เล่นหุ้นให้ได้กำไร..เป็นเรื่องธรรมดา แต่หากจะเล่นหุ้นให้รวย..ตรงนี้สิ..ยากกว่า

การใช้จังหวะบางจังหวะของตลาด เป็นการลดความเสี่ยงที่ดีอย่างหนึ่ง การลงทุนคนส่วนใหญ่ชอบเห็นตัวเลขพอร์ตโชว์กำไรเยอะๆ เปิดออกมาดูเห็น 100-200% เป็นที่เชิดหน้าชูตา แต่จริงๆแล้วเราไม่ได้มาสนใจกับตัวเลขที่จับต้องไม่ได้และแปรเปลี่ยนตลอด เวลานะ เราสนใจสิ่งที่เป็นความจริง นั่นคือเงิน เงินที่เราลงทุน เงินที่เป็นความจริงมากกว่าจะเป็นตัวเลข เงินที่เอามาใช้ต่อยอดในการดำรงชีวิตหรือทางธุรกิจหรือแม้นแต่ต่อยอดในตัว หุ้นเอง เงินที่เอามาทำประโยชน์ได้จริงๆ เงินที่อยู่ในมือ ที่จับต้องสัมผัสมันและหยิบมันเอาไปใช้ได้จริงๆ เป็นเงินที่เรากำลังกำมันอยู่ในมือจริงๆ เชื่อไหมว่าบางคนเปิดพอร์ตมาเห็นกำไรหุ้น 300% ใครเห็นก็แอบอิจฉา ตาโต ร้องโอ้โห..หหห คิดในใจว่าทำไม(มึง)เก่งจังว๊ะ (..ฮา..) แต่หากถามสรุปที่ตัวเงินว่าตั้งแต่มาเล่นหุ้นกำไรไปแค่ไหนแล้ว กลับบอกว่าที่เห็นตัวเลขโชว์กำไร 200-300% นี่มันเป็นของหุ้นที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่หากทำงบดุลการลงทุนนับตั้งแต่เข้ามาเป็นนักลงทุนในตลาด มีหุ้นในอดีตที่ไม่อยากย้อนกับไปนึกถึง ขายทิ้งไปนับไม่ถ้วน แถมบางตัวออกจากตลาดหนีหายไปเลยก็มี สรุปมันยังขาดทุนอีกหลายพันเปอร์เซ็นต์ เพราะคนข้างๆผมเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น แต่บางคนเปิดพอร์ตออกมา อยากแอบขำในใจเพราะมีหุ้น 4 ตัว ขาดทุนเกือบทุกตัว ตัวเลขพอร์ตลบไป 30% แต่พอเค้าเปิดบัญชีธนาคารออกมาให้ดู เค้าบอกว่าตั้งแต่เล่นหุ้นมา เอากำไรออกไปแล้วหลายรอบรวมๆแล้วเกินหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ตกลงเราจะอิจฉาใคร เราจะดูที่ภาพลวงตาของตัวเลขการลงทุนที่ขึ้นๆลงๆ หรือดูที่ความเป็นจริงของสิ่งที่จับต้องและใช้มันได้จริงๆดีหละ ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าหุ้นขึ้นแล้วไม่มีวันลง หรือหุ้นลงแล้วไม่มีวันขึ้น มันมีจังหวะขึ้นลงของมันที่เป็นสัจจะธรรมของการลงทุน จริงอยู่ว่าเราอาจจะยังอยู่ในช่วงที่มันยังไปไม่ถึงจุดสูงสุด