การเงิน 6 มิติ

ในบทความเรื่องการสร้างความมั่งคั่ง ผมได้พูดถึง  เรื่องของเงินอยู่ 4 ข้อ คือ
• หาเงิน
• ใช้ เงิน
• เก็บเงิน
• ทำเงิน
        โดยผมได้เขียนไว้ว่า  หากมีการจัดการที่ดีใน 4 ข้อดังกล่าวคนธรรมดาที่มีความตั้งใจย่อมสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง ได้ เพราะเมื่อขยันหาเงินก็ทำให้มีรายได้ไม่ว่าจะมาจากรายได้ประจำ หรือรายได้พิเศษ ก็ถือว่าประสบกับความสำเร็จของชีวิตเบื้องต้นแล้ว
        คนที่หาเงินด้วยตัวเองไม่ได้ เป็นคนน่าสงสาร  ชีวิตจะมีแต่ความลำบากแม้ในตอนแรก อาจอยู่ได้เพราะมีพ่อแม่คอยเลี้ยง หรือมีมรดกไว้จับจ่ายใช้สอย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ประกันว่าจะอยู่ได้ตลอดไม่ช้าก็มีวันหมด
        ดังนั้น คนจึงต้องพึ่งตนเอง ต้องหัดหารายได้ด้วยแรงกายแรงใจของตน อย่ามัวคิดพึ่งแต่คนอื่น
 ทีนี้พอมีรายได้เข้ามาแล้ว ต้องเรียนรู้เทคนิคการใช้เงิน ซึ่งผมเคยบอกสูตรลับไปแล้วว่าต้องใช้เงินไม่เกิน 9 ส่วนของเงินที่หาได้ เหลือไว้ 1 ส่วนเพื่อเก็บออมไว้
         บางคนสงสัยว่าทำไมต้องเก็บไว้ 10% ขอเรียนว่าผมปฏิบัติตามที่อ่านจากหนังสือชื่อ The Richest Man in Babylon มีผู้แปลเป็นไทยว่าเศรษฐีชี้ทางรวย ซึ่งถือเป็นคำแนะนำที่มีค่าอย่างยิ่งยวดต่อผม
         เนื่องจากว่าก่อนหน้าจะพบกับหนังสือเล่มนี้ ผมไม่เคยมีเงินถึงล้านบาทเลย จึงเรียกตัวเองเป็น Millionaire ไม่ได้
 พอได้อ่านหนังสือเล่มจิ๋วนี้ แล้ว ผมจึงถึงบางอ้อว่าทำไมจึงไม่มีเงินเป็นกอบเป็นกำ สาเหตุมาจากผมรู้เรื่องการเงินเพียง 2 ข้อ คือ หาเงิน แล้วก็ใช้เงิน
         ผมโชคดีในเรื่องหาเงิน ได้ทำงานกับสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงและชื่อเสียงดีมาก เงินเดือนก็เริ่มต้นจากหลักพันจนกลายเป็นหลักแสน ทำให้ผมคิดไปว่าชีวิตมีแต่ความมั่นคงและปลอดภัย ได้เงินมาเท่าไรก็ใช้หมด (เพราะประมาทเกินไป)
         เมื่อได้ความรู้จากหนังสือแล้ว ผมก็เริ่มนำมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง ด้วยการเก็บเงินไว้อย่างน้อย 10%ของเงินเดือน ทำๆไปปรากฏว่าผม เก็บเงิน ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
         จึงเริ่มคิดลงทุนในตลาดหุ้น เพราะคิดว่าการลงทุนจะทำให้เงินที่เก็บไว้ เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วขึ้น
         นี่คือสาเหตุที่ผมผิดพลาดไป (ประมาทซ้ำสอง) เพราะในช่วงนั้น  ผมลงทุนซื้อหุ้นตามคำเชียร์
พอใครบอก หุ้นตัวไหนจะขึ้น ก็ซื้อเลย หากหุ้นขึ้นจริง ก็ดีใจ  เก็บไว้ดูตัวเลขกำไรอย่างมีความสุข แต่พอหุ้นลง  กำไรในกระดาษก็หายวับ มีแต่ผลขาดทุน ทำให้เกิดความทุกข์ จนเกิดความกลัวต่อตลาดหุ้น
         ครั้นมาเจอหนังสือ  Rich Dad เข้า ก็ได้ความคิดว่า การลงทุนในตลาดหุ้น มีโอกาสทำให้มีเงินเพิ่มได้ แต่ต้องศึกษาข้อมูล และต้องมีความรู้ทางการเงิน ผมจึงเริ่มค้นหาหุ้นที่ให้เงินปันผล เพราะต้องการให้เงินที่ออมไว้ ไปลงทุนในหุ้นที่จะให้รายได้ดอกผล ดังนั้นหุ้นปันผลจึงเป็นคำตอบที่ผมต้องการ
เป็นการใช้เงินไปทำเงิน
        ไม่น่าเชื่อว่า การเงินทั้ง 4 ข้อ คือ หาเงิน ใช้เงิน เก็บเงิน และทำเงิน จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะมันเป็นเรื่องพื้นๆที่ง่ายแสนง่าย แต่เพียงเพราะในตอนแรกผมไม่เข้าใจถึงพลังอำนาจของการเก็บเงิน จึงทำให้ผมไม่มีโอกาสแตะเงินล้านได้เลย
