DSM concept ตอนที่ 41
เมื่อเราซื้อหุ้นมา แต่ราคากลับตกลง ทำให้ทำกำไรขาขึ้นไม่ได้ แทนที่เราจะปล่อยเอาไว้ให้ราคามันลงเรื่อย ๆ หรือ ขายขาดทุน ( cut loss ) เราสามารถนำมันมาหารายได้ให้เราได้
ดังนั้นเราจึงทำการขาย แล้วซื้อคืน เงินส่วนต่างที่ได้จากการซื้อหุ้นคือ คือ กระแสเงินสดแฝง ( เพราะได้หุ้นกลับมา เหมือนกับว่า ห้องเช่าเรายังคงอยู่ )
การที่ต้องซื้อเฉลี่ย UMS เพราะ เรานำมันมาหารายได้ แต่ เพราะเราไม่แน่ใจว่า ถ้าเราขายไปทันทีทั้งหมด 100 เปอร์เซนต์ เราจะซื้อคืนได้หรือไม่ ซึ่งมันจะเสี่ยงมากหากซื้อคืนไม่ได้
ดังนั้นจึงขายทีละส่วน แล้วซื้อคืนทีละส่วน มันก็เลยกลายเป็นการซื้อเฉลี่ย ทำให้ราคาต้นทุนต่ำลง มีเงินส่วนต่าง ( กระแสเงินสดแฝง ) เพิ่มขึ้น
ผมจึงจะลองบอกว่า อย่าเพิ่งมองว่า UMS เป็นการซื้อเฉลี่ย แต่ลองมองว่า เป็นการหารายได้จากหุ้น ทำให้หุ้นเป็นเหมือนอสังหาริมทรัพย์แล้วเก็บค่าเช่าจากมัน
เพราะผมไม่เคยสนใจราคาที่ผมซื้อหุ้นมาเลย เพราะเมื่อใดที่ผมซื้อหุ้น นั่นคือ ผมจะได้กระแสเงินสดแฝงทันที
นั่นคือ ซื้อปุ๊ปก็คือกำไรปั๊ป เพราะผมซื้อเนื่องจากมันราคาต่ำกว่าที่ผมเคยขายไป
หุ้นทุกตัวที่ผมซื้อ ผมซื้อเพราะราคามันต่ำกว่าที่เคยขาย ถ้าราคาไม่ต่ำกว่าที่เคยขาย ผมจะไม่ซื้อมัน
...........
คราวนี้ ช่องว่างของตลาดหุ้น มาเกี่ยวข้องอะไรด้วย
ตอบก็คือ จะมีหุ้นบางส่วน ที่ขายไปแล้วซื้อคืนไม่ได้ เพราะราคากลับสูงขึ้นไป
ช่องว่างนี้จะมาอุดรูโหว่ดังกล่าว ทำให้ผมสามารถซื้อหุ้นได้ทุกตัวที่เคยขายไป
และอย่างที่ผมบอกครับว่า ผมซื้อปุ๊ป ผมก็ได้กำไรปั๊ป ( กำไรในแง่นี้คือ กระแสเงินสดแฝงครับ ) การรู้ช่องว่างนี้ ทำให้ผมซื้อหุ้นคืนได้ทุกตัวที่เคยขายไป
แต่ที่ผมยังป้วนเปี้ยนอยู่กับ UMS เพราะ ผมจะใช้ช่องว่างนี้ในคราวที่จำเป็นเท่านั้น ไม่เช่นนั้น แผนการลงทุนจะเกิดการสะดุด เหมือนการเพิ่มทุนหรือขยายพอร์ต หรือขยายกิจการเร็วเกินไป
สรุปคือ การขายแล้วซื้อ จะทำให้ผมได้กำไร ( กระแสเงินสดแฝงเมื่อซื้อ ) ส่วนช่องว่างของตลาดหุ้น จะมาอุดช่องโหว่ของหุ้นบางตัวที่ยังซื้อคืนไม่ได้
ช่องว่างของตลาดหุ้นจะถูกนำมาใช้เมื่อหุ้นเป็นขาขึ้นเท่านั้นครับ เพราะหุ้นขาลง ยังงัยก็สามารถซื้อหุ้นคืนได้
เมื่อไหร่ซื้อหุ้นคืนไม่ได้ นั่นคือ ตลาดกำลังเป็นขาขึ้น ช่องว่างของตลาดหุ้นจะถูกนำมาใช้
...........
งง มั้ยครับเนี่ยะ
..............
เพราะเครื่องมือบางอย่าง ต้องใช้ให้ถูกตามจังหวะของมัน ไม่เช่นนั้น พอร์ตจะโตเร็วเกินจนควบคุมไม่ได้ และจะก่อปัญหาให้ภายหลัง และทำให้พอร์ตโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น ( เพราะต้องมาคอยแก้ปัญหาย้อนหลังครับ )
เหมือนกิจการแหละครับ มีเงินทุนเยอะ ก็ใช่ว่าจะขยายกิจการได้ตามใจ เพราะถ้าคุมไม่อยู่ มันก็จะพังครืนลงมา ( เหมือนฟองสบู่ของไทยช่วงต้มยำกุ้ง )
..........
