ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

วัดอรัญญบรรพต
ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



๏ ก่อนบวช-พรรษาแรก

หลวงปู่ได้เล่าไว้ในอัตตโนประวัติ ไว้ว่า ท่านเกิดในครอบครัว ใจขาน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2455 ครอบครัวมีอาชีพทำนา ทำสวนและเลี้ยงสัตว์ มีพี่น้องด้วยกัน 7 คนแต่ได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กทุกคน เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ 10 ขวบ มารดาท่านก็ได้เสียชีวิตลง ไม่นานบิดาท่านก็มีภรรยาใหม่ หลวงปู่จึงได้ไปอยู่อาศัยกับคุณยายจนอายุได้ 13 ปีเรียนหนังสือจบ ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่กับบิดา ช่วยบิดาและมารดา ทำงานร่วมกับพี่น้อง ที่เป็นลูกของมารดาใหม่อย่างขยันขันแข็ง

ครั้นเมื่อท่านมีอายุได้ 20 ปี ก็มีความปรารถนาจะออกบวช โดยพิจารณาเห็นว่าชีวิตนี้เกิดมาแล้ว ทำงานไม่รู้จักจบจักสิ้น ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรติดตัวไป โลกนี้มีทั้งสุขและทุกข์ แต่ความสุขที่ว่านี้เป็นความสุขชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน มันเป็นเพียงเหยื่อล่อ ให้คนเราติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น คนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตายด้วยกันทุกคน ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เมือพิจารณาดังนี้แล้ว ท่านจึงไปขออนุญาตบิดาและมารดาเพื่อขอลาบวช

เมื่อ ท่านบิดาได้อนุญาตแล้ว ท่านก็ได้บวช ณ อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทอง มีท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อเดือนมกราคม 2475 บวชแล้วจึงกลับมาอยู่วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ โดยท่านอาจารญ์วัดโพธิ์ สอนให้ท่านภาวนาอนุสติ 10 ท่านก็ได้ท่องเอา แล้วบริกรรมไปเรื่อยๆ ตั้งแต่พุทธานุสติ ธรรมานุสติ ไปจนถึงอุปสมานุสติแล้วจึงตั้งใหม่

ครั้น ถึงเดือนพฤษภาคมปีนั้นเอง ท่านจึงได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดศรีสุมัง ท่านจึงได้เข้าไปเรียนถามวิธีเจริญภาวนา กับท่านอาจารย์บุญจันทร์ รองเจ้าอาวาส ซึ่งได้รับคำสอนให้เลือกเอากรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ที่ถูกกับนิสัยของตน บริกรรมเฉพาะบทเดียวเท่านั้น พร้อมกับแนะนำให้บริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ ท่านจึงได้บริกรรมพุทโธมาตั้งแต่นั้น พอถึงเดือนธันวาคมสอบนักธรรมเสร็จ ท่านจึงได้เดินทางกลับวัดโพธ์ชัย

ในระหว่างนั้นบิดาท่านได้นำ หนังสือของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม มาถวายหลวงปู่ เมื่ออ่านแล้วท่านรู้สึกสนใจในเรื่องกายานุปัสสนา ซึ่งในหนังสือได้แนะนำให้พิจารณากายแยกย่อยไปเป็นส่วนต่างๆ ให้สติได้รู้ว่า ร่างกายนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นของตนสักอย่างเดียว เมื่อท่านพิจารณาได้ดังนี้จึงมีดำริจะออกไปอยู่ในป่า

แต่ท่านก็ยัง ไม่อาจตัดสินใจได้เพราะใจหนึ่งอยากสึกไปครองเรือน แต่อีกใจหนึ่ง อยากออกปฏิบัติธรรมตามที่ตั้งใจไว้ ท่านจึงได้นั่งสมาธิตัดสินใจ แล้วท่านก็ได้คำตอบว่าไม่สึกถึง 3 ครั้ง ซึ่งไม่นานท่านจึงได้ ออกจากวัดไปอยู่ป่าที่ผาชัน ริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมกับศึกษาต่อกับท่านอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ซึ่งท่านก็ได้รับฟังจนเข้าใจดี

