กำเนิด VI

พื้นฐานของชีวิตและการเริ่มต้นเป็น Value Investor หรือนักลงทุนของแต่ละคนนั้นบอกอะไรบางอย่างถึงแนวทางหรือกลยุทธการลงทุนของ เขา  รวมถึงการคาดการณ์อนาคตที่เขาจะไปถึงได้
วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น  “เกิดมาเพื่อที่จะเป็นนักลงทุนเอกของโลก”  เพราะเขารักการหาเงินและลงทุนตั้งแต่เด็ก  เขาเกิดในช่วงเวลาและในประเทศที่เหมาะสม  และได้พบและเรียนรู้ศาสตร์การลงทุนจาก    เบน เกรแฮม ปรมาจารย์ด้านการลงทุนเอกของโลก  กลยุทธและวิธีการของเขาก็คือ  ลงทุนระยะยาวและโตไปกับเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองสุด ๆ  ของอเมริกา  จอร์จ โซรอส นั้น  เป็นเด็กหนุ่มชาวยิวฮังการีที่ต้องหนีนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง  ความคิดของเขาก็คือ  ต้องเร็วและเอาตัวรอดให้ได้  การลงทุนของเขานั้นดูเหมือนจะคล้าย ๆ  กับการต่อสู้หรือสงคราม  นั่นคือ  เข้า “โจมตี”  อย่างรุนแรง  รวดเร็ว  “เผด็จศึก” เป็นครั้ง ๆ   เขาทำกำไรจากหายนะเช่นเดียวกับความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจ
ผมเองเริ่มต้นชีวิต VI จากการที่ต้องหาทางเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่ “คุกคาม” ชีวิตการทำงานในฐานะลูกจ้างบริษัทของผม  ในตอนเริ่มต้นชีวิตการลงทุนในครั้งนั้น  ผมไม่ได้วางแผนหรือตระหนักว่าเส้นทางสายนี้จะนำผมไปสู่ความมั่งคั่งและชื่อ เสียงในฐานะ VI ชั้นนำ  ผมเพียงแต่คิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นในแนวทาง Value Investment นั้น  คือทางออกที่จะทำให้ผมยังมีชีวิตในฐานะชนชั้นกลางแบบที่ผมเป็นอยู่ในขณะนั้น ได้แม้ว่าจะไม่มีรายได้จากการทำงานหรือรายได้ประจำลดลงมาก  กลยุทธการลงทุนของผมจึงเน้นที่  “ความปลอดภัย”  หรือการ “ปกป้องเงินต้น”  เป็นหัวใจหลัก  อะไรที่ทำให้การลงทุนมีโอกาสขาดทุน  “อย่างถาวร”  ผมจะหลีกเลี่ยง  การลงทุนของผมแต่ละครั้งจะต้อง  “ไม่ขาดทุน”
ถึงวันนี้ที่ Value Investment เป็นทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนไม่น้อย  ผมเห็นว่าการเริ่มต้นของคนเหล่านี้สามารถแยกออกเป็นกลุ่มใหญ่  ๆ  ได้ 4 กลุ่มด้วยกันคือ
กลุ่มแรก  คนทำงานกินเงินเดือน  อายุประมาณ 30-45 ปี  นี่คือกลุ่ม VI ที่เริ่มสนใจลงทุนเนื่องจากตระหนักว่าตนเองจำเป็นที่จะต้องออมเงินเพื่อการ เกษียณหรือบางคนต้องการสร้างอนาคตและเห็นว่าการฝากเงินนั้นเป็น  “การลงทุน”  ที่แย่มาก  คนกลุ่มนี้มักเป็นคนที่มีความมั่งคั่งไม่มาก  เงินทุกบาททุกสตางค์  “หามาได้ยาก”  การที่มันจะ  “หายไป”  หรือลดน้อยลงเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจรุนแรง  ดังนั้น  กลยุทธการลงทุนจึงมักจะ  “อนุรักษ์นิยม”  และไม่ลงทุนในหุ้นมากนัก  หุ้นที่เลือกลงทุนต้องเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและขนาดไม่เล็กเกินไป  ระยะการลงทุนก็มักจะค่อนข้างยาวเนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาในการติดตามมากนัก  เป้าหมายผลตอบแทนในการลงทุนก็มักจะไม่สูง  แต่พวกเขาก็ยังหวังได้ประมาณปีละ 15-20%
กลุ่มที่สองเป็น  “เด็กจบใหม่”  ที่พ่อแม่เป็นคนชั้นกลาง  พวกเขาไม่ได้มีเงินสนับสนุนจากทางบ้านในการลงทุนแต่ก็ไม่ได้มีภาระต้อง เลี้ยงดูครอบครัว  ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แต่งงานเพราะอายุยังไม่ถึง 30 ปี  พวกเขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานที่ค่อนข้างสูงที่จะ “รวย”  เป็นเศรษฐีในเวลาอาจจะแค่ 10-15 ปี ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาได้อ่านประวัติของนักลงทุนเอกหรือนักลงทุนที่ ประสบความสำเร็จอื่น ๆ  จนทำให้คิดว่าเขาก็น่าจะทำได้แบบเดียวกันหรือดีกว่า  ว่าที่จริงหลาย ๆ  คนก็สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่น่าประทับใจมากเช่นทำกำไรได้ 100%  ภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน เป็นต้น