บางทีคุณ yellowest อาจจะยัง งง อยู่ แต่เป็นเรื่องปกติครับ เพราะคุณยังไม่รู้ว่า ช่องว่างดังกล่าวคืออะไร จึงยังมองภาพไม่ออก
............
น้องสาวผมเคยถามเรื่องนี้ พอผมอธิบายจบ เค้าอ้าปากค้างเลยครับ สีหน้าตกใจ และบอกว่า ทำมัยมันง่ายอย่างเนี่ยะ ....... ผมได้แต่ยิ้มครับ
............
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี - [ 28 ก.ค. 47 23:07:18 ]
ความคิดเห็นที่ 49
"แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่พอร์ตเท่าไหร่หรอกครับ มันอยู่ที่ว่า พอร์ตเราจะโตปีละเท่าไหร่
ของผมเอง พอร์ตโต ( ผมนับปริมาณหุ้นนะครับ ไม่ได้นับมูลค่าพอร์ต ) ประมาณ 80-100 เปอร์เซนต์ต่อปี
นั่นคือ หุ้นในมือผม จะมากขึ้นเท่าตัวทุกปีครับ ดังนั้นไม่ว่าราคาหุ้นจะลง เมื่อคูณจำนวนหุ้นที่มากขึ้น มูลค่าเงินในมือก็มากขึ้น ( แต่ผมไม่ได้ให้ความสำคัญตรงจุดนี้ ผมต้องการหุ้นมากขึ้น มากขึ้น เรื่อย ๆ ครับ )"
ซ้อเข้าใจถูกมั้ยคะว่า .. จุดประสงค์หลักของเราไม่ต้องการกำไร .. แต่คือ ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของบริษัทที่ดี ที่มีกำไรดี โดยไม่ใช้เงินของเราเองในการซื้อจำนวนหุ้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ... และได้ผลตอบแทนเหมือนเจ้าของบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน... .. ใช่มั้ยคะ
แล้วตอนนี้คุณเด่นศรี.. ได้เป็น major shareholder ของที่ไหนบ้างหรือยังคะ.. น่าจะได้แล้วมั้ง (ยิ้ม)
จากคุณ : อาซ้อสี่ค่ะ - [ 28 ก.ค. 47 23:15:06 A:202.133.161.99 X: ]
ความคิดเห็นที่ 50
"พี่อาซ้อสี่ ฝากที่อยู่ที่จะให้ผมส่งพัสดุไว้ในเวปบอร์ดก็ได้"
ซ้อขอขอบคุณมากนะคะ ที่คุณเด่นศรีกรุณา... แต่ส่งให้ที่ที่บ้านซ้อไม่สะดวกเพราะไม่มีคนอยู่บ้านรับ.. อยากรบกวนให้ส่งให้เพื่อนที่สนิทแทนนะคะ เพราะเขาอยู่บ้านตลอด
ส่งถึง คุณ วรรณา
265/209 ซ. ทวีวัฒนา ถ.สาธุประดิษฐ์ อ.ยานนาวา จ. กรุงเทพฯ 10120 ค่ะ
ขอบพระคุณมากนะคะ .. และเมื่อเล่นแล้ว เป็นอย่างไร จะมาแชร์ประสบการณ์ ให้เพื่อนๆ อีกทีค่ะ
ก่อนเล่นเกมส์ พี่อาซ้อสี่ต้องวางแผนก่อนว่า จะเล่นลักษณะไหน จะวางแผนตอนหุ้นขึ้นหรือลงอย่างไร แล้วทำตามนั้น เพราะผลของเกมส์จะบอกได้ว่า วิธีดังกล่าวที่พี่ทำนั้น มันให้ผลอย่างไร
จากคุณ : อาซ้อสี่ค่า :) - [ 28 ก.ค. 47 23:21:49 A:202.133.161.99 X: ]
ความคิดเห็นที่ 51
คุณเด่นศรีครับ
ผมอ่าน rich dad ครบทุกเล่มแล้ว .. ตอนแรกผมเข้าใจว่าเล่มที่ 4 พ่อรวยสอนลงทุน น่าจะเป็นเล่มที่สำคัญสุด เพราะนั่นเป็นการบอกวิธีการลงทุนให้รวย.. แต่ที่สังเกต จะเห็นคุณเด่นศรี เน้นที่เล่มเกษียณเร็ว เกษียณรวย ... และสามารถนำประเด็นเล็กๆ นั้นมาทำให้เป็นจริงได้.. ทำไมพี่เด่นศรี ถึงเน้นมากกับเล่มนี้ล่ะครับ
