DSM concept ตอนที่ 39

ผมเริ่มด้วยเงินประมาณ 800,000 บาท ทำจนได้มาเยอะ แต่พอมาเจอวิธีนี้แล้วเริ่มลองใช้ ผมขาดทุนไปประมาณ 1.3 ล้าน ภายในเวลาแค่ 4 เดือนครับ ตอนนั้นหมดกำลังใจ นอนก่ายหน้าผากเลยครับ
แต่มีภรรยาให้กำลังใจ ยอมทำเงินกลับมาให้เราเล่นหุ้นต่อ
มานอนคิด ก็เพิ่งรู้ตัวว่า ทฤษฎีถูกต้อง แต่ปฎิบัติผิดทางครับ
พอแก้ไขได้ ก็อยู่จนทุกวันนี้ พอร์ตก็ประมาณเกือบ 10 ล้านครับ
แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่พอร์ตเท่าไหร่หรอกครับ มันอยู่ที่ว่า พอร์ตเราจะโตปีละเท่าไหร่
ของผมเอง พอร์ตโต ( ผมนับปริมาณหุ้นนะครับ ไม่ได้นับมูลค่าพอร์ต ) ประมาณ 80-100 เปอร์เซนต์ต่อปี
นั่นคือ หุ้นในมือผม จะมากขึ้นเท่าตัวทุกปีครับ ดังนั้นไม่ว่าราคาหุ้นจะลง เมื่อคูณจำนวนหุ้นที่มากขึ้น มูลค่าเงินในมือก็มากขึ้น ( แต่ผมไม่ได้ให้ความสำคัญตรงจุดนี้ ผมต้องการหุ้นมากขึ้น มากขึ้น เรื่อย ๆ ครับ )
..........
ผมทำงานอย่างอื่นด้วยครับ มีธุรกิจส่วนตัว ( แต่ตอนนี้ให้ภรรยาทำทุกอย่างแล้ว ผมแค่ตรวจบัญชีและกระจายเงินไปให้มันทำงานที่จุดต่าง ๆ ครับ ) แล้วก็มีงานอย่างอื่นนิด ๆ หน่อย ๆ รวมทั้งห้องเช่า ( ผมอยากลองทำดูบ้าง ครับ ก็ได้แค่นิดหน่อย )
............
แค่นี้ก่อนนะครับ ผมขอตัวไปดูพอร์ตก่อนครับ
............
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี  - [ 28 ก.ค. 47 10:04:12 ] 

ความคิดเห็นที่ 40  
มาต่อครับ
พอจำได้มั้ยครับ ที่หนังสือจะบอกว่า นักลงทุนจะไม่รอโอกาส แต่จะสร้างโอกาส
การขายหุ้นของพี่อาซ้อสี่ ผมไม่ถือว่าเป็นการขายขาดทุน แต่เป็นการขายเพื่อสร้างโอกาสซื้อ เป็นการขายเพื่อรอซื้อเพื่อให้ได้มาซึ่งกระแสเงินสดแฝง แต่จะซื้อได้เร็วหรือช้า ไม่จำเป็นต้องรีบ ( แต่รับรองว่าซื้อได้แน่นอน พันเปอร์เซนต์ ครับ )
.............
สำหรับการเฝ้าดูหุ้น อันนี้แล้วแต่แต่ละท่านครับ ถ้าไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ ก็เช็คราคาเป็นช่วง ๆ ก็ได้ แล้วจัดราคาที่เราจะขายหรือซื้อให้สะดวกตามเวลาของเรา
เช่น ที่ผมบอกว่าขายทุกครั้งที่ลงมา 3 ช่อง ถ้าไม่มีเวลาดู ก็อาจเปลี่ยนเป็น ขายครั้งละ 20 เปอร์เซนต์ ทุกครั้งที่ลงมา 5-6 ช่อง อะไรทำนองเนี่ยะครับ
นั่นคือ พยายามบริหารพอร์ตให้เข้ากับจังหวะการดำเนินชีวิตของเราครับ อย่าให้มันขัดกัน
..............
