พระกับมาร

แรงจูงใจที่ผมปรารถนา จะนำเรื่องนี้มาเสนอให้ทราบเนื่องจากว่า น้อยคนนักที่จะรู้ว่า "มาร" จริงๆแล้วคืออะไร รู้ก็รู้เพียงเลาๆ ตามความหมายในคัมภีร์ทางปริยัติ ที่ให้ความหมายไว้ว่า
มาร คือ สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากความดี, ตัวการที่ขัดขวางไม่ได้บรรลุความดี มี ๕ อย่างคือ
๑. กิเลสมาร มารคือกิเลส
๒. ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์
๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขารที่ปรุงแต่งกรรม
๔. เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร
๕. มัจจุมาร มารคือความตาย
นี่คือ มาร ๕ อย่าง มารอย่างที่ ๑, ๒, ๓ และ ๕ เป็นมารที่ไม่มีตัวตน ส่วนมารอย่างที่ ๔ เป็นมารที่มีตัวตน ตามตำราบอกว่า เป็น วสวัตดีมาร ซึ่งเป็นเทวดาครองสวรรค์ที่ ๖ คือชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี แต่ "มาร" ตัวการที่ขวางความดีจริงๆ นั้น เรายังไม่รู้จักเขาจริงๆเลย

เรื่อง "มาร" มีปรากฏ ในพระไตรปิฏกมากมายหลายที่ แต่ที่จดจำกันได้ชัดเจน ก็มีสองตอน ตอนแรกคือตอนที่ พระโพธิสัตว์กำลังจะตรัสรู้ (มารวิชัยปริวรรต - พระปฐมสมโพธิกถา) มารได้ยกพลเสนามาผจญ เพื่อทวงรัตนบัลลังก์จากพระโพธิสัตว์ ตอนที่สองคือ ตอนที่พระอรหันต์อุปคุต ปราบมารสำเร็จ (มารพันธปริวรรต - พระปฐมสมโพธิกถา)

แต่ที่เป็นที่น่าเคลือบแคลงของตำรา มีอยู่ที่ตอนแรก ตามตำราอธิบายไว้ว่า เมื่อพญามาร ยกพลเสนามา เหล่าเทวดาทั้งหมด แม้ท้าวสหัมบดีพรหม ต่างก็ตกใจกลัวหนี ไปกันหมดทั้งสิ้น สิ่งที่น่าสงสัยคือ หากมารที่มานั้นเป็นเพียงแค่ วสวัตดีมาร ทำไม ท้าวสหัมบดีพรหม ต้องหนีด้วย เพราะพรหมอยู่ในรูปภพ ซึ่งสูงกว่า กามาวจรภพที่ วสวัตดีมาร อยู่ด้วยซ้ำ แสดงว่า มารตัวจริง ที่มานั้น ไม่ใช่ มาร ที่เป็น เทวบุตรมารธรรมดาๆ อย่างแน่นอน

นอกจากนั้น พระไตรปิฏก ยังมีกล่าวถึง "มารโลก" หลายครั้ง ซึ่ง แสดงว่า โลกของมาร ต้องอยู่ที่ไหนซักแห่ง ที่ไม่ใช่ ภพ ๓ นิพพาน โลกันต์ ตามที่เรารู้ๆกัน สิ่งเหล่านี้ถามใครไม่มีใครตอบได้ชัดเจน แต่ข้อสงสัยเหล่านี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ผู้ซึ่งมีญาณแก่กล้า ได้ให้คำอธิบายถึง "พญามาร" ไว้ดังนี้

"ชีวิตเราล่วงตามวันคืนเดือนปีตามไปด้วย ชีวิตที่เป็นอยู่ ๑๐๐ ปี พอหมดไปเสีย วันหนึ่ง ก็ขาด ๑๐๐ ปี ไปวันหนึ่งแล้ว ลดคืนหนึ่ง ผ่านร้อยปีไปคืนหนึ่งแล้ว หมดเสียวันกับคืนหนึ่งแล้ว ขาดร้อยปีไปวันกับคืนหนึ่งแล้ว อย่างนี้เรื่อยไป เมื่อวันคืนเดือนปีล่วงไปเท่าไร ชีวิตหมดไปเท่านั้น

เมื่อรู้จักอันนี้แล้ว เดินรุดหน้าไปข้างเดียว เกิดมาแล้วไม่มีถอยหลังเลย จะยั้งอยู่ไม่ได้ อนุวินาทีก็ไม่ได้ รอสักประเดี๋ยวเถอะน่ายังห่วงลูกรักอยู่ไม่ได้ รอประเดี๋ยวเถอะน่ายังห่วงพระห่วงเณรนัก ไม่ได้ รอไม่ได้ทั้งนั้นแหละไม่ว่าใคร นี่เพิ่งรู้ชัดว่าวันคืนเดือนปีล่วงไปล่วงไป ไม่ใช่ล่วงไปแค่วันเดือนปีเปล่า ชีวิตจิตใจล่วงไปด้วย ความเป็นอยู่ล่วงไปด้วย ล่วงไปอย่างวอดวายเช่นนี้