๏ ธรรมยุติพรรษาที่ 1 ถึง พรรษาที่ 5

ครั้นปี 2476 หลวงปู่ได้พบกับท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต ท่านอาจารย์บุญมาได้พาท่านไปบวชเป็นธรรมยุติที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี ในพรรษาแรก ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสาระวารี จ.อุดรธานี เมื่อออกพรรษาแล้วท่านจึงได้ธุดงค์ขึ้นไปพักวิเวก ที่ถ้ำผาปู่ และถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย

พอปี 2477ท่านจึงได้กลับลงมาจำพรรษาที่วัดอรัญวาสี จ.หนองคาย ในพรรษานี้ ท่านเล่าว่าท่านได้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ซึ่งท่านมีความตั้งใจดังนี้คือ 1. จะไม่นอนกลางวัน 2. เมื่อค่ำลงจะทำความเพียร จนถึง 4 ทุ่มจึงจำวัด พอถึงตี 2 จึงลุกขึ้นทำความเพียรต่อ จนถึงสว่าง พอออกพรรษา ท่านจึงได้ธุดงค์ไปอยู่ที่ถ้ำผาบิ้งอีก พอถึงเดือนหก จึงกลับมาที่วัดป่าบ้านค้อ

ในวันออกพรรษาปีนั้นเอง ท่านก็เกิดรักผู้หญิงเข้าคนหนึ่ง ท่านจึงได้รีบหนีกลับมาอยู่ที่วัดอรัญญบรรพต แต่ก็ไปเกิดรักใหม่จนท่านตัดสินใจว่าจะลาสึก และจึงได้ดินทางไปหาพระอุปัชฌาย์เพื่อลาสึก แต่ในคืนวันนั้นเอง ท่านได้พิจารณาเห็นถึงความทุกข์ในโลก จนในที่สุดท่านจึงคลายจากความอยากสึกลง

จากนั้นท่านจึงได้กลับไป จำพรรษาที่วัดป่าสาระวารีอีกครั้ง เป็นพรรษาที่ 3 พอย่างเข้าเดือน 10 ท่านก็ล้มป่วยลง พอออกพรรษา บิดาจึงได้พาท่านกลับมารักษาตัว ที่วัดอรัญญบรรพต ท่านเล่าว่าเจ็บครั้งนั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ครั้น ต่อมาการภาวนาก็ทำให้จิตสงบลงเรื่อยๆ จนสงบดีแล้ว แต่พอมีเรื่องต่างๆ เข้ามากระทบ เช่นทางตา ก็ทำใจจิตใจหวั่นไหว แก้อย่างไรก็ไม่ตก ท่านจึงได้คิดถึงท่านอาจารย์มั่น ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้รู้จักเลย เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หลวงปู่จึงได้ชวนเพื่อนภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางมาหาท่านอาจารย์มั่นด้วยกันที่ จ.เชียงราย

ในคืนวันหนึ่ง ที่ยังเดินไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงนอนอยู่ในป่าข้างทาง คืนนั้นท่านได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น พอถึงรุ่งเช้าท่านก็ได้ทราบว่าเพื่อนภิกษุก็ได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น เช่นกัน พอสอบถามถึงลักษณะที่ปรากฏก็ทราบว่าเป็นเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ทำให้ท่านแน่ใจว่า จะต้องได้พบท่านอาจารย์มั่นอย่างแน่นอน

ครั้นเมื่อเดินทางไปถึง จ.เชียงใหม่ ไปที่วัดเจดีย์หลวง ได้พบกับหลวงตาเกต ซึ่งได้พาท่านไปพบพระอาจารย์มั่น ที่ป่าละเมาะใกล้ๆ โรงเรียนแม่โจ้ ในวันนั้นท่านอาจารย์ได้ให้โอวาทแก่หลวงปู่ว่า

ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศเลย เขาทำใส่พื้นดินนี้แหละจึงได้รับผล ฉันใด โยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย ควรพิจารณาร่างกายนี้แหละเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามในรูปนี้ ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั้นแหละ จึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดในความสงบโดยส่วนเดียว