สำหรับคุณ คห. 37 ( ซ้อห้า ) เงิน 200,000 ก็สามารถเริ่มได้ครับ เพียงแต่การขาย ต้องดูค่าคอม ๆ ขั้นต่ำด้วยครับ เช่นถ้าค่าคอม ๆ ขั้นต่ำอยู่ที่ 20,000 บาท คุณก็อาจแบ่งหุ้นเป็นส่วนละ 15 เปอร์เซนต์ ขายทุก 4-5 ช่อง ที่หุ้นลง ( อันนี้พูดกรณีเป็นขาลงนะครับ เพราะขาขึ้น ทุกคนจะมีวิธีซื้อขายของตัวเองอยู่แล้ว )
ส่วนการโตของพอร์ต ( การเพิ่มของปริมาณหุ้น ) ถ้าทำได้ดีและเอาใจใส่ได้ละเอียด น่าจะเพิ่มประมาณ 60-100 เปอร์เซนต์ต่อปีครับ
...........
ส่วนคำถามของคุณ คห. 38 ( คุณสงสัยจิง จิง )
ตอนนี้ รายได้จากกระแสเงินสดแฝง สามารถทำให้ผมและภรรยา ไม่ต้องทำงานอื่นได้เลยครับ ( แต่ที่ยังให้ภรรยาดูแลกิจการ เพราะเงินทีเค้าทำได้ ผมให้เค้าซื้อหุ้น cpf เก็บเข้าพอร์ตของเค้าทุกสัปดาห์ครับ ) และเค้ายังอยากทำร้านอยู่ แต่วันหนึ่งผมคงหาคนทำแทนเค้าแล้วให้เค้านั่งดูแลพอร์ตของเค้าและดูแลกิจการไปด้วยครับ
แต่หากว่า เกิดฟองสบู่แตก ตอนนั้นผมคงบอกอะไรได้มากกว่านี้ว่า พอร์ตของผมและแนวทางนี้ สามารถทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแท้จริงหรือไม่ คงต้องพิสูจน์ของจริงกันตอนนั้นครับ
.............
และสำหรับเรื่องที่ผมบอกว่า ผมไม่ได้ศึกษางบการเงิน ไม่รู้เทคนิค ไม่รู้การวิเคราะห์กราฟ และ ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ทางเศรษฐกิจ นั่น มันมีสาเหตุดังนี้ครับ ( ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติม )
1. เรื่องงบการเงิน ผมไม่มั่นใจ เพราะว่า ทุกคน ทุกแห่ง สามารถสร้างตัวเลขได้ บ่อยครั้งที่ต้องการให้หุ้นขึ้น ก็ออกข่าวงบการเงินอย่างสวยหรู พอขายหุ้นได้แล้วต้องการซื้อคืน ก็ออกข่าวตรงกันข้าม .... นั่นคือ บ่อยครั้งที่งบการเงิน เป็นเครื่องมือการทำกำไรของคนวงในครับ
2. การวิเคราะห์กราฟ หรือ เทคนิค ผมสารภาพเลยครับว่า ผมดูไม่เป็น และเห็นว่า วอเรน บุฟเฟต หรือ นักลงทุนเก่ง ๆ ของโลก หลายท่านไม่ได้วิเคราะห์ทางเทคนิค แต่วิเคราะห์ทางพื้นฐาน บวกกับการถือหุ้นระยะยาว ผมจึงเลือกทางเดียวกับท่านเหล่านี้ครับ ( อีกอย่าง ผมไม่เก่งวิเคราะห์กราฟด้วยครับ )
3. เรื่องหนังสือพิมพ์ทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ผมไม่ค่อยได้อ่านเพราะ วันหนึ่ง ... โบรกเกอร์มาลงโปรแกรมให้ผมที่บ้าน เจอหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจที่ผมซื้อมา เค้าบอกผมอย่างตรงไปตรงมาว่า .... ไม่ต้องไปอ่านหรือสนใจมันมากหรอก กว่าข่าวจะออกมา วงในเค้าเอากำไรไปเรียบร้อยแล้ว .......
