คนเหมือนกันทั้งโลก

ในการวิเคราะห์เรื่องการลงทุนนั้น  แนวความคิดที่สำคัญมากอย่างหนึ่งที่ผมยึดถือก็คือความคิดที่ว่า  “คนนั้นเหมือนกันทั้งโลก”  ความแตกต่างของพฤติกรรมที่เราเห็นจากคนในแต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศนั้น  ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดจากความแตกต่างของรายได้  นั่นคือ  สังคมที่รวยกว่าจะมีพฤติกรรมในการบริโภคและการใช้ชีวิตแตกต่างจากคนในสังคม ที่จนกว่า  แต่ในสังคมที่รวยพอ ๆ  กันก็จะประพฤติหรือบริโภคสิ่งที่คล้าย ๆ  กัน   พูดง่าย ๆ  คนไม่ได้แตกต่างกันเพราะเชื้อชาติ  สีผิว  หรือแม้แต่วัฒนธรรม  แต่คนแตกต่างกันเพราะมีรายได้ไม่เท่ากัน   แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องชัดเจนก็คือ  แท้ที่จริงแล้ว  คนเรานั้นชอบหรืออยากทำอะไรเหมือน ๆ  กัน  เพียงแต่คน ๆ หนึ่งอาจจะมีรายได้มากพอที่จะทำในสิ่งที่ต้องการได้  ในขณะที่คนอีกคนหนึ่งทำไม่ได้เพราะไม่มีเงิน
จากแนวความคิดดังกล่าว  ทำให้เราสามารถคาดการณ์ว่า   ประเทศไทยหรือสังคมไทยจะเคลื่อนไหวไปทางไหน  สินค้าหรือบริการอะไรจะขายได้หรือขายดีในอนาคต  วิธีการก็คือ  ศึกษาจากประเทศหรือสังคมที่รวยกว่าเรา   ดูว่าเคยเป็นอย่างไรและปัจจุบันเป็นอย่างไร  ใช้ผลิตภัณฑ์อะไรมากน้อยแค่ไหน  จากนั้นหันมาดูเมืองไทยว่า  เราจะเดินตามแบบเดียวกับเขาเมื่อไร  หัวใจสำคัญก็คือ  ดูว่าเมื่อไรรายได้ของคนไทยจะเพิ่มขึ้นหรือราคาของสินค้าจะลดลงจนทำให้คนไทย มีปัญญาใช้สินค้านั้นได้เช่นกัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือเรื่องของโทรศัพท์มือถือ   เมื่อราวสิบกว่าปีก่อน  ถ้ายังจำกันได้  การใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทยเพิ่งเริ่มเกิดขึ้น   อย่างไรก็ตาม  คนใช้ยังมีจำนวนน้อยมาก  แต่ละปีจะมีผู้ใช้รายใหม่เพียงไม่กี่แสนรายในขณะที่ประเทศในกลุ่มสแกนดิเน เวียนั้น  เกือบทุกคนแม้แต่เด็กเล็กก็ใช้กันแล้ว  เหตุผลของความแตกต่างก็คือ  ราคาของการใช้โทรศัพท์มือถือในเมืองไทยยังแพงเกินกว่าที่คนไทยส่วนใหญ่จะ สามารถใช้ได้   แต่แล้ว  ราคาค่าเครื่องและค่าบริการการใช้โทรศัพท์มือถือก็ลดลงอย่างรวดเร็วจนคนไทย ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้  ผลก็คือ  การใช้ในประเทศไทยก็พุ่งขึ้นจนปัจจุบันคนไทยเกือบทั้งหมดต่างก็ใช้โทรศัพท์ มือถือเหมือนกับประเทศเจริญแล้ว
บางคนอาจจะบอกว่า  เรื่องการบริโภคหรือเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจนั้น  คนอาจจะทำตามกันเมื่อมีรายได้ใกล้เคียงกัน  แต่ในเรื่องของความเชื่อ  รสนิยม  ความคิดทางสังคมหรือการเมืองนั้น  แต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศน่าจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ ละกลุ่ม  แต่ผมเองคิดว่า  ความแตกต่างเหล่านั้นน่าจะเป็นในเรื่องของ “รายละเอียด”   ในภาพใหญ่แล้ว  ผมก็ยังคิดว่า  “คนเราเหมือนกันทั้งโลก”    ถ้าพวกเขามีรายได้หรือความมั่งคั่งใกล้เคียงกัน  ยกตัวอย่างเช่น  ประเทศที่ร่ำรวยมากขึ้น  ในทางการเมืองก็จะเป็นประเทศที่ยึดหลักเสรีประชาธิปไตย  ไม่มีประเทศไหนเป็นประเทศที่ปกครองแบบเผด็จการ   ในทางตรงกันข้าม  ประเทศที่ยากจนอาจจะมีระบอบการปกครองเป็นเผด็จการได้  แต่เมื่อใดที่พวกเขารวยขึ้นเรื่อย ๆ  จนถึงจุดหนึ่ง  พวกเขาก็ต้องเป็นประเทศประชาธิปไตย  เพราะหัวใจของเรื่องก็คือ  มนุษย์ทุกคนในโลกต้องการมีเสรีภาพ  แต่บางครั้งเขาเลือกไม่ได้เมื่อเขายังจนอยู่  แต่เมื่อรวยขึ้นแล้ว  พวกเขาก็จะต้องเรียกหาและได้เสรีภาพและประชาธิปไตยในที่สุด