๏ ธรรมยุติพรรษาที่ 6 ถึง พรรษาที่ 18

ในพรรษาที่ 6 ท่านได้รับการแต่งตั้งจากท่านพระอาจารย์มั่นให้จำพรรษาที่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ พร้อมกับพระอาจารย์เนียม และพระอาจารย์อ่อนศรี ครั้นออกพรรษาแล้วจึงได้ออกธุดงค์ ไปบนเขาดอยพระเจ้า พร้อมกับท่านพระอาจารย์มั่น และพระรูปอื่น รวม 6 รูปด้วยกัน

นับ ตั้งแต่หลวงปู่ได้พบท่านพระอาจารย์มั่น ในปี 2481 เป็นต้นมา หลวงปู่ก็ยิ่งเลื่อมใสท่านพระอาจารย์มั่นมากขึ้นตามลำดับ ท่านจึงตัดสินใจธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือต่อ จำพรรษาที่เชียงใหม่รวมทั้งสิ้น 10 ปี และ อ.เถิน จ.ลำปาง อีก 3 ปี ซึ่งในครั้งนั้นมีพระอาจารย์ที่ร่วมธุดงค์ด้วยทางภาคเหนือ ได้แก่ ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์กู่ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชอบ และหลวงปู่ขาว เป็นต้น

โดยในพรรษาที่ 7 - 9 ได้อยูจำพรรษากับท่านอาจารย์กู่ และท่านอาจารย์สิมที่วัดสันต้นเปา จ.เชียงใหม่ และในพรรษาที่ 10 ได้จำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์แม่หนองหาร กับหลวงปู่ชอบ ซึ่งในพรรษานั้นหลวงปู่ชอบได้มาชวนให้ท่านไปธุดงค์ที่ประเทศพม่า แต่ท่านลองนั่งสมาธิแล้วเห็นว่า หนท่างไม่ปลอดโปร่ง ท่านจึงได้ปฏิเสธหลวงปู่ชอบไป ซึ่งในภายหลัง ท่านได้พบกับหลวงปู่ชอบอีกครั้ง ท่านจึงได้ถามถึงการไปพม่า ซึ่งได้รับคำตอบว่าไปพม่าครั้งนั้น ได้รับความลำบากมาก

ตั้งแต่ พรรษาที่ 11 - 14 ท่านได้อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ ในระหว่างนี้ท่านได้พบกับหลวงปู่ชอบ และหลวงปู่ขาว จึงได้ชวนกันไปวิเวกตามเขาและถ้ำ แต่ในภายหลังหลวงปู่ขาวไม่สบาย ท่านจึงกลับลงมา แต่ไม่นานหลวงปู่ชอบก็ชวนขึ้นไปอีก ท่านเล่าว่าในคืนหนึ่ง ขณะที่นั่งสมาธิอยู่ ก็เกิดความรู้สึกในจิตว่า "ระวังอย่าประมาท คืนนี้เสือใหญ่มา" ท่านจึงได้นั่งสมาธิอยู่ ก็ไม่เห็นมีอะไร นานเข้าท่านจึงจำวัด รุ่งเช้าท่านก็ไดไปปฏิบัติท่านอาจารย์ชอบ พร้อมเรียนถามท่านว่าเห็นนิมิตอะไรหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าเห็นอุบาสกมาบอกให้ระวังเสือ ท่านจึงได้นั่งสมาธิคอยแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อหลวงปู่เหรียญทราบดังนั้นแล้ว ท่านจึงได้ไปสำรวจรอบๆ ที่พัก ก็ได้เห็น รอยเสือคุ้ยดินเป็นระยะๆ เมื่อท่านออกบิณฑบาต ก็เห็นรอยเสืออยู่ตามทาง ท่านจึงได้แผ่เมตตาให้ ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีเสือไปหาอีกเลย

ในพรรษาที่ 15 และ 17 - 18 ได้จำพรรษาอยู่ที่ อ.เถิน จ.ลำปาง ซึ่งระหว่างที่หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่ จ.ลำปาง นี้ ก็ได้พาบิดาไปบวช ณ วัดเชตวัน จ.เชียงใหม่ และได้อุปการะท่านมาโดยตลอด