พี่เด่นศรี เคยสงสัยมั้ย .. อะไรทำให้พ่อรวยสามารถคิด concept ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ .. เป็นการพลิกชีวิตเลยนะครับ
ท้ายนี้ ผมขอชื่นชมพี่ที่ทำให้ rich dad เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น สำหรับพวกเราครับ ขอบคุณครับ
จากคุณ : ผม.. ซ้อห้าครับ - [ 28 ก.ค. 47 23:33:06 A:202.133.161.99 X: ]
ความคิดเห็นที่ 52
พี่เด่นศรีว่า เราควรไปเล่นเกม cash flow 101 ก่อน แล้วค่อยลงมือในตลาดหุ้นจริง .. หรือ ลงมือเลยในตลาดหุ้นดีคะ
จากคุณ : สงสัยจิง จิง - [ 28 ก.ค. 47 23:36:01 A:202.133.161.99 X: ]
ความคิดเห็นที่ 53
ถึงคุณเด่นศรีครับ
รบกวนถามอีกหน่อยครับ
1. ช่องว่างของตลาดหุ้น ใช้เพื่อ ให้สามารถซื้อหุ้นคืนเหรอครับ
2. ช่องว่างของตลาดหุ้น เกิดจากการกระทำของคุณ เด่นศรีเหรอครับ (เพราะเห็นคุณเด่นศรี บอกว่าจะใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น)
3. วิธีการซื้อหุ้นของคุณ เด่นศรี ก็คือ แบบพวกนักลงทุนที่ซื้อแล้วถือยาว เพื่อให้ได้รับเงินปันผลใช่รึเปล่าครับ (โดยดูจากซื้อหุ้นเมื่อราคาลง เมื่อราคาขึ้นก็ถือไปเรื่อย ๆ)
ขอบคุณมากครับ
จากคุณ : yellowman (yellowest) - [ 29 ก.ค. 47 00:03:11 ]
ความคิดเห็นที่ 54
คราวนี้คำถามมาเพียบเลยครับ แต่ก็ดีครับ เพราะถ้าไม่ถามมา ผมก็คงอธิบายไม่ตรงแต่ละจุดที่ต้องการ
............
ตอบของพี่อาซ้อสี่ก่อนนะครับ
การขายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบซื้อคืนในวันนั้นครับ ส่วนใหญ่แล้ว ผมจะขายไปเรื่อย ๆ ยิ่งลงจะยิ่งขาย จนกว่ามันจะเริ่มงอหัวขึ้น ผมก็จะซื้อคืนรวบยอดเลยครับ เพราะบางที พอซื้อคืนปุ๊ป อีกวันหุ้นก็ขึ้นต่อ ก็เหมือนได้โชคชั้นที่สองไปในตัว
หากขายแล้วยังซื้อคืนไม่ได้ ผมจะไม่เรียกว่าขายขาดทุนครับ เพราะผมจะทำราคาไว้ตลอดว่า ขายอะไรไปบ้าง ที่ราคาเท่าไหร่ ถ้ายังซื้อคืนไม่ได้ ผมก็จะไม่ลบข้อมูลนั้นออกครับ จนกว่าจะซื้อคืนได้
แต่หากพี่อาซ้อสี่ยังไม่ทราบเรื่อง ช่องว่าง ... ก็จะมีทางแก้อีกทางหนึ่ง ซึ่งผมจะบอกทางนี้ครับ ( เพราะพอหุ้นขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็จะใช้แนวทางนี้ปรับพอร์ตไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคราวจำเป็น หรือ คราวเหมาะสม จึงจะใช้ช่องว่างนี้ครับ ( ใช้ไม่ค่อยบ่อย แต่ใช้ที ก็เหมือนกินรวบเลยครับ ( ยิ้ม ) )
เราไม่จำเป็นต้องตัดขาดทุนครับ แต่เป็นการนำหุ้นที่เราซื้อผิดพลาดมาหารายได้จากมัน บางครั้งถ้าหุ้นผันผวนมาก แค่ 1 ปี สามารถเอาต้นทุนคืนได้เลยครับ เหลือแต่กำไรเป็นหุ้น เพราะผมทำมาแล้ว ตอนนั้นยังงงตัวเองเลยครับ )
..............
อย่าง BEC หรือหุ้นตัวอื่นที่มีปัญหา ก็ลองขายสร้างโอกาส สัก 10 เปอร์เซนต์ครับ ( อย่าขาดทั้งหมด เพราะ เราไม่มีทางรู้ว่า วันรุ่งขึ้นหรือวันต่อ ๆ ไป หุ้นจะไปทางไหนแน่ )
.................