VI ในกลุ่มนี้ค่อนข้างจะใช้กลยุทธการลงทุนที่ “กล้าได้กล้าเสีย”  และมักจะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีผลประกอบการไม่แน่นอนแต่มีช่วงเวลาที่โดด เด่นที่จะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นให้สูงขึ้นได้หลายเท่าในเวลาไม่นาน  เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับคนเหล่านี้ก็คือ  ถ้าพลาดเขาก็สามารถหาใหม่ได้   อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากเม็ดเงินที่ยังน้อย  พวกเขาก็ไม่สามารถเป็น “ผู้นำ”  ที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้น  พวกเขาจึงมักจะเป็น “ผู้ตาม” ที่คอยรับอานิสงค์จาก VI “ขาใหญ่” ดังนั้น  ผลตอบแทนของพวกเขาจึงอาจจะไม่โดดเด่นนักเมื่อเทียบกับคนที่มีพอร์ตใหญ่กว่า  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  VI ในกลุ่มนี้จะเป็นคนที่ค่อนข้างจะกระตือรือร้นและมุ่งมั่น  พวกเขาใช้เวลากับการลงทุนค่อนข้างมากและมีการเทรดหุ้นสูง
กลุ่มที่สาม  นี่คือกลุ่มคนที่มักทำธุรกิจและมีเงินเหลือที่ถูกเก็บสะสมมานาน  พวกเขาเป็นคนรวยหรือเป็นเศรษฐีที่อาจจะเริ่มมีเวลามากขึ้นเนื่องจากธุรกิจ อยู่ตัวแล้วหรือธุรกิจที่ทำอยู่เริ่ม  “ตกดิน”  เขาอาจจะเริ่มสนใจหาทางลงทุนเงินสดที่กองอยู่ในธนาคารที่แทบจะไม่ได้ ดอกเบี้ย  เขาอาจจะพบว่าการลงทุนแบบ VI นั้น  เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งแทนที่จะใช้เงินนั้นไปสร้างธุรกิจใหม่  คนกลุ่มนี้จึงมักเลือกลงทุนในกิจการที่มีขนาดกลาง ๆ  มีความมั่นคงพอสมควรและมีพื้นฐานดี  พวกเขาเข้าใจดีว่าธุรกิจไหนเป็น  “ของจริงหรือของปลอม”  การลงทุนของพวกเขามักจะเป็นการลงทุนระยะยาว  หลายคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น  เนื่องจากเม็ดเงินเริ่มต้นจำนวนมาก  ทำให้พวกเขากลายเป็น  VI “รายใหญ่”  ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงในเวลาอันสั้น  และทำให้มีบทบาท “ชี้นำ” ในหลาย ๆ  กรณี
กลุ่มที่สี่ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  กลุ่ม  “ลูกเศรษฐี”  นี่คือนักลงทุนหนุ่มสาวหน้าใหม่ที่ผมเห็นว่าเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั้ง จำนวนและมูลค่าพอร์ตการลงทุนในหุ้น  ลูกเศรษฐีที่ว่านี้จริง ๆ แล้ว  ส่วนใหญ่อาจจะไม่ใช่เศรษฐีใหญ่ที่ลูกจะสามารถหรือควรสืบทอดกิจการ  พวกเขามีธุรกิจหรือมีทรัพย์สินและมีเงิน  แต่งานของพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ลูกเข้าไปช่วยทำ  ลูก ๆ  ของพวกเขาควรไปเป็นลูกจ้างหรือพนักงานของบริษัทใหญ่ ๆ  มากกว่า  แต่การไปทำงานเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนนั้นเป็นกิจกรรมที่เหนื่อยและได้เงิน น้อยมาก  ดังนั้น  หนทางที่ดีกว่าก็คือ  การลงทุนที่จะให้เงินมาช่วยทำงาน  และนี่ก็มาถึงการลงทุนในหุ้นซึ่งเป็นกิจกรรมที่  “ทำได้ง่ายที่สุด” และอาจจะ “เหนื่อยน้อยที่สุด”  และนั่นนำไปสู่การเป็น VI
VI ที่เป็นลูกคนรวยนั้น   ในช่วงเริ่มต้นพ่อแม่ก็อาจจะให้เงินไป “ลอง” เพียง 1-2 ล้านบาท   แต่ครั้นได้ลองทำและได้ผลตอบแทนอย่าง  “น่าทึ่ง”  ในเวลาอันสั้น  พวกเขาก็มักจะได้เงินลงทุนเพิ่มจากพ่อแม่ที่เห็นศักยภาพ  หลายคนสามารถต่อยอดเงินไปสูงมากจนร่ำรวยเป็น “เศรษฐี”  ด้วยตนเองในเวลาอันสั้น   VI กลุ่มนี้โดยพฤติกรรมก็คือ  มักจะมีความกล้าเสี่ยงได้อย่างเต็มที่  เหตุผลก็คือ  เสียก็ไม่เป็นไรเพราะอาจจะขอพ่อแม่ใหม่ได้หรือไม่ก็กลับไปทำงานกินเงิน เดือน  พวกเขาจะลงทุนหุ้นเป็นตัว ๆ  เหมือนนักเก็งกำไร  หลายคนสามารถ “ไล่หุ้น” ที่มีขนาดเล็กและไม่ใคร่มีสภาพคล่องได้ทำให้กลายเป็น  “ผู้นำ”  ที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้นและทำให้สามารถลงทุนและได้ผลตอบแทนอย่างน่าทึ่ง  ส่วนตัวผมเองคิดว่า  นี่คือกลุ่ม  “Golden Boy” ในตลาดหุ้นที่น่าจับตามอง  เพราะพวกเขาอาจจะมีทั้งเงิน  ความสามารถ  และเวลาในการลงทุนอีกยาวไกล  ถ้าไม่  “แพ้ภัยตนเอง”  เสียก่อน

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