และในพรรษาที่ 16 ได้ไปจำพรรษาที่ จ.เชียงใหม่ ไม่นานท่านก็ได้ไปธุดงค์ต่อที่ประเทศลาว ที่นั่นท่านได้เห็นนิมิตอนาคตของประเทศลาว ได้ความว่าต่อไปประเทศลาวจะหาความสงบได้ยาก ท่านจึงเดินทางกลับประเทศไทย

๏ ธรรมยุติพรรษาที่ 19 ถึง ปัจจุบัน

เมื่อหลวงปู่กลับมาประเทศ ไทย ท่านก็ได้เจอกับหลวงปู่เทสก์ ซึ่งหลวงปู่เทสก์ก็ได้ชวนท่านไปเผยแผ่ธรรมะทางภาคใต้ ซึ่งในการเดินทางครั้นนั้น มีทั้งพระและเณร รวมทั้งหมด 9 รูป ในระหว่างเดินทางทางเรือ ท่านก็ได้พิจารณาเห็นธรรมะดังนี้

“เรือที่นายช่างต่อดีแล้วอย่างแข็งแรง
เมื่อถูกคลื่นกระทบแล้วไม่เสียหายฉันใด
จิตของบุคคลใดเมื่อฝึกฝนให้ดีแล้ว
คลื่นของกิเลสกระทบเข้าย่อมไม่หวั่นไหวก็ฉันนั้น”

ดังนั้น ในพรรษาที่ 19 - 20 ท่านจึงจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ ต.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา 2 พรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วจึงไปวิเวกตามถ้ำใน จ.พังงานั้นเอง ครั้นเมื่อใกล้จะเข้าพรรษาก็ได้มีผู้นิมนต์ให้จำพรรษาที่เมืองพังงา ขณะที่ท่านได้ไปบำเพ็ญอยู่ที่ถ้ำหลักเมือง หน้าถ้ำมีศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตั้งอยู่ มีการขอบัตร ขอเบอร์ ทรงเจ้า ฆ่าสัตว์สังเวยทุกปี วันแรกก่อนที่ท่านจะเข้าถ้ำ ท่านจึงเข้าไปในศาล เห็นหิน 2 ก้อนฝังดินอยู่ แต่พ้นดินอยู่ส่วนหนึ่ง ท่านจึงสวมรองเท้าขึ้นไปเหยียบหินทั้ง 2 ก้อนแล้วกล่าวว่า ได้ยินว่าเจ้าพ่อหลักเมืองมาอาศัยอยู่ที่นี้หรือ ถ้ามาอยู่ที่นี่จริงขอให้เจ้าพ่อคอยฟังธรรมะนะ อาตมาจะแสดงธรรมให้ญาติโยมฟังอยู่หน้าถ้ำนี้แหละ แล้วท่านก็เข้าไปในถ้ำ บำเพ็ญสมณธรรมได้ 2 เดือน ก็มีโยมเข้าไปสร้างศาลาหลังเล็กๆ ให้ ต่อมาก็มีผู้ซื้อที่ดินจัดทำเสนาสนะให้อยู่จำพรรษา มีพระจำพรรษาด้วยกัน 5 รูป มีญาติโยมไปนั่งสมาธิและฟังธรรมทุกคืน

ในวันอุโบสถวันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งซึ่งไปดูการเข้าทรงมา มาจำศีลอุโบสถที่วัด เล่าว่าในวันที่มีการเข้าทรงกัน เจ้าพ่อในร่างคนทรงบอกว่า ต่อไปอย่ามาขอเบอร์ และฆ่าสัตว์สังเวยอีกเพราะมันเป็นบาป มีคนถามว่าเมื่อก่อน เจ้าพ่อยังบอกลูกหลานอยู่ ทำไมจึงว่ามันบาป เจ้าพ่อตอบว่า เมื่อก่อนท่านยังไม่รู้ว่าบาปเป็นอะไร แต่พอได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐานที่มาแสดงที่หน้าถ้ำ ท่านจึงรู้ว่ามันเป็นบาป แล้วบอกว่า ต่อไปถ้าจะเอาของมาสังเวยก็ขอให้เอา ขนม ผลไม้ มาบวงสรวง ตอนนี้ท่านก็จำศีลภาวนาอยู่เสมอ หลวงปู่บอกว่าการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งนั้น ได้ผลมากพอสมควร