............
และที่สำคัญ ไม่ว่าข่าวจะดีหรือร้าย มันสามารถสร้างประโยชน์ให้ผมทั้งสองทาง ผมจึงรับได้ทั้งข่าวดีและข่าวร้าย
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องไข้หวัดนก พอมีข่าวออกมา ผมก็ยิ้ม ( มุมปาก ) และบอกกับภรรยาว่า เตรียมตัวรับหุ้นราคาถูก ๆ ได้แล้ว
แต่ถ้าเป็นข่าวดี ผมก็จะยิ้มอีกเช่นกันครับ เพราะ มูลค่าพอร์ตของผม จะโตขึ้นอีกแล้ว ( ผมไม่ค่อยขายหุ้นตอนหุ้นขึ้นครับ หรือขายค่อนข้างน้อยมาก )
..........
เมื่อเป็นดังนี้ ผมจึงทำตามแผนของผมไปเรื่อย ๆ ข่าวดีข่าวร้ายที่ออกมา สามารถสร้างประโยชน์ให้กับพอร์ตของผมได้
............
นี่คือประโยชน์ของการลงทุน หรือที่ผมอยากจะบอกว่า ประโยชน์ของการหารายได้จาก กระแสเงินสดแฝง ครับ นั่นคือ ทั้งข่าวดีและข่าวร้าย จะเป็นประโยชน์แก่พอร์ตของเรา
...........
ผมมองการลงทุนในหุ้นเป็นอย่างนี้ครับ คือ เราเอาเงินมาลงในหุ้น แล้วปล่อยให้เงินทำงานเอง ( หุ้นขึ้น ) ส่วนตัวเรา มีหน้าที่หลักคือ เพิ่มหุ้นในพอร์ต ( หุ้นลง )
นั่นคือ หุ้นขึ้น ปล่อยให้เงินทำงาน
หุ้นลง เป็นโอกาสของเราในการเพิ่มปริมาณหุ้น
โดยมีข้อแม้ว่า ห้ามเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปอีกอย่างเด็ดขาด ( ลงเริ่มแรกเท่าไหร่ ก็คือเท่านั้น แล้วให้พอร์ตสร้างเงินด้วยตัวมันเอง )
..............
พี่อาซ้อสี่ ฝากที่อยู่ที่จะให้ผมส่งพัสดุไว้ในเวปบอร์ดก็ได้ครับ แล้วผมจะรีบทำส่งให้ ผมจะเริ่มต้นเกมส์ด้วยราคาของ BEC ( ที่ราคาประมาณ 27.00 ตอนแตกพาร์รึเปล่าก็ไม่รู้นะครับ ส่วนข้อกำหนดในเกมส์ ผมจะบอกเป็นรายละเอียดให้ในเกมส์ที่ส่งไปครับ )
ก่อนเล่นเกมส์ พี่อาซ้อสี่ต้องวางแผนก่อนว่า จะเล่นลักษณะไหน จะวางแผนตอนหุ้นขึ้นหรือลงอย่างไร แล้วทำตามนั้น เพราะผลของเกมส์จะบอกได้ว่า วิธีดังกล่าวที่พี่ทำนั้น มันให้ผลอย่างไร
................