คำถามที่ว่า จุดประสงค์หลักของเราคืออะไร
ตอบก็คือ รายได้ทุกวันโดยที่เราไม่ต้องทำงาน ครับ
คือ พอร์ตของเรา เราจะสร้างมันให้โตขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่มันโตขึ้น มันก็จะให้รายได้ คือ กระแสเงินสดแฝง กลับมาให้เราแทบทุกวัน ( เปรียบเหมือนค่าเช่าบ้าน )
นั่นคือ ยิ่งมันโต เรายิ่งมีรายได้ ซึ่งรายได้ส่วนนี้ จะมั่นคงกว่ากำไร และจะมากกว่ากำไร
ส่วนการได้เป็นเจ้าของกิจการ เป็นความภาคภูมิใจของผม
ยิ่งเป็นผู้ถือหุ้นมากเท่าไหร่ ผลพลอยได้อีกอย่างคือ เงินปันผล ก็ยิ่งมากขึ้น
เช่น ถ้าผมขาย BEC 10 เปอร์เซนต์ คือ 1000 หุ้น ที่ราคา 17.00 แล้วซื้อคืนมาที่ราคา 16.00 บาท ผมจะมีรายได้จากส่วนต่าง ( กระแสเงินสดแฝง ) = 1,000 บาท ( ต่อการซื้อหุ้นคืน 1 ครั้ง )
แต่ ..... หากผมทำไปเรื่อย ๆ จนมีเงินซื้อหุ้นทบต้น จนหุ้น BEC จาก 10,000 หุ้น กลายเป็น 100,000 หุ้น
ผมตัดขาย 10 % ( = 10,000 หุ้น ) ที่ ราคา 17.00 แล้วซื้อคืนที่ 16.00 ผมจะได้รายได้ส่วนต่างนี้เป็น 10,000 บาทต่อการซื้อคืน 1 ครั้ง
ยิ่งผมสร้างหุ้นในพอร์ตให้มากขึ้นเท่าไหร่ การขายแล้วซื้อคืนครั้งละ 10 % ก็จะยิ่งทำรายได้ส่วนต่างให้ผมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผมยิ่งไม่ต้องทำงาน แค่ขายแล้วซื้อ ขายแล้วซื้อ ผมก็มีเงินเลี้ยงชีวิตได้ตลอดไป
และโชคชั้นที่สองคือ หากราคาหุ้นสูงขึ้น มูลค่าพอร์ตยิ่งโตเป็นเงาตามตัว
โชคชั้นที่สามคือ เงินปันผลก็ยิ่งมากขึ้น
.............
เพราะฉะนั้น ยิ่งสร้างพอร์ตมากเท่าไหร่ กำไรมันจะวิ่งตามเรามาตลอดทาง ครับ
...............
ตอนที่ผมทำเริ่มแรก ผมมีหุ้นอยู่ตัวเดียว ที่ราคา 25.00 x 40,000 หุ้น ผ่านไป 1 ปี มันกลายเป็น 15.00x100,000 หุ้น
นั่นคือ หุ้นราคาตกลงมาเกือบ 10 บาท แต่ปริมาณหุ้นผมมากขึ้นเป็นเท่าตัว มูลค่าพอร์ตก็ยิ่งโตตามด้วยครับ
.................
สรุปจุดประสงค์หลักของวิธีนี้คือ อิสรภาพทางการเงิน ครับ เพราะ จะได้รายได้ประจำ จะมีเงินปันผลมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องทำงานอื่น ๆ เลย
ผมยังไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการใด ๆ หรอกครับ เพราะผมเพิ่งเริ่มสร้าง และการถือหุ้น 50 ตัวในมือ จึงต้องค่อย ๆ ทำไป ( ผมทำพร้อมกันทั้ง 50 ตัวเลยครับ เดือนนี้เพิ่มหุ้นตัวนี้ เดือนหน้าเพิ่มหุ้นตัวโน่น อะไรอย่างนี้ครับ มีความสุขพิลึกดีครับ )
.................
เกมส์ของพี่อาซ้อสี่ กำลังทำอยู่ครับ คงเสร็จภายในสัปดาห์นี้ครับ
...............
ตอบคุณ ซ้อห้า ครับ
หนังสือพ่อรวย ผมคิดว่า ทุกเล่มสำคัญเท่ากันหมดครับ แต่เล่มเกษียณเร็ว ๆ นั้นสรุปอะไรหลายอย่างจากทุกเล่ม ครับ แต่สาระสำคัญจะแทรกอยู่ทุกเล่ม เพียงแต่อ่านแล้วต้องสังเกตุ และ ต้องลองตั้งข้อสงสัยดูครับ ไม่งั้นจะไม่รู้เลยว่า มันบอกอะไรแก่เรา
สำหรับพ่อรวย ถ้าให้ผมเดา ท่านคงเห็นพลังแห่งทรัพย์สิน พลังของการใช้เงินทำงาน ที่ทำให้ท่านสามารถมีอิสรภาพ และ สามารถเลือกที่จะทำงานหรือไม่ทำก็ได้
อย่างที่ท่านบอกแหละครับ .... เงินล้านแรก หายากที่สุด แต่เมื่อหาได้แล้ว คุณจะหามันได้ตลอดไป ไม่ว่ากี่ล้านก็ตาม ( เพราะวิธีหา มันไม่ต่างกันเลย )
...............