ท่าน ได้อยู่บำเพ็ญสมณกิจที่สำนักสงฆ์นั้นมาจนขออนุญาตสร้างวัดได้สำเร็จ ตั้งชื่อว่า วัดประชาสันติ อยู่วัดนี้ได้ 6 ปี จึงย้ายมาอยู่วัดสันติวราราม อีก 2 ปี จึงย้ายกลับไปอยู่วัดอรัญญบรรพต ตั้งแต่ปี 2502 - ปัจจุบัน

๏ สรุปประวัติหลวงปู่

นามเดิม :: เหรียญ ใจขาน

สมณศักดิ์ :: พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)

เกิด :: วันที่ ๘ มกราคม ๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด

สถานที่เกิด :: ตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงไหม่ จังหวัดหนองคาย

บิดา :: นายผา ใจขาน

มารดา :: นางพิมพา ใจขาน

พี่น้อง :: ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๗ คน (เสียชีวิตแต่ยังเล็ก ๖ คน) ร่วมบิดาเดียวกัน แต่ต่างมารดา ๒ คน

อาชีพเดิม :: กสิกรรม

ออกบวช :: เดือนมกราคม ๒๔๗๕

สถานที่บวช :: อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทอง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย

พระอุปัชฌาย์ :: ท่านพระครูวาปีดิฐวัตร

พระกรรมวาจาจารย์ :: พระอาจารย์พรหม

สังกัดเดิม :: มหานิกาย

ญัตติใหม่ :: ธรรมยุติกนิกาย

แปรญัตติใหม่เมื่อ :: วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๗๖

สถานที่แปรญัตติ :: วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี

พระอุปัชฌาย์ :: ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์

พระกรรมวาจาจารย์ :: พระครูประสาทคณานุกิจ

“สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์เท่านั้น บางทีก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้นคนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้ว ก็เป็นทุกข์นั้นแหละ มากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”


หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.relicsofbuddha.com/worralapo/wprawat.htm

จิตนั่นแหละเป็นแก่นของชีวิต
โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

วัดอรัญญบรรพต
ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

จิต นั่นแหละเป็นแก่นของชีวิต พุทโธ พุทโธ เป็นยอดกรรมฐาน การภาวนาพุทโธๆ ในใจบ่อย ทำให้ใจเย็นสบาย จิตใจเบิกบานผ่องใส พุทโธ คือเป็นผู้ที่ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว ตื่นที่ว่านี้ ก็คือการตื่นจากความหลง ไม่หลงใหลไม่เชื่ออะไรที่งมงาย

“สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะ อำนวยแต่ความทุกข์เท่านั้น บางทีก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้นคนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้ว ก็เป็นทุกข์นั่นแหละ มากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”

นี่เป็นคำสอนของ พระสุธรรมคณาจารย์ หรือที่รู้จักกันในนาม หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ อดีตเจ้าอาวาสวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

หลวงปู่ เหรียญ ได้ออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ รวมทั้งประเทศพม่าและลาว เพื่อแสวงหาความวิเวกสำหรับการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ระหว่างที่ธุดงค์อยู่นั้น หลวงปู่ยังได้ไปเรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อีกด้วย

โดยวิชาวิปัสนากรรมฐานของหลวงปู่มั่นนั้น ได้เน้นย้ำนอกจากให้ตัวเราพิจารณาร่างกายให้เป็นอารมณ์แล้ว ตั้งใจถามตอบตัวเองว่า ร่างกายเป็นของเราหรือไม่ เมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นของเกิดของตายของดับ เป็นของไม่แน่นอน และจิตนั่นแหละก็จึงเป็นแก่นของชีวิต

หลวงปู่เหรียญท่านก็ได้นำคำ สอนต่างๆ มาสอนเป็นธรรมะให้กับญาติโยมผ่านช่องทางการพระธรรมเทศนาอย่างต่อเนื่อง และท่านได้อนุญาตให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว “คม ชัด ลึก” ดังนี้

หลวงปู่เคยคิดสึกออกไปเป็นฆราวาสบ้างไหมครับ ?

