ทำนายไข่ทองคำ

มีผู้อ่านบอกมาว่า บทความประเมินมูลค่าหุ้น
อ่านตอนแรก  ดูเหมือนยาก แต่พอได้ลองนำไปใช้ ก็สามารถช่วยให้การตัดสินใจ
ในการลงทุนได้ดีขึ้น

            แต่มีข้อสงสัยอยู่ว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถคาดคะเน เงินปันผลต่อหุ้นที่บริษัท
จะจ่ายออกมาในอนาคต เพราะถ้ารู้ ก็สามารถหามูลค่าหุ้นได้โดยไม่ยาก

            การประเมินว่าบริษัทจะจ่าย เงินปันผลต่อหุ้น ( Dividend Per Share หรือ DPS )
เท่าไหร่นั้น  ต้องมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

โดยผมใช้หลักการ PEN แต่ไม่ใช่ ปากกานะครับ
PEN ย่อมาจาก 3 คำคือ Policy, Expected Revenues และ Net Margin

1.  นโยบายปันผล ( Dividend Policy )
บริษัทส่วนใหญ่จะเขียนเป็นนโยบายไว้ค่อนข้างจะชัดเจน
ดูได้จาก เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์
โดยกำหนดเป็นร้อยละ หรือที่เรียกกันว่า Payout Ratio
เช่นไม่ต่ำกว่า 40% หมายถึง ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 15 บาท
จะจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 6 บาท เป็นต้น

            และนักลงทุนก็ควรดูตัวเลขการจ่ายปันผลในปีที่ผ่านๆมา
เพราะสามารถช่วย ให้รู้ว่า
บริษัทได้ทำตามที่พูดไว้มากน้อยแค่ไหน
โดยเฉพาะบริษัทที่ ระบุไว้เพียงว่าจะจ่ายตามความเหมาะสม
            การเรียนรู้ประวัติของการจ่ายเงินปันผลของหุ้นแต่ละตัว
จะทำให้เห็นภาพ ของการบริหารของ CEO ได้ชัดขึ้นด้วย

2.  รายได้ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ( Expect Revenues )
ความ จริง  ผมควรใช้ยอดขาย ( Sales )
เพราะเป็นตัวสท้อนที่ดีว่า
ฐาน ลูกค้าของบริษัทแน่นหนาแค่ไหน
แต่เอาเข้าจริง ข้อมูลที่ได้มักจะเป็นยอดรายได้รวม( Revenues )
ซึ่งคิดว่าคงจะใช้ได้ เพราะส่วนใหญ่กว่า 90% ของรายได้
ก็มาจากยอดขายอยู่แล้ว

            ที่ผมอยากรู้คือแต่ละปี
บริษัทจะมีทางทำให้รายได้เติบโตขึ้น
ปีละ เท่าใด

            ตัวอย่างเช่น ถ้าRevenues ของบริษัทปีที่แล้ว
อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท
และผมคาดว่าการเติบโต ( Growth ) อยู่ที่ 15%
ผมก็เอา 1.15 คูณกับ 10,000
จะได้ออกมาเป็น Expected Revenues
เท่า กับ 11,500 ล้านบาท

3.  อัตรากำไรสุทธิ ( Net Margin )
เช่นเดียวกันครับ
Net Margin ผมก็ควรจะหามาจากยอดขายด้วย
แต่ก็ติดขัดที่ข้อมูล
ผมจึงใช้ Net Margin โดยใช้ตัวกำไรสุทธิตั้ง
หารด้วย Revenues
คูณด้วย 100 ก็ออกมาเป็น %

            เท่าที่ผมสังเกตุดู บริษัทส่วนใหญ่จะมี Net Margin
ที่ประมาณ 4 ถึง 7% มีเพียงน้อยบริษัทมากที่จะมี Net Margin
เกิน 7% เป็นระยะเวลายาวนาน ( ผมเข้าใจว่า ถ้ามีกำไรดีเกินไป
ก็จะ ทำให้มีคู่แข่งเข้ามาชิงส่วนแบ่งธุรกิจ )

            ตัวอย่างครับ
ถ้าผมคาดว่า Net Margin ของบริษัทดังกล่าวไว้ในข้อ 2 จะอยู่ที่ 5%
ผมก็เอา .05 ไปคูณรายได้ 11,500ล้านบาท
จะได้กำไร สุทธิออกมาอยู่ที่ 575 ล้านบาท