จากคุณ : เด่นศรี  - [ 28 ก.ค. 47 12:30:23 ] 

 ความคิดเห็นที่ 41  
... อืมผมจะสรุป ตามที่ผมอ่านและติดตามแนวคิดที่คุณเด่นศรีบอกนะครับ คือ
1. ไม่จำเป็นที่ Port จะต้องมีเงินสดเหลือเลย แต่มีหุ้นใน Port เป็นใช่ได้
2. หุ้นที่มีควรมีการเคลื่อนไหวจะดีมาก
3. ใช้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นใน Port เราหาโอกาสทำเงินไม่ว่ามันจะขึ้นหรือลง
ขึ้นคือได้กำไร(ถ้าขาย) หรือPort เราโต(ถ้าไม่ขาย)
ลงมีกำไร (ถ้าขายราคาสูงแล้วซื้อคืนกลับราคาต่ำ โดยทั้งนี้ ถ้าเราคิดว่า หุ้นใน Port เรายังมีเท่าเดิม ) แต่เราได้เงินเพิ่มขึ้นจากการขายสูงซื้อต่ำ ก็คือเงินสดแฝง
ซึ่งโดยสรุปแล้ก็คือ หาโอกาสขายสูง ซื้อต่ำให้ได้นั้นเอง
โดยจะต้องมีแบบแผนการลงทุน
ดูมันง่ายมาก แต่ทำยากไงหละครับ
อย่างที่บอกว่า ไม่ต้องสนใจ งบ กราฟ เทคนิค ก็ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการคาดการณ์การขึ้นลง รู้ภาวะสภาพจิตวิทยา ฯลฯ และจุดสำคัญต้องมีความมั่นใจอยู่ด้วยที่จะดำเนินการ..
หรือไม่ก็ต้องรู้ผู้ที่จะกำหนดว่าหุ้นจะลงจะขึ้นเมื่อไหร่
หรือไม่ก็ต้องผู้ที่จะกำหนดเสียเอง
ฮ่าๆๆๆๆ
จากคุณ : Ble (@Ble)  - [ 28 ก.ค. 47 13:43:46 ] 

 ความคิดเห็นที่ 42  
ผมคิดว่า คุณ คห.41 ( คุณ @Ble ) คงจะเป็นผู้รู้ข่าววงในนะครับ ถึงพยายามดึงเข้าสู่เรื่องของวงในทุกครั้ง
ผมขอถามคุณ @Ble สักนิดนะครับว่า
1. ถ้าผู้ลงทุนไม่รู้ข่าววงในเลย หรือไม่ใช่ผู้มีเงินหนา หรือไม่ได้เป็นรายใหญ่ผู้กำหนดชี้ราคาหุ้นให้ขึ้นหรือลง จะไม่มีสิทธิได้กำไรในตลาดหุ้นเลยหรือครับ
............
2. การลงทุนในตลาดหุ้น ต้องอาศัยพรสวรรค์ในการคาคเดาการขึ้นลงของราคาด้วยหรือครับ ถ้าเช่นนั้น หมอดูเก่ง ๆ ทำไมถึงไม่มาเล่นหุ้นครับ หรือถ้าเช่นนั้น นักเล่นหุ้นก็คงต้องเป็นหมอดูหรือหมอเดาได้สิครับ
..........
3. ถ้าสมมุติว่า ตอนนี้ราคาหุ้น ADVANCE อยู่ที่ 92.50 บาท โดยที่ผมขายเพื่อหาโอกาสซื้อ 92.50 x 1000 หุ้น ( แล้วผมยังถืออยู่อีก 9,000 หุ้น ) คุณ @Ble คิดว่าผมจะคาดเดาถูกหรือครับว่า ต่อไปหุ้นจะลงไปให้ผมซื้อ หรือ ขึ้นมาให้พอร์ตผมโต
..........
4. จากคำถามข้อ 3. ถ้าหุ้นลง ผมก็ซื้อคืนได้ ถ้าหุ้นขึ้นพอร์ตผมก็โตตาม อยากถามว่า มันเกี่ยวอะไรกับการรู้วงใน หรือการมีพรสวรรค์ในการเดาว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง ในเมื่อลงก็ได้ขึ้นก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรู้วงในหรือเดาตลาดถูกต้อง
............