ตอบคุณ สงสัยจิง จิง ครับ
เกมส์ cash flow 101 นั้น ไม่ได้เน้นที่หุ้นนะครับ แทบจะไม่เกี่ยวกันเลยครับ แต่จะเน้นการใช้เงินผู้อื่นมาเร่งการออกจากสนามแข่งหนูครับ
ผมไม่กล้าแนะนำว่า ต้องมาที่ตลาดหุ้น เพราะว่าคนขาดทุนเยอะมาก เพราะหลายคนที่เข้ามาหวังแต่กำไร แต่มักจะขาดทุนกลับไป จึงทำให้ผมไม่กล้าแนะนำ ขอให้คุณ สงสัยจิง จิง ตัดสินใจด้วยตัวเองครับ แต่หากเข้ามาแล้ว ( หลงแสงสี ) ก็ต้องหาแนวทางของต้วเองที่สามารถทำให้เราโตได้ในตลาดหุ้น ซึ่งวิธีที่ผมใช้ ก็เป็นแค่วิธีหนึ่งเท่านั้นครับ
ดังนั้นเราจึงทำการขาย แล้วซื้อคืน เงินส่วนต่างที่ได้จากการซื้อหุ้นคือ คือ กระแสเงินสดแฝง ( เพราะได้หุ้นกลับมา เหมือนกับว่า ห้องเช่าเรายังคงอยู่ )
การที่ต้องซื้อเฉลี่ย UMS เพราะ เรานำมันมาหารายได้ แต่ เพราะเราไม่แน่ใจว่า ถ้าเราขายไปทันทีทั้งหมด 100 เปอร์เซนต์ เราจะซื้อคืนได้หรือไม่ ซึ่งมันจะเสี่ยงมากหากซื้อคืนไม่ได้
ดังนั้นจึงขายทีละส่วน แล้วซื้อคืนทีละส่วน มันก็เลยกลายเป็นการซื้อเฉลี่ย ทำให้ราคาต้นทุนต่ำลง มีเงินส่วนต่าง ( กระแสเงินสดแฝง ) เพิ่มขึ้น
ผมจึงจะลองบอกว่า อย่าเพิ่งมองว่า UMS เป็นการซื้อเฉลี่ย แต่ลองมองว่า เป็นการหารายได้จากหุ้น ทำให้หุ้นเป็นเหมือนอสังหาริมทรัพย์แล้วเก็บค่าเช่าจากมัน
เพราะผมไม่เคยสนใจราคาที่ผมซื้อหุ้นมาเลย เพราะเมื่อใดที่ผมซื้อหุ้น นั่นคือ ผมจะได้กระแสเงินสดแฝงทันที
นั่นคือ ซื้อปุ๊ปก็คือกำไรปั๊ป เพราะผมซื้อเนื่องจากมันราคาต่ำกว่าที่ผมเคยขายไป
หุ้นทุกตัวที่ผมซื้อ ผมซื้อเพราะราคามันต่ำกว่าที่เคยขาย ถ้าราคาไม่ต่ำกว่าที่เคยขาย ผมจะไม่ซื้อมัน
...........
คราวนี้ ช่องว่างของตลาดหุ้น มาเกี่ยวข้องอะไรด้วย
ตอบก็คือ จะมีหุ้นบางส่วน ที่ขายไปแล้วซื้อคืนไม่ได้ เพราะราคากลับสูงขึ้นไป
ช่องว่างนี้จะมาอุดรูโหว่ดังกล่าว ทำให้ผมสามารถซื้อหุ้นได้ทุกตัวที่เคยขายไป
และอย่างที่ผมบอกครับว่า ผมซื้อปุ๊ป ผมก็ได้กำไรปั๊ป ( กำไรในแง่นี้คือ กระแสเงินสดแฝงครับ ) การรู้ช่องว่างนี้ ทำให้ผมซื้อหุ้นคืนได้ทุกตัวที่เคยขายไป
แต่ที่ผมยังป้วนเปี้ยนอยู่กับ UMS เพราะ ผมจะใช้ช่องว่างนี้ในคราวที่จำเป็นเท่านั้น ไม่เช่นนั้น แผนการลงทุนจะเกิดการสะดุด เหมือนการเพิ่มทุนหรือขยายพอร์ต หรือขยายกิจการเร็วเกินไป
สรุปคือ การขายแล้วซื้อ จะทำให้ผมได้กำไร ( กระแสเงินสดแฝงเมื่อซื้อ ) ส่วนช่องว่างของตลาดหุ้น จะมาอุดช่องโหว่ของหุ้นบางตัวที่ยังซื้อคืนไม่ได้
ช่องว่างของตลาดหุ้นจะถูกนำมาใช้เมื่อหุ้นเป็นขาขึ้นเท่านั้นครับ เพราะหุ้นขาลง ยังงัยก็สามารถซื้อหุ้นคืนได้
เมื่อไหร่ซื้อหุ้นคืนไม่ได้ นั่นคือ ตลาดกำลังเป็นขาขึ้น ช่องว่างของตลาดหุ้นจะถูกนำมาใช้
...........
งง มั้ยครับเนี่ยะ
..............
เพราะเครื่องมือบางอย่าง ต้องใช้ให้ถูกตามจังหวะของมัน ไม่เช่นนั้น พอร์ตจะโตเร็วเกินจนควบคุมไม่ได้ และจะก่อปัญหาให้ภายหลัง และทำให้พอร์ตโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น ( เพราะต้องมาคอยแก้ปัญหาย้อนหลังครับ )
เหมือนกิจการแหละครับ มีเงินทุนเยอะ ก็ใช่ว่าจะขยายกิจการได้ตามใจ เพราะถ้าคุมไม่อยู่ มันก็จะพังครืนลงมา ( เหมือนฟองสบู่ของไทยช่วงต้มยำกุ้ง )
..........
บางทีคุณ yellowest อาจจะยัง งง อยู่ แต่เป็นเรื่องปกติครับ เพราะคุณยังไม่รู้ว่า ช่องว่างดังกล่าวคืออะไร จึงยังมองภาพไม่ออก
............