อาตมา ก็เคยคิดสึกเหมือนกัน แต่อาตมาคิดว่าบุญบวชของเรามันมีมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับความอยากสึกของเรา ทำให้การอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ก็เลยชนะกับการไม่สึกนั่นเอง สิ่งที่สำคัญอาตมาคิดแล้วการบวชอยู่อย่างนี้ก็ทำให้ชีวิตเรามีความสุข เป็นการปลงภาระและการครองเรือน ไม่ต้องไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่มีแต่ความวุ่นวายก็เท่านั้น แต่ถ้าถามจริงๆ ครั้งหนึ่งอาตมาก็อยากสึกเหมือนกันนะ (หัวเราะ)

มีเหตุอันใดที่ทำให้อยากสึกครับ ?

ครั้ง นั้นด้วยความเป็นพระหนุ่มๆ ก็เกิดรักผู้หญิงเข้าคนหนึ่ง ก็ได้รีบหนีกลับมาอยู่ที่วัดอรัญบรรพต แต่ก็ไปเกิดรักใหม่จนต้องตัดสินใจแล้วว่าจะลาสึก และต่อมาอาตมาจึงเดินทางไปหาพระอุปัชฌาย์เพื่อลาสึก แต่ในคืนวันนั้นเองอาตมาได้พิจารณาเห็นถึงความทุกข์ในโลก จนในที่สุดจึงคลายจากความอยากสึกลงอย่างกะทันหัน จากนั้นอาตมาจึงได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาระวารีอีกครั้ง เป็นพรรษาที่ ๓ พอย่างเข้าเดือน ๑๐ อาตมาก็ล้มป่วยลง พอออกพรรษา พ่อจึงได้พามารักษาตัวที่วัดอรัญบรรพต เป็นการเจ็บป่วยที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด

หลังจากหลวงปู่ไม่คิดที่จะสึกแล้วได้มุ่งมั่นทำอะไรต่อครับ ?

ใน ปี ๒๔๗๖ อาตมาได้พบกับท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต ท่านอาจารย์บุญมาได้พาไปบวชเป็นพระธรรมยุติที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี ในพรรษาแรก ก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสาระวารี จ.อุดรธานี เมื่อออกพรรษาแล้วจึงธุดงค์ขึ้นไปพักวิเวก ที่ถ้ำผาปู่ และถ้ำผาบิ้ง จ.เลย

ต่อมาในปี ๒๔๗๗ จึงได้กลับลงมาจำพรรษาที่วัดอรัญวาสี จ.หนองคาย ในพรรษานี้อาตมาก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ด้วยการไม่นอนกลางวัน เมื่อค่ำลงจะทำความเพียร จนถึง ๔ ทุ่มจึงจำวัด พอถึงตี ๒ จึงลุกขึ้นทำความเพียรต่อ จนถึงสว่าง พอออกพรรษาอาตมาจึงธุดงค์ไปอยู่ที่ถ้ำผาบิ้งอีกครั้ง พอถึงเดือนหกก็ได้กลับมาที่วัดป่าบ้านค้อ ในวันออกพรรษาปีนั้นเอง

อาตมา ได้ปฏิบัติธรรมด้วยการภาวนา ก็ทำให้จิตสงบลงเรื่อยๆ จนสงบดีแล้ว แต่พอมีเรื่องต่างๆ เข้ามากระทบ เช่น ทางตา ก็ทำจิตใจหวั่นไหว แก้อย่างไรก็ไม่ตก อาตมาจึงได้คิดถึงท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักเลย เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จากนั้นก็ชวนเพื่อนภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางมาหาท่านอาจารย์มั่นด้วยกันที่ จ.เชียงราย ในคืนวันหนึ่งที่ยังเดินไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงนอนอยู่ในป่าข้างทาง คืนนั้นได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น พอถึงรุ่งเช้าก็ได้ทราบว่าเพื่อนภิกษุก็ได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่นเช่นกัน พอสอบถามถึงลักษณะที่ปรากฏก็ทราบว่าเป็นเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ทำให้อาตมาแน่ใจว่า จะต้องได้พบท่านอาจารย์มั่นอย่างแน่นอน

แล้วได้ไปพบพระอาจารย์มั่นเมื่อไรครับ ?

