแค่แนวทางนี้ก็ OK แล้วใช่มั้ยค้า ..
จากคุณ : อาซ้อสี่ค่า :) - [ 29 ก.ค. 47 19:54:58 A:202.133.161.182 X: ]
ความคิดเห็นที่ 61
"แต่หากพี่อาซ้อสี่ยังไม่ทราบเรื่อง ช่องว่าง ... ก็จะมีทางแก้อีกทางหนึ่ง ซึ่งผมจะบอกทางนี้ครับ ( เพราะพอหุ้นขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็จะใช้แนวทางนี้ปรับพอร์ตไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคราวจำเป็น หรือ คราวเหมาะสม จึงจะใช้ช่องว่างนี้ครับ ( ใช้ไม่ค่อยบ่อย แต่ใช้ที ก็เหมือนกินรวบเลยครับ ( ยิ้ม ) )"
ตอนนี้ ซ้อมั่นใจมากขึ้นค่ะ ในตลาดขาลง แต่ในตลาดขาขึ้น ที่เราซื้อหุ้นที่เราขายออกไปกลับไม่ได้.. คุณเด่นศรีแนะนำว่าไงดีคะ ถ้าเรายังไม่เข้าใจเรื่อง .. ช่องว่าง..