แต่ก็อย่าลืมว่าเราก็อาจจะยังอยู่ในจุดที่มันลงมาไม่ต่ำสุดด้วยเช่นกัน เคยถามตัวเองไหมว่าทำไมคนต้องซื้อหุ้นให้มันขึ้นไป ทำไมต้องขายให้มันลงมา เรามักจะหาเหตุผลทางด้านหลักพื้นฐาน โดยไปควานหาเอาหลักพื้นฐานหุ้นมาคิด แต่ในความเป็นจริงแล้วเพียงคำว่า "พื้นฐาน" ก็ยังมีความแตกต่างกัน ความคิดของคนเอาเงินมาลงทุนผมเชื่อเลยว่าไม่มีมาตรฐานที่ตรงกัน นักวิเคราะห์ไทยบอกว่าหุ้นในอุตสาหกรรมนี้ P/E 10 เท่าแพงไปแล้ว แต่อาจจะมีอีกคนบอกว่าต่อให้ P/E 20 เท่าก็ถือว่าถูก อะไรจะถูกอะไรจะแพง มันจะมีการเปรียบเทียบ แต่การปเรียบเทียบของแต่ละคนนี่แหละที่มันแตกต่างกัน เรามองเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเห็น สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว เรามองเพียงแค่สุดลูกหูลูกตา แต่อีกคนมันบินมองวนไปทั้งโลก มองไปไกลจนวนรอบมามองเห็นหลังตัวเอง เรามองพื้นฐานของเงิน ว่าเงินทำไมมันต้องสนใจหุ้นเหล่านี้ มันเหมือนเป็นวัฏจักรของกระแสทุน บางครั้งก็ฟังดูเหมือนเป็นนักเก็งกำไรเกินไปที่สนใจที่เรื่องของเงิน ดูเหมือนเงินมันกำหนดอะไรได้หมด ในตลาดหุ้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ อยู่ดีๆทำไมตลาดมันต้องปรับขึ้นกันทั่วโลก ทำไมเวลาลงมันต้องลงกันถ้วนหน้า กระแสเงินมันเหมือนคลื่นน้ำที่แห่ไหลไปได้ทุกที่ เราเคยอยู่ที่ 1800 จุด เราเคยอยู่ที่ 300 จุด ทั้งๆที่การดำรงชีวิตของเรา การทำธุรกิจของเรามันก็ดำเนินไปเรื่อยๆของมันเป็นปกติ แต่หากมีใครจุดพลุเศรษฐกิจโลก ผลกระทบมันมาถึงเราหมดเลยโดยไม่รู้ตัว บทจะขายดีเพราะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมาดื้อๆก็มีบ่อย บทจะต้องมานั่งตบยุง รอคนมาซื้อก็มีออกถมไป เพราะเวลาที่กระแสทุนโถมกระหน่ำ มันจะทำให้เกิด Demand & Supply ตามมา ซึ่งจะเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไป พออะไรดีทุกอย่างก็จะดีตามกันไป เวลาอะไรไม่ดีทุกอย่างก็ปรับลงมาสู่ความสมดุลย์ตามกันไปการเคลื่อนย้ายหนี ของทุนที่เข้ามาและออกไป...สัจจะธรรมการลงทุน !!!