ประมาณ ปี ๒๔๘๑ อาตมาก็ได้พบท่านอาจารย์มั่น เมื่ออาตมาเดินทางไปถึง จ.เชียงใหม่ ไปที่วัดเจดีย์หลวง ก็ได้พบกับหลวงตาเกต ซึ่งได้พาอาตมาไปพบท่านอาจารย์มั่น ที่ป่าละเมาะใกล้ๆ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในวันนั้นพระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาทแก่อาตมาว่า ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศเลย เขาทำใส่พื้นดินนี่แหละจึงได้รับผล ฉันใด โยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย ควรพิจารณาร่างกายนี้แหละเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามในรูปนี้ ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั่นแหละ จึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดในความสงบโดยส่วนเดียว

แล้วพระอาจารย์มั่นสอนอะไรให้กับหลวงปู่บ้างครับ ?

ก็ สอนหลายอย่างเกี่ยวกับการทำวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งท่านก็สอนและเน้นย้ำนอกจากให้ตัวเราพิจารณาร่างกายให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็ให้วกเข้ามาสู่จิต จิตเป็นผู้รับรู้ โดยจิตนั่นแหละเป็นผู้เพ่งร่างกาย เมื่อเพ่งร่างกายเสร็จแล้วก็ให้ย้อนเข้ามาหาจิต ตั้งใจถามตอบตัวเองแบบนี้ว่า ร่างกายเป็นของเราหรือไม่ เมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นของเกิดของตายของดับ เป็นของไม่แน่นอน และจิตนั่นแหละก็จึงเป็นแก่นของชีวิต

จิตเป็นแก่นของชีวิตคืออะไรครับ ?

อ้าว !...ก็จิตมันไม่ตาย มันตายแต่ร่างกาย การเวียนว่ายตายเกิดก็มาจากจิตดวงเดียวนี้นั่นแหละ จะว่าไม่เป็นแก่นอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นภพหน้าชาติหน้า จิตดวงนี้แหละก็ต้องตามพวกเราทั้งหมด ร่างกายจะไปได้ที่ไหนล่ะ เมื่อร่างกายถูกไฟเผาร่างกายก็เหลือแต่กระดูกเป็นเถ้าถ่านไปหมด ดังนั้น จิตดวงเดียวถ้าผู้นั้นยังไม่สิ้นกิเลส มันก็มีบาปมีบุญติดตามไป และบาปบุญนั่นแหละที่จะนำดวงจิตไป และถ้าทุกคนสิ้นหรือหมดจากกิเลสแล้วก็จะไม่มีอะไรนำก็จะเป็นการนิพพาน นั่นเอง

แสดงว่าหลวงปู่เชื่อชาติหน้ามีจริงซิครับ ?

ก็มี จริงซิ (หัวเราะ) ถ้าไม่มีจิตเรานั้นจะไปได้อย่างไรกัน แต่ที่คนเรายังไม่ค่อยเชื่อเรื่องชาติหน้าชาตินี้หรืออย่างเรื่องนรกสวรรค์ อาตมาก็อยากให้เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้นั่นแหละ หากถามอาตมาว่าคนทั่วไปทำไมเชื่อก็เป็นเรื่องของคนที่ยังมองไม่เห็น มองแล้วยังไม่รู้เพราะยังไม่สิ้นกิเลส

หลวงปู่สร้างวัตถุมงคลบ้างหรือเปล่าครับ ?