น้องสาวผมเคยถามเรื่องนี้ พอผมอธิบายจบ เค้าอ้าปากค้างเลยครับ สีหน้าตกใจ และบอกว่า ทำมัยมันง่ายอย่างเนี่ยะ ....... ผมได้แต่ยิ้มครับ
............
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี - [ 28 ก.ค. 47 23:07:18 ]
ความคิดเห็นที่ 49
"แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่พอร์ตเท่าไหร่หรอกครับ มันอยู่ที่ว่า พอร์ตเราจะโตปีละเท่าไหร่
ของผมเอง พอร์ตโต ( ผมนับปริมาณหุ้นนะครับ ไม่ได้นับมูลค่าพอร์ต ) ประมาณ 80-100 เปอร์เซนต์ต่อปี
นั่นคือ หุ้นในมือผม จะมากขึ้นเท่าตัวทุกปีครับ ดังนั้นไม่ว่าราคาหุ้นจะลง เมื่อคูณจำนวนหุ้นที่มากขึ้น มูลค่าเงินในมือก็มากขึ้น ( แต่ผมไม่ได้ให้ความสำคัญตรงจุดนี้ ผมต้องการหุ้นมากขึ้น มากขึ้น เรื่อย ๆ ครับ )"
ซ้อเข้าใจถูกมั้ยคะว่า .. จุดประสงค์หลักของเราไม่ต้องการกำไร .. แต่คือ ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของบริษัทที่ดี ที่มีกำไรดี โดยไม่ใช้เงินของเราเองในการซื้อจำนวนหุ้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ... และได้ผลตอบแทนเหมือนเจ้าของบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน... .. ใช่มั้ยคะ
แล้วตอนนี้คุณเด่นศรี.. ได้เป็น major shareholder ของที่ไหนบ้างหรือยังคะ.. น่าจะได้แล้วมั้ง (ยิ้ม)
จากคุณ : อาซ้อสี่ค่ะ - [ 28 ก.ค. 47 23:15:06 A:202.133.161.99 X: ]
ความคิดเห็นที่ 50
"พี่อาซ้อสี่ ฝากที่อยู่ที่จะให้ผมส่งพัสดุไว้ในเวปบอร์ดก็ได้"
ซ้อขอขอบคุณมากนะคะ ที่คุณเด่นศรีกรุณา... แต่ส่งให้ที่ที่บ้านซ้อไม่สะดวกเพราะไม่มีคนอยู่บ้านรับ.. อยากรบกวนให้ส่งให้เพื่อนที่สนิทแทนนะคะ เพราะเขาอยู่บ้านตลอด
ส่งถึง คุณ วรรณา
265/209 ซ. ทวีวัฒนา ถ.สาธุประดิษฐ์ อ.ยานนาวา จ. กรุงเทพฯ 10120 ค่ะ
ขอบพระคุณมากนะคะ .. และเมื่อเล่นแล้ว เป็นอย่างไร จะมาแชร์ประสบการณ์ ให้เพื่อนๆ อีกทีค่ะ
ก่อนเล่นเกมส์ พี่อาซ้อสี่ต้องวางแผนก่อนว่า จะเล่นลักษณะไหน จะวางแผนตอนหุ้นขึ้นหรือลงอย่างไร แล้วทำตามนั้น เพราะผลของเกมส์จะบอกได้ว่า วิธีดังกล่าวที่พี่ทำนั้น มันให้ผลอย่างไร
จากคุณ : อาซ้อสี่ค่า :) - [ 28 ก.ค. 47 23:21:49 A:202.133.161.99 X: ]
ความคิดเห็นที่ 51
คุณเด่นศรีครับ
ผมอ่าน rich dad ครบทุกเล่มแล้ว .. ตอนแรกผมเข้าใจว่าเล่มที่ 4 พ่อรวยสอนลงทุน น่าจะเป็นเล่มที่สำคัญสุด เพราะนั่นเป็นการบอกวิธีการลงทุนให้รวย.. แต่ที่สังเกต จะเห็นคุณเด่นศรี เน้นที่เล่มเกษียณเร็ว เกษียณรวย ... และสามารถนำประเด็นเล็กๆ นั้นมาทำให้เป็นจริงได้.. ทำไมพี่เด่นศรี ถึงเน้นมากกับเล่มนี้ล่ะครับ
พี่เด่นศรี เคยสงสัยมั้ย .. อะไรทำให้พ่อรวยสามารถคิด concept ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ .. เป็นการพลิกชีวิตเลยนะครับ
ท้ายนี้ ผมขอชื่นชมพี่ที่ทำให้ rich dad เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น สำหรับพวกเราครับ ขอบคุณครับ
จากคุณ : ผม.. ซ้อห้าครับ - [ 28 ก.ค. 47 23:33:06 A:202.133.161.99 X: ]
ความคิดเห็นที่ 52
พี่เด่นศรีว่า เราควรไปเล่นเกม cash flow 101 ก่อน แล้วค่อยลงมือในตลาดหุ้นจริง .. หรือ ลงมือเลยในตลาดหุ้นดีคะ
จากคุณ : สงสัยจิง จิง - [ 28 ก.ค. 47 23:36:01 A:202.133.161.99 X: ]
ความคิดเห็นที่ 53
ถึงคุณเด่นศรีครับ
รบกวนถามอีกหน่อยครับ
1. ช่องว่างของตลาดหุ้น ใช้เพื่อ ให้สามารถซื้อหุ้นคืนเหรอครับ
2. ช่องว่างของตลาดหุ้น เกิดจากการกระทำของคุณ เด่นศรีเหรอครับ (เพราะเห็นคุณเด่นศรี บอกว่าจะใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น)
3. วิธีการซื้อหุ้นของคุณ เด่นศรี ก็คือ แบบพวกนักลงทุนที่ซื้อแล้วถือยาว เพื่อให้ได้รับเงินปันผลใช่รึเปล่าครับ (โดยดูจากซื้อหุ้นเมื่อราคาลง เมื่อราคาขึ้นก็ถือไปเรื่อย ๆ)
ขอบคุณมากครับ
จากคุณ : yellowman (yellowest) - [ 29 ก.ค. 47 00:03:11 ]
ความคิดเห็นที่ 54
คราวนี้คำถามมาเพียบเลยครับ แต่ก็ดีครับ เพราะถ้าไม่ถามมา ผมก็คงอธิบายไม่ตรงแต่ละจุดที่ต้องการ
............