ในตลาดหุ้นอัตราการเติบโตมันไม่เหมือนชีวิตจริงๆ นะ มาตรฐานการเติบโตของคนเรามันเป็นวิทยาศาสตร์ที่คนอายุแค่ไหน ก็จะมีมาตรฐานการโตได้เท่านั้น มีไม่มากนักหรอกที่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจะสูงใหญ่เกินมาตรฐานในกลุ่มคน พวกเดียวกัน วัยรุ่นไทย(แบบผม) สูง 170-180 ก็ถือว่ามาตรฐานคนไทยแล้ว แต่พอไปดูฝรั่งมันล่อไป 190-200 ก็มันเป็นมาตรฐานของคนในกลุ่ม..มันเป็นแบบนั้น แต่ในตลาดหุ้นอัตราการเติบโตมันเป็น infinity ไร้ขอบเขต ไร้เวลา เราจะสร้างอัตราการเติบโตให้โตเหนือมาตรฐานในกลุ่มได้อย่างไร ต้องอัดวิตามิน บำรุงอาหารเสริม ออกกำลังกาย อาหาสมองดี อากาศดี สุขภาพดี สภาพแวดล้อมดี ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวเองเลือกที่จะทำได้เพียงอย่างเดียว ไม่ใช่นั่งอยู่เฉยๆแล้วมันจะเข้ามาหาได้เอง ในตลาดหุ้นแค่คำว่า "ศึกษา ค้นคว้า" ยังน้อยไป ต้องลงมือปฏิบัติของจริงๆ ขาดทุนจริงๆ กำไรจริงๆ เรียนรู้จากของจริงๆ ต่อให้หยิบตำราของผู้ประสบความสำเร็จ เอาความคิดของนักลงทุนชั้นหัวกะทิมานั่งอ่าน เอาหนังสือไปหนุนแทนหมอน มันก็ไม่ซึมซับออสโมซีสความสำเร็จมาที่ตัวเอง มันทำไม่ได้นะ เพราะสิ่งที่อ่านที่ศึกษามันอยู่ในสมอง มันเป็นความคิด มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางความคิดที่ยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์แห่งความจริง จนกว่าเราจะเอาความคิดออกมาทำให้เป็นความจริง บทพิสูจน์ของแต่ละตำรา มันอยู่ที่บางปัจจัย บางเหตุการณ์ บางกลุ่มมวลชน เราคงไม่สามารถเอาวิถีทางการดำรงชีพในแต่ละที่มาใช้ในบางที่ๆมีพื้นฐานหลาก หลายแตกต่างกันได้หมดทุกอย่าง หยิบเอาข้อดีโดยไม่มองข้ามข้อเสีย เราไม่สามารถเปลี่ยนโลกแคบๆอย่างตลาดหุ้นไทยได้ แต่สามารถใช้ประโยชน์จากโลกเล็กๆใบนี้ได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลมกลืน มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อย่างมีความสุข เราจะมองข้ามหรือปล่อยให้โอกาสที่โลกใบนี้เปิดกว้างรอให้ใครก็ได้ ที่กล้าพอ กล้าที่จะคิด กล้าที่จะมุ่งมั่นหยิบเอาโอกาสไปใช้แบบนั้นเหรอ ในตลาดหุ้นไทย..หลายคนมองว่าเป็นโอกาสของ "รายใหญ่" ที่จะฉกฉวยได้เพียงกลุ่มเดียว ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคิด ผมกลับมองว่า "รายใหญ่" ตางหากที่ไม่มีโอกาสอย่างพวกเรา โอกาสของตลาดหุ้นไทย พวกเรารายย่อยตางหากที่สามารถได้ประโยชน์จากมันมากกว่าใครๆ ผมไม่เคยมีความคิดกลัวเกรงหรืออยากเข้าไปใกล้ชิดความเป็น "รายใหญ่" อะไรเลยนะ ไม่เคยอยากไปพึ่งอะไรที่พิเศษเหนือคนอื่น ไม่จำเป็นที่ต้องเข้าไปยอมสยบเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่รายย่อยอย่างเรามีและใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ที่รายใหญ่ไม่สามารถทำได้ คือความคล่องตัวของตลาด ซึ่งเรามีข้อได้เปรียบตรงนี้ เราก็ต้องหาทางเจาะลึกลงไปหาประโยชน์จากสิ่งที่เราได้เปรียบ