สภาพความเป็นเองปรุงแต่งหรือว่าใครปรุงแต่งอยู่ที่ไหนเรื่องนี้ หมดประเทศ หมดทั้งชมพูทวีปหมดทั้งแสนโกฎิจักวาล หมดทั้งอนันตจักวาล ตลอดนิพพาน-ภพสาม-โลกันต์ มากน้อยเท่าใดนั้นไม่รู้กันทั้งนั้นว่าเป็นเพราะเหตุอะไร? แต่วัดปากน้ำมีคนรู้ขึ้นแล้ว เป็นดังนี้เพราะอะไร?

ที่ตั้งวัยแก่ยับเยินไปเช่นนี้ เป็นเองหรือใครทำอยู่ที่ไหน ? รู้ที่เดียวว่าใครอยู่ที่ไหน? รู้ว่าไม่ใช่ใคร จับตัวได้คือ พญามาร นั่นเอง เป็นคนทำให้แก่-ให้เจ็บ-ให้ตาย เกิดแก่เจ็บตายอย่างยับเยิน เกิดก็อย่างยับเยินเดือดร้อน พ่อไม่ตาย บางทีแม่ตาย บางทีลูกก็ตาย แม่ก็ตาย พ่อก็ยังตายตามอีก โดดน้ำตายเสียอกเสียใจ นี่ พญามาร ทั้งนั้น สำหรับประหัตประหารฝ่าย พระ ถ้าว่ามนุษยผู้ใดเป็นฝ่ายพระละก็ มารข่มเหงอย่างนี้แหละ ไม่ขาดสาย ไม่เช่นนั้นก็ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง บางทีก็หมั่นใส้นักทำเก่งกาจอวดดิบอวดดี ให้ฆ่ากันตายเสีย ให้กินกันตายเสีย ให้โดดน้ำตายเสีย ให้ผูกคอตายเสีย นี่ใครทำ? พญามาร ทั้งนั้นไม่ใช่ใคร ไม่มีใครรู้ แสนโกฎิจักวาล อนันตจักวาล นิพพานถอดกายมีเท่าไร ไม่มีใครรู้ ไม่รู้เรื่องทีเดียว ในเรื่องนี้ว่า พญามาร เขาคอยบีบคั้นอยู่ ให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้เกิดก็เกิด อย่างยับเยิน หน้าบิดหน้าเบี้ยว เดือดร้อนด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่ตายคางก็เหลืองเทียว ไม่ตายก็เกือบตายนี่ พญามาร เขาทำ ตามปรกติแล้วไม่เป็นดังนี้ เกิดก็อย่างไม่ได้เดือดร้อนนัก จะคลอดบุตรก็เหมือนถ่ายอุจจาระ เหมือนถ่ายปัสสาวะ ไม่เดือดร้อนเหมือนกับคลอดลูกออกเต้าธรรมดานี้ จะคลอดบุตรก็เหมือนถ่ายอุจจาระ เหมือนถ่ายปัสสาวะที่เดียว ไม่เดือดร้อนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ที่เดือดร้อนยับเยิน เช่นนี้ เพราะพญามารเขาส่งฤทธิ์-ส่งเดช-ส่งอำนาจ-ส่งวิชชาศักดิ์สิทธิมาบังคับบัญชา บังคับให้เป็นไป