อาตมา ไม่ได้สร้างวัตถุมงคลเลย มีแต่ลูกศิษย์เขาสร้างกันมาให้อาตมาก็แจกหมดเลย ตอนนี้เลยไม่มี (หัวเราะ) จริงๆ อาตมามองว่า วัตถุมงคลไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อาตมาเห็นถึงคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะคุณของพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่รูปหรือเหรียญ แต่อยู่ที่ใจของคนเราต่างหาก เมื่อใจเชื่อเลื่อมใสภาวนาทำใจให้สงบลงได้ พระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ที่ใจได้กลายมาเป็นความสงบนั่นเอง

แล้วทำไมคนเราบางส่วนยังยึดติดอยู่กับวัตถุมงคลครับ ?

สังคม ทุกวันนี้เป็นเหมือนมีค่านิยมแบบใหม่ตามๆ กันไป เมื่อมีผู้หนึ่งจัดทำ หรือบางคนถือแขวนพระนั้นติดตัว ผู้อื่นก็อยากได้บ้าง ก็ทำให้คนเราแสวงหาต่อๆ กันไป บางครั้งกระแสข่าวว่า หลวงพ่อนั้นหลวงพ่อนี้มีความวิเศษแบบนั้นแบบนี้ก็เชื่อต่างก็หลั่งไหลกันไป ขอไปบูชา เขาจึงเรียกว่า มงคลตื่นข่าว เพราะพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ให้เชื่อเรื่องมงคลตื่นข่าว แต่ให้เชื่อเรื่องกรรม ให้เชื่อเรื่องผลของกรรม เราทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

บางคนรอดตายแล้วบอกว่ามีพระดีเป็นไปได้ไหมครับ ?

ถ้า ให้อาตมามองถึงเหตุปัจจัย เป็นเพราะว่าบุคคลนั้นกรรมตายโหงไม่มี ชาติที่แล้วอาจสร้างบุญกุศลไว้มาก บุญกุศลนั่นแหละที่ตามรักษาเขา หรือที่เขาเรียกกันว่าบุญเก่านั่นแหละ ถ้าผู้นั้นมีกรรมมีเวร กรรมเวรตามสนองก็ตายโหง ถ้ากรรมเวรนั้นไม่มีก็ไม่ตาย และปาฏิหาริย์มีจริงก็เกิดขึ้นได้เฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียวนั่นแหละ แม้แต่อาตมาเองก็ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ไม่ได้ดอก (หัวเราะ)

ตอนนี้สุขภาพหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้างครับ ?

สุขภาพ ของอาตมาก็เป็นไปตามสภาพของคนแก่ ดีบ้างสุขบ้าง ทุกข์บ้าง มันก็เป็นไปแบบนั้น กำลังแรงกายของอาตมาก็ไปไหนมาไหนก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน แต่อายุจะยืนยาวนานแค่ไหนก็แล้วแต่บุญกรรมจะนำพาชีวิตอาตมาไป อาตมาเลยบอกไม่ได้ว่าจะอยู่อีกกี่ปี (หัวเราะ)

สุดท้ายนี้หลวงปู่อยากให้ธรรมะอะไรกับผู้อ่านบ้างครับ ?

พุ ทโธ พุทโธ เป็นยอดกรรมฐาน การภาวนาพุทโธๆ ในใจบ่อย ทำให้ใจเย็นสบาย เพ่งจนพุทโธไม่ถอย เพ่งลงไปจนหายใจเกิดเป็นความสงบ รวมกันเป็นหนึ่งลงไป พุทโธก็คือ เป็นผู้ที่ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว ภาวนาพุทโธไปแล้วจิตใจก็เบิกบานผ่องใส ตื่นที่อาตมาว่านี้ ก็คือการตื่นจากความหลง ไม่หลงใหลไม่เชื่ออะไรที่งมงาย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เชื่ออะไรงมงาย และเราเกิดมาในชาตินี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลก สมควรที่จะลงมือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์โดยความไม่ประมาท กิเลสบาปกรรมจะได้น้อยเบาบางจากดวงจิตของตน การที่คนเราจะพ้นทุกข์ไปไม่ได้ก็เพราะไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นเอง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