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีเพื่อนสนิทผมท่านหนึ่ง เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้น และโทรศัพท์คุยกับผม
เค้าบอกว่า เค้ารู้จักกับผู้จัดการแบ็งค์ท่านหนึ่ง ซึ่งดูแลพอร์ตของเจ้านาย
และผู้จัดการแบ็งค์นั้นก็สนิทกับเค้า ( เค้าเป็นแพทย์ ) และบอกเค้าเกือบทุกวันว่า ... เฮ้ย ยู วันนี้ตัวนี้นะ .......... วันละ 3-4 ตัว
พอคุยกันเค้าก็บอกให้ผมโทรหาเค้าทุกเช้าตอน 9.30 น. เพราะเค้าจะบอกหุ้นดังกล่าวให้ผม
แต่ .... ผมมักจะโทรหาเค้าเกือบทุกวัน แต่เป็นตอน 17.00 น . ( หลังตลาดปิด ) เพื่อถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อเดือนที่แล้ว แฟนเค้าโทรมาคุยกับผมว่า จะเลิกกับเพื่อนสนิทของผม เพราะเค้าก่อหนี้มากมาย เนื่องจากเสียหุ้น
เดือนถัดมา เพื่อนคนนี้ก็โทรมาหาผม ขอยืมเงินไปถอนทุนคืนจากหุ้น ( เพราะช่วงนั้นหุ้นขึ้น ) ผมก็ถามเค้าว่า ยังหาข่าวจากวงใน หรือจากผู้จัดการหุ้นอยู่หรือเปล่า
เค้าตอบว่า .... อือ ตัวเด็ด ๆ ทั้งนั้น
ผมจึงไม่ให้เขายืมเงิน
เพราะเขาไม่ใช่นักลงทุน เขาเป็นแค่นักเก็งกำไร ซึ่งเสี่ยงมากที่เงินของผมจะหายไปด้วย
จนบัดนี้ เค้าต้องทำงานหนักหาเงินใช้หนี้ที่ก่อไว้หลายล้าน
ก่อนหน้านั้น ผมเคยบอกเค้าว่า เค้ามาคุยในบอร์ดของมหาลัยสิ .... ผมจะบอกวิธีของผมให้ แต่เค้าปฎิเสธ และบอกว่า .... ไม่ต้อง กรู รู้วงใน .....
............
แต่เรื่องของเพื่อนผม อาจจะเป็นเพราะรู้วงในของเทียม
แต่ของคุณ @Ble น่าจะรู้วงในของจริงครับ ผมยินดีด้วย
..........
เด่นศรี
จากคุณ : เด่นศรี  - [ 28 ก.ค. 47 14:32:56 ] 

 ความคิดเห็นที่ 43  
ที่ผมว่าไว้ มี บุคคลที่จะทำได้ 3 ประเภทครับ
ประเภทแรก
"อย่างที่บอกว่า ไม่ต้องสนใจ งบ กราฟ เทคนิค ก็ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการคาดการณ์การขึ้นลง รู้ภาวะสภาพจิตวิทยา ฯลฯ และจุดสำคัญต้องมีความมั่นใจอยู่ด้วยที่จะดำเนินการ..."
อันนี้มันหมายถึงรู้วงในหรือครับ...
4 ข้อที่คุณถามมาผมไม่มีปัญญาตอบครับ
แต่ผมขอถามกลับ 1 ข้อเดียวครับว่า
แล้วคุณจะใช้เกณฑ์อะไร ในการที่จะขาย 10 %  หรือซื้อกลับเพื่อเอาเงินสดแผงตามที่คุณบอกครับ.... หรือแค่ขาย
92.50 X 1000 ก็คือเงินสดแฝงที่คุณว่าครับ แล้วสิ่งที่คุณจะทราบว่าหุ้นไหนเกร็งกำไร หุ้นไหนพื้นฐาน ตามที่คุณบอก ต้น ๆ กระทู้ คุณมีเกณฑ์อะไรวัดครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5