ผมเองชอบย้อนรำลึกถึงความหลังในสมัยที่ยังเด็ก  ถึงวันนี้ผมรู้สึกทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ น่าเชื่อ  ในสมัยก่อนนั้นผมรู้สึกว่าสังคมไทยมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากสังคมอื่น ๆ โดยเฉพาะที่ไม่ใช่คนเอเซีย  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการได้รับการสอนหรือพร่ำบอกผ่านสื่อต่าง ๆ  ว่าประเทศไทยจะต้องเป็นหรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  คนไทยเป็นคนที่มีค่านิยมอย่างนั้นอย่างนี้ที่  “ดี” กว่าคนอื่น  แต่พอถึงวันนี้  หลังจากที่เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นมหาศาลและคนไทยเริ่มรวยขึ้นพอสมควร   ผมก็เริ่มเห็นว่าคนไทยรุ่นใหม่โดยเฉพาะที่พ่อแม่มีรายได้และความมั่งคั่งสูง ขึ้นนั้น  ได้เปลี่ยนค่านิยมไปมากมาย  นั่นคือ  พวกเขามีความคิดและค่านิยมเหมือน ๆ กับฝรั่งและชาวต่างชาติอื่น ๆ ที่มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่า    ความ “เป็นไทย”  นั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องในอดีตและไม่น่าที่จะมีใครสามารถ  “หมุนเข็มนาฬิกา” กลับคืนไปได้  ดังนั้น  สิ่งที่ผมทำก็คือ  พยายาม “ปรับตัว” และ “ปรับใจ” เพื่อรับกับ  “สังคมใหม่”  ที่มาพร้อมกับความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของสังคมไทย  และไม่ไปตัดสินว่าสิ่งเหล่านั้นดีหรือไม่ดี
ผมพูดมายืดยาวและดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับการลงทุนนัก  แต่ที่จริงมันเกี่ยวกับการวิเคราะห์หาแนวโน้มในอนาคตของประเทศไทย  อนาคตของเศรษฐกิจไทย  และอนาคตของบริษัทไทย  สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากต่อการลงทุนระยะยาวที่เราจำเป็นต้องรู้ว่าอนาคต มันจะไปถึงจุดไหน  อย่างไรก็ตาม   ในระยะสั้น ๆ  นั้น  บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้นอาจจะยังไม่เกิดและหลายครั้งกลับเดินไป ในทิศตรงกันข้ามทำให้เราไม่มั่นใจและอาจจะคิดไปว่า  “เมืองไทยไม่เหมือนที่อื่นเพราะ…”   แต่ในความเห็นของผมหลังจากที่ผ่านประสบการณ์มานานพอสมควรในชีวิต  ผมคิดว่า  “คนเหมือนกันทั้งโลก  เพราะเรามียีนส์แบบเดียวกัน”  การเป็น “คนไทย” นั้น  เป็นเรื่องของ “รายละเอียด” ที่ไม่สามารถจะไปเปลี่ยนโครงสร้างใหญ่ที่ธรรมชาติได้กำหนดมาแล้วสำหรับ มนุษย์ทุกคน  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  ถ้าผมเห็นว่า  เทรนด์หรือแนวโน้มของโลกที่เจริญแล้วไปทางไหน  ไม่ช้าก็เร็ว  ประเทศไทยก็จะพัฒนาไปทางนั้น  ไม่มีข้อยกเว้น  เราต้องมั่นใจและตัดสินใจลงทุนได้แม้ว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่อาจจะไม่เป็น เช่นนั้นหรือชี้ไปในทิศตรงกันข้าม

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