หากพูดถึงสมัยก่อน ผมเชื่อว่าจะมีเพื่อนๆที่อ่านอยู่ในตอนนี้ เคยผ่านตลาดหุ้นเฉียดๆ 10 ปีมากันหลายคน สมัยก่อนต้องบอกว่า รายย่อยนี่แหละคือผู้กำหนดตลาด สมัยก่อนต่างชาติไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก อาจจะดูเหมือนมากแต่ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนของรายย่อย พฤติกรรมการลงทุนของรายย่อยสมัยก่อนต้องบอกว่าเป็นความฮึกเหิม มีกำลังใจ มีความเชื่อมั่น เชื่อมั่นในการลงทุน "เมื่อที่ใดมีความเสี่ยง แต่คนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีความกลัว อุปสรรคขวากหนามก็ไร้ความสำคัญ" ตลาดหุ้นไทยทะยานสูงสุดเกือบ 1,800 จุด ราคาหุ้นไม่ใช่อุปสรรคแห่งความกลัว รายย่อยนี่แหละที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยทะยานไปข้างหน้า แม้นแต่กองทุนเอง..ในสมัยก่อนยังบริหารสู้นักลงทุนบุคคลรายย่อยๆไม่ได้เลย รายย่อยเป็นผู้จุดพลุ จุดประกายความคึกคักของตลาดหุ้นไทยมายาวนาน ต่างชาติเป็นเพียงผู้ฉกฉวยโอกาสเท่านั้นเอง แต่ต่างจากสมัยนี้ที่เล่นบทตรงข้ามกัน จากผู้ที่เป็นสีสรรของตลาดหุ้นไทยกลายมาเป็นเหมือนทาสผู้รอคอย จากคนที่เคยฉกฉวยโอกาสกลับกลายมาเป็นผู้ชี้กำหนดชะตา ไม่รู้จะเรียกว่าความโชคดีหรือโชคร้ายที่เรามีพื้นฐานการลงทุนในความคิดของ นักลงทุนส่วนใหญ่หนักไปทางเก็งกำไรสั้นๆมากเกินไป หากจะมองว่าโชคร้ายมันก็ยังเป็นความโชคดีของใครบางคน หรือหากมองว่ามันเป็นเรื่องโชคดีแต่ก็อาจจะเป็นโชคร้ายของอีกกลุ่มบางคนด้วย เช่นกัน นักลงทุนในวันนี้มีไม่น้อยที่เกิดมาได้จากวิกฤติในสมัยก่อน แต่คงมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนผ่านชะตากรรมบั่นทอนทั้งกายและจิตใจมาอย่างสาหัส มีเพียงผู้อยู่รอดที่หากไม่เลิกเล่น หรือมีสายป่านยาวนานหรือไม่ก็ต้องยอมตัดแขนขาเพื่อรักษาชีวิต ผมคิดว่าจะมีไม่กี่คนหรอกที่ว่ายน้ำมาถึงฝั่งได้ อดีตผ่านไป..แต่อย่าให้มันผ่านเลย หยิบเอามันมาหาช่องโหว่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ช่องโหว่ในวันนั้น วันนี้อาจจะอุดรูรั่วไปได้แล้ว แต่ก็จะมีรูรั่วใหม่ที่เป็นกลยุทธรูปแบบใหม่ที่เราต้องคอยหมั่นตรวจสอบ หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจของพอร์ตอยู่เรื่อยๆ คำว่าเรื่อยๆในการลงทุนมันก็มีคำว่า "เรื่อยๆอยู่หลายแบบ" แต่ละแบบไม่ได้แยกแยะที่สมองความคิดของคน ไม่ได้แยกที่เพศ ไม่ได้แยกที่"เวลา"ที่มีให้กับการลงทุน ไม่ได้แยกที่ฐานะหรือความเสมอภาคของคน แต่แยกแยะไปที่ขนาดของพอร์ต เรามักจะมีรูปแบบทางการลงทุนโดยยึดรูปแบบวิธีการโดยไม่ได้สนใจขนาดว่ามัน เหมาะสมกับโอกาสที่เปิดกว้างหรือเปล่า ผมมองว่าไม่มีใครจะได้เปรียบทั้งเรื่องโอกาส เรื่องของการฉกฉวยจังหวะได้ดีเท่ากับรายย่อยอย่างพวกเราอีกแล้ว

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