            ทีนี้ถ้าต้องการคำนวณว่าบริษัทจะจ่ายปันผลเท่าไร
ผมก็เอา Payout 0.40 คูณ 575 จะได้ 230 ล้านบาท
พอถึงคราวนี้ การหาเงินปันผลต่อหุ้น
/images/emoticons/mozilla_yell.gif Dividend Per Share หรือ DPS )
ก็ทำได้ง่าย

            วิธีการคือ เอาจำนวนหุ้นไปหารตัวเลข 230 ล้านบาท
ถ้าบริษัทมีหุ้นทั้งหมด 500 ล้านหุ้น
หุ้นแต่ละหุ้นจะได้ DPS = 230/500
หรือเท่ากับ 0.46 บาทต่อหุ้น

            แต่ถ้าดูจากการประกาศจ่ายปันผลในอดีต
พบ ว่าบริษัทมักจะจ่ายเกิน  คือจ่ายที่ 50%
อยากทราบว่าบริษัทจะจ่ายเป็น เงินปันผลเท่าไร
ก็เอา Payout 0.50 ไปคูณ 575 ล้านบาท
ในกรณี บริษัทจะจ่ายให้นักลงทุน
เป็นเงินถึง 287.5 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นอีก 57.5 ล้านบาท!

            คราวนี้ก็แปลงยอดเงินปันผล
ออกมา เป็น DPS ด้วยการเอาหุ้นทั้งหมดไปหาร
DPS จะเท่ากับ 287.5/500
หรือ ต่อหุ้นที่ 0.575 บาท
ผู้ถือหุ้นก็ยิ้มเพราะได้เงินปันผลมากขึ้น
บริษัท จะปัดเศษเป็น0.55 บาทก็ไม่ว่ากัน

            พอได้ Expected DPS มา 2 ตัว
คือ 0.46 กับ 0.55 บาท
อยากประเมินราคาหุ้น
ก็ใช้ Dividend Valuation Matrix
ดังที่เคยได้พูดถึงไว้แล้ว

            หุ้นของบริษัทนี้ก็น่าจะมีมูลค่า
คร่าวๆ ดังนี้


                                    
            ดูอย่างนี้แล้ว  คงพอเห็นใช่ไหมครับ
ถ้าราคาหุ้นตัวนี้อยู่ต่ำกว่า 6 บาท
ลงมา คงมีคนช้อนเก็บกันเยอะ แต่ถ้าราคาเกิน 9 บาทขึ้นไป
คงมีคนเริ่มเทขายไม่ น้อยเหมือนกัน

การรู้วิธีการ คำนวณมูลค่าหุ้นบ้างดีตรงนี้ ทำให้รู้เขารู้เรามากขึ้น
พอทำ บ่อยๆก็คล่องขึ้นเอง ส่วนการหา DPS ไม่ยากเลย
เพียงใช้หลักของ PEN เท่านั้นเอง

            ความจริง การที่เราพยายามหา DPS
ทำ ให้เรามีความสนใจในหุ้นที่ลงทุนมากขึ้น
และจะมองดูผลประกอบการในระยะยาว มากขึ้น
พร้อมกับบังคับให้ต้องติดตามผลประกอบการอย่างใกล้ชิด
แต่ ไม่ถึงกับต้องเฝ้าจอทุกนาที แค่ไตรมาสละหนก็พอ

            DPS คือกระแสเงินที่นักลงทุนจะได้รับ
ไปในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ถ้ายังถือหุ้นอยู่
และผลประกอบการของบริษัทยังดีอยู่

            แต่ถ้าเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยสำคัญ
ก็สามารถจะขายหุ้น เพื่อเอาเงิน ไปลงทุนในหุ้นตัวอื่น
ที่ดูท่าจะมีแววมากกว่า

            ข้อสำคัญ ขอให้กล้าที่จะคิด ลองทำออกมาดู
ไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิด ผิดบ้างถูกบ้างเป็นประสบการณ์จริง
ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมั่นใจขึ้น จนในที่สุด
ยืนอยู่บนขาของตัวเองได้อย่างมั่นคงครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