ตอบของพี่อาซ้อสี่ก่อนนะครับ
การขายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบซื้อคืนในวันนั้นครับ ส่วนใหญ่แล้ว ผมจะขายไปเรื่อย ๆ ยิ่งลงจะยิ่งขาย จนกว่ามันจะเริ่มงอหัวขึ้น ผมก็จะซื้อคืนรวบยอดเลยครับ เพราะบางที พอซื้อคืนปุ๊ป อีกวันหุ้นก็ขึ้นต่อ ก็เหมือนได้โชคชั้นที่สองไปในตัว
หากขายแล้วยังซื้อคืนไม่ได้ ผมจะไม่เรียกว่าขายขาดทุนครับ เพราะผมจะทำราคาไว้ตลอดว่า ขายอะไรไปบ้าง ที่ราคาเท่าไหร่ ถ้ายังซื้อคืนไม่ได้ ผมก็จะไม่ลบข้อมูลนั้นออกครับ จนกว่าจะซื้อคืนได้
แต่หากพี่อาซ้อสี่ยังไม่ทราบเรื่อง ช่องว่าง ... ก็จะมีทางแก้อีกทางหนึ่ง ซึ่งผมจะบอกทางนี้ครับ ( เพราะพอหุ้นขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็จะใช้แนวทางนี้ปรับพอร์ตไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคราวจำเป็น หรือ คราวเหมาะสม จึงจะใช้ช่องว่างนี้ครับ ( ใช้ไม่ค่อยบ่อย แต่ใช้ที ก็เหมือนกินรวบเลยครับ ( ยิ้ม ) )
เราไม่จำเป็นต้องตัดขาดทุนครับ แต่เป็นการนำหุ้นที่เราซื้อผิดพลาดมาหารายได้จากมัน บางครั้งถ้าหุ้นผันผวนมาก แค่ 1 ปี สามารถเอาต้นทุนคืนได้เลยครับ เหลือแต่กำไรเป็นหุ้น เพราะผมทำมาแล้ว ตอนนั้นยังงงตัวเองเลยครับ )
..............
อย่าง BEC หรือหุ้นตัวอื่นที่มีปัญหา ก็ลองขายสร้างโอกาส สัก 10 เปอร์เซนต์ครับ ( อย่าขาดทั้งหมด เพราะ เราไม่มีทางรู้ว่า วันรุ่งขึ้นหรือวันต่อ ๆ ไป หุ้นจะไปทางไหนแน่ )
.................
คำถามที่ว่า จุดประสงค์หลักของเราคืออะไร
ตอบก็คือ รายได้ทุกวันโดยที่เราไม่ต้องทำงาน ครับ
คือ พอร์ตของเรา เราจะสร้างมันให้โตขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่มันโตขึ้น มันก็จะให้รายได้ คือ กระแสเงินสดแฝง กลับมาให้เราแทบทุกวัน ( เปรียบเหมือนค่าเช่าบ้าน )
นั่นคือ ยิ่งมันโต เรายิ่งมีรายได้ ซึ่งรายได้ส่วนนี้ จะมั่นคงกว่ากำไร และจะมากกว่ากำไร
ส่วนการได้เป็นเจ้าของกิจการ เป็นความภาคภูมิใจของผม
ยิ่งเป็นผู้ถือหุ้นมากเท่าไหร่ ผลพลอยได้อีกอย่างคือ เงินปันผล ก็ยิ่งมากขึ้น
เช่น ถ้าผมขาย BEC 10 เปอร์เซนต์ คือ 1000 หุ้น ที่ราคา 17.00 แล้วซื้อคืนมาที่ราคา 16.00 บาท ผมจะมีรายได้จากส่วนต่าง ( กระแสเงินสดแฝง ) = 1,000 บาท ( ต่อการซื้อหุ้นคืน 1 ครั้ง )
แต่ ..... หากผมทำไปเรื่อย ๆ จนมีเงินซื้อหุ้นทบต้น จนหุ้น BEC จาก 10,000 หุ้น กลายเป็น 100,000 หุ้น
ผมตัดขาย 10 % ( = 10,000 หุ้น ) ที่ ราคา 17.00 แล้วซื้อคืนที่ 16.00 ผมจะได้รายได้ส่วนต่างนี้เป็น 10,000 บาทต่อการซื้อคืน 1 ครั้ง
ยิ่งผมสร้างหุ้นในพอร์ตให้มากขึ้นเท่าไหร่ การขายแล้วซื้อคืนครั้งละ 10 % ก็จะยิ่งทำรายได้ส่วนต่างให้ผมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผมยิ่งไม่ต้องทำงาน แค่ขายแล้วซื้อ ขายแล้วซื้อ ผมก็มีเงินเลี้ยงชีวิตได้ตลอดไป
และโชคชั้นที่สองคือ หากราคาหุ้นสูงขึ้น มูลค่าพอร์ตยิ่งโตเป็นเงาตามตัว
โชคชั้นที่สามคือ เงินปันผลก็ยิ่งมากขึ้น
.............