         ในทางตรงข้าม ผมมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เธอแปลกใจมากที่ทราบว่า  แต่ก่อนผมเก็บเงินไม่เป็นเพราะเธอเองนั้นถูกสอนจากผู้ใหญ่ว่า เวลาได้รับเงินมาต้องเก็บส่วนหนึ่งไว้เสมอ เธอจึงมีเงินออมอยู่ในเกณท์สูง แม้ว่ารายได้เธอจะน้อยกว่าผมอีก แต่เพราะเธอตั้งใจเก็บเงินไว้ให้มากที่สุด และที่เธอทำได้เพราะเธอควบคุมการใช้เงินของเธออย่างเข้มงวด
 ตรงนี้สำคัญ มาก เพราะไม่ว่าคนเราจะมีรายได้มากหรือน้อยเพียงใด ถ้ามีความตั้งใจเก็บเงินไว้  ด้วยการใช้เงินอย่างยั้งคิด จะมีเหลือนำไปลงทุนทำเงินได้เสมอ แต่ถ้าใช้จ่ายอย่างไม่บันยะบันยัง ดีไม่ดี ใช้จ่ายเกินตัว ทำให้ต้องมีเรื่อง เงินเข้ามาเกี่ยวข้องอีก 2 มิติคือ กู้เงิน    และ   คืนเงิน
         การกู้เงินมีทั้งประโยชน์และโทษ ผมเองก็เคยกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน และเคยเก่งขนาดกู้เงินมาลงทุนในตลาดหุ้น ประโยชน์ของเงินกู้มีมาก ถ้าเลือกกู้เพื่อซื้อในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ที่สำคัญคืออย่ากู้มากจนเกินกำลังที่จะผ่อนใช้คืน
         ผมมีตัวอย่างครับ คือตัวผมได้กู้เงินจากธนาคารเพื่อซื้อบ้านเมื่อ 30 ปีก่อนในราคา 450,000 บาท
ตอนนี้ประเมินใหม่มีมูลค่าหลายล้าน ที่ต้องกู้เงินซื้อ เพราะไม่มีปัญญาซื้อบ้านด้วยเงินสด จึงต้องกู้เงินมาจ่ายค่าบ้าน แต่ผมก็สามารถใช้คืนเงินกู้ได้หมด แม้จะนานเป็น 10 ปีก็ตาม
         ที่ผมสามารถจ่ายคืนเงินกู้ได้ เพราะทุกๆเดือน  ผมจะกันเงินไว้ 20%ของเงินเดือนเพื่อผ่อนชำระคืน ทำให้ผมเหลือเงินใช้จ่ายเพียง 80% ซึ่งก็เป็นการดี  ทำให้ผมถูกฝึกให้มีนิสัยอดออม และพออ่านเรื่องเศรษฐีชี้ทางรวยผมก็ตั้งใจออมไว้อีก 10% กลายเป็นใช้จ่ายเพียง 70% ซึ่งก็น่าแปลกที่ผมและครอบครัวอยู่รอดมาได้
         การกู้เงินมีประโยชน์ทำให้ผมมีบ้านของตนเอง ถ้ามัวแต่รีรอ ไม่กู้เงินซื้อตอนนั้น ป่านนี้ก็ยิ่งไม่มีโอกาส เพราะราคาบ้านขึ้นไปหลายเท่าตัว
         แต่เรื่องที่ผมกู้มาซื้อหุ้นนั้น พูดแล้วยังหวาดเสียวไม่หาย คือผมกู้ธนาคารในรูป O/D หรือเงินเบิกเกินบัญชี แล้วก็ใช้เงิน O/D ไปซื้อหุ้นตัวที่คิดว่าเจ๋ง ใหม่ๆก็ดูดีเพราะหุ้นขึ้น   ขายได้กำไรก็โปะเข้าบัญชี O/D เพื่อลดยอด
         โชคชะตาไม่เข้าข้างผมตลอด เพราะต่อมาหุ้นลง ผมก็ขาดทุน ยอดบัญชีก็ค้างเติ่ง ทุกๆเดือนเห็นยอดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแล้วจะเป็นลมตาย สุดท้าย ตัดสินขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง เอาเงินไปลดหนี้ได้บางส่วน ที่เหลือใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายรายเดือนลง กัดฟันเอาเงินลดหนี้ O/D ใช้เวลาหลายปีกว่ายอดจะเป็นศูนย์ เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวมาก
         จึงขอสรุปว่า  เรื่องการเงินส่วนบุคคล เป็นของไม่ยาก มีแค่ 6 มิติเท่านั้นคือ
             หาเงิน
                ใช้เงิน
                เก็บเงิน
                ทำเงิน
                กู้เงิน
                คืนเงิน
          ถามว่าข้อไหนสำคัญที่สุด? ผมคิดว่าสำคัญทุกข้อ แต่ถ้าอยากมีชีวิตที่สบาย ต้องพยายามให้กระแสเงินจากการทำเงินมียอดสูงกว่าการใช้เงิน และถ้าเป็นได้อย่าพยายามกู้เงินเยอะเกินไป ถ้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้คืนได้ ทำได้อย่างนี้ การเงินก็จะเป็นผู้รับใช้เราครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