ตอน ที่ 11 : สู่ยุครุ่งเรืองของ Technical Analysis

บทความนี้ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมเชื่อว่าจะต้องมีนักลงทุนจำนวนมากมองเห็นเเตกต่างกันไปเเน่นอน เเต่ว่าผมแค่อยากจะเเชร์มุมมองของผมให้ทราบว่าผมมีมุมมต่อการลงทุนด้วย ปัจจัยพื้นฐาน และ Technical Analysis อย่างไร
เมื่อหลายปี มานี้ จากการวิกฤตเศรษฐกิจก็ดี จากการจัดอันดับโดย Forbes 500 ก็ดี เราจะพบว่า บุคคลที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน มักจะเป็นนักลงทุนที่เน้นปัจจัยพื้นฐาน หรือคำนวณราคาที่เหมาะสมจากมูลค่าหุ้นเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร , วอเรนท์ บัฟเฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก , นักลงทุนรุ่นใหม่ อย่าง YoYo , Blueblood จาก Thai.vi ทำให้เเนวคิดนี้ได้รับการยอมรับจากกว้างขวาง จนเริ่มมีคำถามว่า เเล้วนักลงทุนที่ใช้กราฟในการตัดสินใจในการลงทุนล่ะ หายไปไหนหมด เหตุใดจึงไม่มีตัวเเบบของผู้ประสบความสำเร็จอยู่เลย ?
คำตอบคือมีครับ เพียงเเต่เราไม่ได้สนใจจะติดตามเท่านั้น..............
1.ใน ต่างประเทศ มีนักลงทุนที่ติดอันดับ Forbes เป็นมหาเศรษฐี ที่เกิดจากการบริหาร Hedge Funds ติดอันดับ ถึง 10 คน จาก 50 คน ซึ่งคิดเป็น สัดส่วนถึง 20%
2.เทรดเดอร์ในต่างประเทศ ที่เป็นโปร สามารถทำเงินได้ต่อคืนมหาศาล ตั้งเเต่ 1,000 - 100,000$ (ประมาณ 35,000 - 3,500,000 ต่อคืน (เน้นคำว่า ต่อคืนนะครับ)
3.จากการเเข่งขันเท รดเดอร์ชิงเเชมป์โลก ก็พบว่า อันดับ 1st - 3rd ล้วนใช้กราฟในการตัดสินใจในการลงทุน ทั้งสิ้น
4.มาที่ไทยกันบ้าง ที่เวบ Chaloke.com มีหลายคนที่ทำกำไรมหาศาล ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ถึง กว่า 50% นั้น สมาชิกในชมรมนี้หลายคน กลับทำกำไรจากการ Short Futures ได้กำไรกันตั้งเเต่ 100-200% บางกลุ่มก็ได้กำไรจากการลงทุนในยางพาราถึงกว่า 300-400% กันเลยทีเดียว
5.เทรดเดอร์อิสระบางคนในไทย ที่ผมรู้จักก็สามารถสร้างรายได้ อย่างต่อเนื่อง ตั้งเเต่คืนละ 100$ - 600$ ( 3,500 - 21,000 บาท ต่อคืน) ถ้าจะคำนวณเป็นรายได้ต่อเดือนก็ ตก ราวๆ 75,000 - 420,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นการการทำงานเทรด ในช่วง 6 โมงเย็น - ตีสอง โดยที่รายได้การเทรดนั้นจะยังคงอยู่ตลอดไป เเม้ว่าเราจะเกษียณอายุการทำงานเเล้วก็ตาม
เเล้วทำไมผมถึงคิดว่า นับเเต่วันนี้ไปอีก 10 ปี ถึงเป็นยุคทองของ Technical Analysis
1. ปัจจุบันมีตราสารใหม่ๆ ออกมามากที่สามารถทำกำไรได้ทั้ง ขาขี้น ขาลง เเม้กระทั่งอยู่เฉยๆ เราก็สามารถทำกำไรได้
2.ตราสารใหม่ๆ ทั้ง ฟิวเจอร์ ออปชั่น ล้วนมี Leverage ที่ช่วยเพิ่มผลตอบเเทนการลงทุน ตั้งเเต่ 2 ถึง 500 เท่า
3.จากการทดสอบ เครื่องมือทาง Technical ง่ายๆ อย่างเส้นค่าเฉลี่ย EMA ก็สามารถทำกำไรได้ อย่างน้อยปีละ 10% ซึ่งอาจจะน้อยกว่าการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานพอสมควร เเต่เมื่อมีตัวคูณเข้ามาช่วยเพิ่มผลตอบเเทนก็ทำให้จาก 10% เป็นดังนี้
ปกติ เราลงทุนในหุ้น ได้ 10% โดยใช้ Technical Analysis เมื่อลงทุน Futures ที่มี Leverage 10 เท่า
= 10% x 10 --> 100%
ปกติ เราลงทุนในหุ้น ได้ 10% โดยใช้ Technical Analysis เมื่อลงทุน Forex ที่มี Leverage 100 เท่า
= 10% x 100--> 1,000%
ปกติ เราลงทุนในหุ้น ได้ 10% โดยใช้ Technical Analysis เมื่อลงทุน Option ที่มี Leverage 10 เท่า = 10% x 100--> 100%
จะ เห็นว่าทั้งๆ ที่เราใช้ความสามารถเท่าเดิม เเต่เราใช้เครื่องมือที่ทรงพลังมากขึ้น ก็สามารถปรับเปลี่ยนผลตอบเเทนให้เพิ่มขึ้นได้อย่างมหาศาล
4. ในการที่จะศึกษาการลงทุนของประเทศอื่นๆ หากเราใช้ปัจจัยพื้นฐานในการวิเคราะห์ จะต้องเสียเวลานานในการเริ่มต้นวิเคราะห์ครั้งเเรก ในขณะที่การดูกราฟ นั้นสามารถทำได้ทันที เพราะจุดเด่นของการใช้กราฟคือปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพียงเเค่เรามีข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น
5.ปัจจุบัน มีการเปิดเสรีทางInternet ทำให้เรามีโอกาสที่จะ เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น ระบบการเทรดที่ดี ก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเรียนยังต่างประเทศเหมือนเมื่อ ก่อน อย่างตำราด้านการวิเคราะห์ก็สามารถสั่งซื้อเเล้วดาวน์โหลดมาอ่านได้ทันที

เเต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เชื่อว่า วิธีการวิเคราะห์เเบบไหนก็ได้ที่เข้ากับลักษณะนิสัยของเรา เเละเราสามารถเชื่อเเละทำตามเครื่องมือในการวิเคราะห์นั้นอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ดีที่สุดเเล้วล่ะครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