เพราะฉะนั้น ยิ่งสร้างพอร์ตมากเท่าไหร่ กำไรมันจะวิ่งตามเรามาตลอดทาง ครับ
...............
ตอนที่ผมทำเริ่มแรก ผมมีหุ้นอยู่ตัวเดียว ที่ราคา 25.00 x 40,000 หุ้น ผ่านไป 1 ปี มันกลายเป็น 15.00x100,000 หุ้น
นั่นคือ หุ้นราคาตกลงมาเกือบ 10 บาท แต่ปริมาณหุ้นผมมากขึ้นเป็นเท่าตัว มูลค่าพอร์ตก็ยิ่งโตตามด้วยครับ
.................
สรุปจุดประสงค์หลักของวิธีนี้คือ อิสรภาพทางการเงิน ครับ เพราะ จะได้รายได้ประจำ จะมีเงินปันผลมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องทำงานอื่น ๆ เลย
ผมยังไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการใด ๆ หรอกครับ เพราะผมเพิ่งเริ่มสร้าง และการถือหุ้น 50 ตัวในมือ จึงต้องค่อย ๆ ทำไป ( ผมทำพร้อมกันทั้ง 50 ตัวเลยครับ เดือนนี้เพิ่มหุ้นตัวนี้ เดือนหน้าเพิ่มหุ้นตัวโน่น อะไรอย่างนี้ครับ มีความสุขพิลึกดีครับ )
.................
เกมส์ของพี่อาซ้อสี่ กำลังทำอยู่ครับ คงเสร็จภายในสัปดาห์นี้ครับ
...............
ตอบคุณ ซ้อห้า ครับ
หนังสือพ่อรวย ผมคิดว่า ทุกเล่มสำคัญเท่ากันหมดครับ แต่เล่มเกษียณเร็ว ๆ นั้นสรุปอะไรหลายอย่างจากทุกเล่ม ครับ แต่สาระสำคัญจะแทรกอยู่ทุกเล่ม เพียงแต่อ่านแล้วต้องสังเกตุ และ ต้องลองตั้งข้อสงสัยดูครับ ไม่งั้นจะไม่รู้เลยว่า มันบอกอะไรแก่เรา
สำหรับพ่อรวย ถ้าให้ผมเดา ท่านคงเห็นพลังแห่งทรัพย์สิน พลังของการใช้เงินทำงาน ที่ทำให้ท่านสามารถมีอิสรภาพ และ สามารถเลือกที่จะทำงานหรือไม่ทำก็ได้
อย่างที่ท่านบอกแหละครับ .... เงินล้านแรก หายากที่สุด แต่เมื่อหาได้แล้ว คุณจะหามันได้ตลอดไป ไม่ว่ากี่ล้านก็ตาม ( เพราะวิธีหา มันไม่ต่างกันเลย )
...............
ตอบคุณ สงสัยจิง จิง ครับ
เกมส์ cash flow 101 นั้น ไม่ได้เน้นที่หุ้นนะครับ แทบจะไม่เกี่ยวกันเลยครับ แต่จะเน้นการใช้เงินผู้อื่นมาเร่งการออกจากสนามแข่งหนูครับ
ผมไม่กล้าแนะนำว่า ต้องมาที่ตลาดหุ้น เพราะว่าคนขาดทุนเยอะมาก เพราะหลายคนที่เข้ามาหวังแต่กำไร แต่มักจะขาดทุนกลับไป จึงทำให้ผมไม่กล้าแนะนำ ขอให้คุณ สงสัยจิง จิง ตัดสินใจด้วยตัวเองครับ แต่หากเข้ามาแล้ว ( หลงแสงสี ) ก็ต้องหาแนวทางของต้วเองที่สามารถทำให้เราโตได้ในตลาดหุ้น ซึ่งวิธีที่ผมใช้ ก็เป็นแค่วิธีหนึ่งเท่านั้นครับ