ลงทุนเพื่อเพิ่มกำไร

CEO ที่ทำกำไรได้ดีต่อเนื่องกัน มีทางเลือกหลักๆได้ 2 ทางคือ


            1. เอากำไรที่ได้  จ่ายเป็นเงินปันผลคืนผู้ถือ หุ้น หรือ

            2. เอากำไรที่ได้  ไปใช้ขยายงานเพื่อเพิ่มกำไรในอนาคต



             นักลงทุนใน ฐานะผู้ถือหุ้น  คือผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย           

             ส่วนตัวแล้ว  ผมชอบเดินสายกลาง คือขอให้มีการจ่ายเงินปันผลบ้าง มากน้อยไม่ว่ากัน เพราะเข้าใจ ดีว่า CEO ก็ต้องการเงินส่วน หนึ่งสำหรับขยายงาน


            เวลาเลือกซื้อหุ้น ผมจึงต้องศึกษาดูก่อนว่า CEO มี ฝีมือ สามารถทำกำไรสุทธิได้ และเพื่อความไม่ประมาท ผมก็ต้องดูตัวงบกระแสเงินสด เพื่อให้แน่ใจว่า เงินสดจากการดำเนินงานสุทธิ มียอดเป็นบวก ซึ่งเป็นการยืนยันว่า กำไรสุทธิที่ทำได้มีคุณภาพดีจริง


            เพราะเคยมีเรื่องมาแล้ว ในงบกำไรขาดทุน โชว์ตัวเลขกำไรสุทธิเพิ่มอย่างหรู แต่ขอโทษ เงินสดจากการดำเนินงานสุทธิ ติดลบ แดงเถือก ใครหลงซื้อหุ้นนั้น เข้าไป ถึงกับกระอักเลือด ที่ร้ายคือ  เจ้าของถือโอกาสขายหุ้นทิ้งหมด ไปด้วย



             บทเรียนราคาแพงนี้ ทำให้นักลงทุนเดี๋ยวนี้ต้องดูงบการเงินทั้ง 3 งบ การที่เงินสดจากการดำเนินงานสุทธิ  มี ยอดบวก แสดงว่า  ในการค้าขาย  นอกจากทำกำไรได้ แล้ว ยังเก็บเข้ามาเป็นเงินสดเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย เงินในส่วนนี้  ถ้า จะนำไปใช้ขยายงาน ด้วยการลงทุน  ผมก็ขออนุโมทนา แล้วถ้าคิดว่าดี  จะไปกู้ยืมเงินมาสมทบ ผมก็คิดว่านักลงทุนไม่มีใครขัดข้อง จริงๆแล้ว ผมได้อาศัยการศึกษาข้อมูลในส่วนนี้ จากหุ้นหลาย ๆ ตัว ที่โชว์ตัวเลขในงบกระแสเงินสดในส่วนที่เกี่ยวกับการลงทุน Cashflow for  Investment แล้วตัดสินใจเข้าไป ซื้อไว้ เพราะส่วนใหญ่  เมื่อขยายงานจากการลงทุนเสร็จเรียบร้อย มีสินค้าให้ขายได้มากขึ้น สุดท้ายกำไรก็เพิ่มตาม ทำให้มูลค่าหุ้นแข็งแกร่งขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นตามมาจากผลกำไรที่ได้เพิ่มขึ้น อยากจะเน้นตรงนี้ครับว่า การลงทุนเป็นการสร้างค่าในอนาคต ถ้าดูจากตัวเลขในอดีต  จะไม่ พบ ถ้า ใครอ่านงบกระแสเงินสดเป็น โอกาสที่จะซื้อหุ้นในราคาถูก ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

             ทำไมการลงทุน จึงสามารถทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น?

             หลักมีอยู่ว่า การลงทุนต้องใช้เงินทุน คือ Capital ซึ่งมีต้นทุน  เรียกว่า Cost of  Capital ในเวลาเดียวกัน  การลงทุนก็ ให้ผลตอบแทน ซึ่งสามารถคิดออกมาเป็นอัตราผลตอบแทน (Returns on Capital)


ดังนั้นถ้า Returns on Capital สูงกว่า Cost Of Capital โครงการลงทุนนั้นก็น่าลงทุน เพราะเมื่อลงทุนเพิ่ม ก็จะเกิดกำไรเพิ่ม ส่งผลให้ ผลประกอบการออกมาดี ราคาหุ้นก็จะตอบรับข่าวดี เป็นปรากฎการณ์ของตลาดหุ้น  ที่ หุ้นบางตัวขึ้นได้เป็นเท่าๆตัว เป็นหุ้นโตเร็ว (Growth Stock) ที่ทำให้ผู้ซื้อกลายเป็นเศรษฐี แต่ก็มีความเสี่ยงเหมือนกันนะครับ? เพราะถ้าลงทุนไปแล้ว ผลออกมาพลิกล๊อคไม่เป็นไปอย่างที่คิด ก็จะยุ่ง แทนที่จะมีกำไรมา เสริม กลับกลายว่าโครงการใหม่ขาดทุน ดึงของเก่าให้ลดลงไป ดีไม่ดี ทำให้ขาดทุนทั้งบริษัท แบบนี้ ก็เป็นเรื่องเศร้า กลายเป็นลงทุนผิด คิดจนช้ำใจ


ในสมัยฟองสบู่ฟูฟ่อง มี CEO บางคนใจกล้า ขยายงานอย่างไม่คิดชีวิต เงินไม่พอก็กู้เงินต่างประเทศเข้ามาเสริม เพราะมองโลกในแง่ดีเกินไป ครั้นพอฟองสบู่แตก ดังโพล๊ะ เงิน 1 เหรียญที่กู้มาแลกได้ 25 บาท กลายเป็น 40 บาท ก็ขาดทุนมโหฬาร โครงการขยายงานทั้งหลายต้องหยุดกึก ที่หนักสุดคือไม่มีปัญญาชำระหนี้ สุดท้ายต้องยกธงขาว ยอมแพ้ ปิดโรงงาน ราคาหุ้นตกลงมาเหลือศูนย์



              ดังนั้น จึงต้องระวังครับ CEO ที่ลงทุนเกินกำลังเกินไป มีสิทธิทำให้ผู้ถือหุ้น พลอย เจ๊งตามไปด้วย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