ตอนที่ 25 มองต่างมุม "แวลู อินเวสเตอร์"

วิธีการลงทุนแบบ "แวลู อินเวสเตอร์" ส่วนตัวมองว่า "มันเสี่ยง" บางทีหุ้นลงก็ต้องถือ เพราะคุณคิดว่าพื้นฐานมันไม่เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็ต้องกลับมา แต่เมื่อไรล่ะ...ถ้าคุณไม่ Cut Loss ตอนหุ้นลง "มันเสียโอกาส" วิธีการลงทุนโดยการถือหุ้นอยู่ในพอร์ต "ตลอดเวลา" ในมุมมองของ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ มีความเชื่อส่วนตัวว่า "มันเสี่ยงเกินไป" ด้วยความเชื่อที่ว่า ตลาดหุ้นนั้นมี "ฤดูกาล" (มีรอบ)ของมัน บางปีอาจจะมีรอบให้เล่น "หลายรอบ" บางปีตลาดหุ้นอาจจะมีรอบใหญ่ๆเพียงรอบเดียว แต่ตลาดหุ้นไม่เคยขาดโอกาสให้ซื้อเลย...แต่ต้อง "รอ" เพราะฉะนั้นอย่ากลัว "ตกรถไฟ" หรือกลัวจะ "ซื้อหุ้นดี" (ราคาเหมาะสม) ไม่ได้ "ให้ผมวิจารณ์วิธีการลงทุนแบบ "แวลู อินเวสเตอร์" (Value Investor) ส่วนตัวมองว่า "มันเสี่ยง" นะ! ถ้าพลาดทีเดียวจะเสียหายได้เยอะ บางทีหุ้นลงก็ต้องถือ เพราะคุณคิดว่าพื้นฐานมันไม่เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็ต้องกลับมา แต่เมื่อไรล่ะ...ถ้าคุณไม่ Cut Loss ตอนหุ้นลง มันเสียโอกาส" เสี่ยยักษ์ เปรียบเทียบให้ฟังว่า อย่างพอร์ตผมมี 1,000 ล้านบาท ช่วงไหนเห็นท่าว่าตลาดไม่ดี ผมก็ลดพอร์ตลงมาเลย เหลือ 100 ล้านบาท "หุ้นตก...ผมยิ้มได้" เพราะผมคิดว่ายอมขาดทุนถือเงินสดเอาไว้ดีที่สุด เรามีโอกาสแก้ตัว แต่กับอีกคนๆหนึ่งที่เล่นหุ้นสไตล์ "แวลู อินเวสเตอร์" ถือหุ้นอยู่ 1,000 ล้านบาท "เต็มพอร์ต" วันไหนที่ตลาดหุ้นเกิด "แพนิค" (ตื่นตระหนก) วันเดียว เงินคุณหายไปเท่าไร "...อย่าคิดว่า คนที่เป็น "แวลู อินเวสเตอร์" จะไม่กู้ทุกคน หลายคนก็เล่นเครดิตบาลานซ์ ถ้าคุณมีพอร์ต 100 ล้านบาท มองตลาดดีมาก คุณกู้อีก 100 ล้านบาทรวมเป็น 200 ล้านบาท ซื้อเต็มพอร์ต วันไหนที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หุ้นตกลงมาเยอะๆคุณเจ๊งเลยนะ เพราะคุณจะไม่กล้าขาย คิดว่าพื้นฐานหุ้นมันไม่เปลี่ยน คนที่ถือหุ้นเยอะๆเวลาจะขายทีไม่ใช่ง่าย ตรงนี้คือ "ความเสี่ยง" ที่หลายคนไม่ได้มอง"
เสี่ยยักษ์ ออกตัวว่าไม่ใช่ว่าวิธีการลงทุนแบบ "แวลู อินเวสเตอร์" จะไม่ดี คนที่สำเร็จกับวิธีนี้ก็มีเยอะ เพียงแต่อยากจะชี้ให้เห็นจุดอ่อนบางมุม ยกตัวอย่างนะ...ในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ ตกมากๆ อย่าคิดว่า แวลู อินเวสเตอร์ จะกล้าซื้อทุกคน คนที่ใส่ไปหมดหน้าตักแล้ว อยากซื้อก็ไม่มีตังค์จะซื้อ ส่วนกรณีของ แวลู อินเวสเตอร์ ที่อยากจะขาย คุณไปซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำเอาไว้เต็มพอร์ต ถ้าคุณขาย คุณก็เจ็บหนัก นี่ผมพูดจากประสบการณ์ในชีวิตจริงให้ฟัง ยิ่งคุณขาย...หุ้นยิ่งลงหนัก ตรงข้ามกับผม ตลาดหุ้นช่วงไหนเล่นแล้วไม่สบายใจ (รู้สึกว่าทำกำไรยาก) ผมล้างพอร์ตจาก 100% ลงมาเหลือ 10% ทันที "ถามว่า...เวลาหุ้นตกหนักๆใครมีเงินซื้อ ?? คุณหรือ ผม" เสี่ยยักษ์ ถามกลับ
เสี่ยยักษ์ยกตัวอย่าง "กรณี 9/11" (เครื่องบินผู้ก่อการร้ายพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดที่สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544) นั่นคือ เหตุการณ์ไม่คาดฝัน มันนอกเหนือกฎเกณฑ์ วันนั้นขาดทุนทันที 26% คนที่กำลังจะ "เกิด" (กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว) ไปเจอเหตุการณ์อย่างงั้น ไม่รู้จะเกิดยังไง "จำเอาไว้...ในภาวะที่ตลาดหุ้นเป็น "ขาลง" หรือภาวะตลาดตื่นตระหนก คนที่มีพอร์ต 100% จะเสียเปรียบและเสียโอกาสมาก เพราะว่าคุณจะไม่มีเงินซื้อ ได้แต่รอ ได้แต่นั่งดูคนอื่น ในท้ายที่สุด เชื่อเถอะว่า คนที่ถือหุ้นเต็มพอร์ต ช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี คุณนั่นแหละคือคนที่ขายหนีตาย (ขายหลังผมและขาดทุนมากกว่าผม)"
เสี่ยยักษ์ สรุปประเด็นนี้ว่า หลักการเล่นหุ้นที่ปลอดภัย คุณไม่จำเป็นต้องถือหุ้นไว้ (เต็มพอร์ต) ตลอดเวลา ช่วงไหนที่ตลาดหุ้นไม่ดี เล่นหุ้นแล้วไม่สบายใจ รู้สึกอึดอัด ต้องลดพอร์ตแล้วถือเงินสดให้มากที่สุด...นี่คือหลักการที่ถูกต้อง ในช่วง 10 ปีมานี้ (2540-2550) คนที่เล่นหุ้นเป็นรอบ บางคนพอร์ตโตขึ้นมามากกว่า 100 เท่า นักเล่นหุ้นรายใหญ่ๆที่รู้จักหลายคนออกสตาร์ทด้วยเงินน้อยๆ เขาก็ประสบความสำเร็จได้ อย่าง น.พ.วิเศษ วชิรพงศ์ (ขุนศึกคู่กาย) เขาเริ่มต้นจากศูนย์ ในอนาคตก็ต้องมีเงินเป็นร้อยล้านแน่ "พูดกันตรงๆว่า ช่วงไหนที่ตลาดหุ้นไม่ดี พอร์ตเราต้องเหลือหุ้นให้น้อยไว้ก่อน ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้น(เต็มพอร์ต)ช่วงที่ตลาดไม่ดี เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆเหมือน ลิงแก้แห...ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง" เสี่ยยักษ์ กล่าวปิดท้าย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