เมื่อเป็นดังนี้ ที่ท่านวางบาลีว่า ให้เราท่านทั้งหลายพินิจพิจารณาว่าภูเขาทั้งหลายล้วนแล้วด้วยศิลาตัน ไม่มีน้ำเหลวเปลวปล่อง คำว่าไพบูลย์นั้นตันสนิท ไม่มีน้ำเหลวเปลวปล่องเป็นเนื้อหินทั้งแท่ง ทึบทีเดียว ไม่มีโพรงมีถ้ำในสถานที่ใดๆ กลิ้งมาทั้ง ๔ ทิศจดกัน โตเท่าไหร่ก็กลิ้งเข้ามา บดเข้าไป กลิ้งเข้ามาจากศูนย์กลาง คิดดูซี ภูเขาขนาดนั้นสูงจดฟ้า ภูเขานั่นไม่ใช่เล็กน้อย กลิ้งเรื่อยเข้ามาแล้วใครเล่าจะเหลือ ที่ถูกเข้าแล้วใครจะเหลือ ไม่มีใครเหลือแต่คนเดียว มดปลวกไม่เหลือทั้งนั้น เลือดไรเหาเล็นไม่เหลือทั้งนั้น ต้นไม้ต้นหญ้าไม่เหลือ วอดวายหมดที่เดียว ถึงภูเขาเล็กๆน้อยๆไม่พอ หนักไม่พอจมหายหมดราบลงไปหมดที่เดียว มันสูงถึงจดฟ้าเช่นนั้น กลิ้งเข้าโดยรอบทิศทั้ง ๔ แล้วมาติดอยู่ตรงกลาง เล็กเข้ามาติดอยู่ตรงกลางก็ไม่เหลือเลยหายหมด เมื่อกลิ้งเข้ามาก็จะกลิ้งออกไปอีกนั่นแหละ แกไม่หยุดสักทีหนึ่งนี่ กลิ้งออกไปอีก กลิ้งออกไปอีก ก็อีกนั่นแหละถูกใครๆก็ราบไป ไม่เหลือเลยสักคนเดียว นี่แหละเหมือนความแก่ความตาย เกิดมามีเว้นความแก่สักคนเดียวไหม? ไม่มีเลยเว้นตายสักคนเดียวไหม? ไม่มีเลย เกิดมาแล้วก็แก่ตาย เกิดมาแล้วก็แก่ตายอย่างนี้

ความแก่ความตายคราวนี้ใครจะไปรู้รบ ด้วยเวทมนต์คาถาใดๆ เวทมนต์คาถาใดๆ ไม่อาจสามารถจะสู้รบกับความแก่ความตายนั้นได้ หรือจะสู้รบด้วยทรัพย์ มีทรัพย์จะเอาทรัพย์ไปไถ่ถอนตัว แก้ความแก่ความตายเรื่องความแก่ความตายไม่มีทางสู้ ไม่มีทางแก้ทีเดียวจะแก้อย่างไรก็แก้ไม่ได้

แต่ว่ามีแก้อยู่ที่วัดปากน้ำ วิชชาธรรมกายไปเห็นวิชชาเหล่านี้หมด ไปเห็นความแก่ ความตาย เวลานี้เขาว่าสมภาร (พระเดชพระคุณหลวงพ่อสด จันทสโร) วัดปากน้ำกำลังสู้กับความแก่ความตาย สู้จริงๆผู้เทศน์นี่แหละ ๒๒ ปี ๘ เดือน ๙ วัน วันนี้แล้ว วินาทีนี้ไม่ได้หยุด เพียรสู้กับความแก่ความตายไม่ได้ถอยกันเลย พระยามัชจุราชมีเท่าไรจับกันหมด จับกันหมดตรึงกันหมด ลงโทษกันหมดที่เดียว มีเท่าไรไม่ให้ทำลายพระ ไม่ให้ข่มเหงพระกันได้ ให้เลิกข่มเหง ให้เลิกทำลายพระกันเสียให้ได้ จะแก้ความแก่ ความเจ็บ ความตายใหม่ ไม่ให้มีแก่ ไม่ให้มีเจ็บ ไม่ให้มีตาย เมื่อเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ให้เป็นมนุษย์เด็กๆ ก็อย่างหนึ่งรู้กันได้ชัด ๆ เด็กๆ ก็รู้ ไม่สวยไม่งามนักพอสมควร ถ้ายิ่งแก่หนักเข้าก็ยิ่งสวยหนักเข้า ยิ่งแก่หนักเข้าก็ยิ่งสวยงามหนักเข้า แล้วก็โตหนักเข้าด้วย ผิดกัน โตหนักเข้าๆ สวยงามหนักเข้า โตหนักเข้าสวยงามหนักเข้าไม่มีใครลงกัน มีแต่ไขขึ้นกันไป ไม่มีถอยกลับกัน พอครบบารมีของตนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่ต้องไปทรมานให้เหนื่อยยากลำบากแต่อย่างหนึ่งอย่างใด อยู่ในบ้านช่องตามชอบใจ พอครบกำหนดเข้าก็เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ทีเดียว เป็นพระพุทธเจ้าอรหันต์ เวลาไปนิพพานไม่ต้องถอดสักกายหนึ่ง กายมนุษย์-กายละเอียด กายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด กายธรรมโสดา-กายธรรมโสดาละเอียด กายธรรมสกทาคา-กายธรรมสกทาคาละเอียด กายธรรมอนาคา-กายธรรมอนาคาละเอียด กายธรรมอรหันต์-กายธรรมอรหันต์ละเอียด ไม่มีถอดกันเลย เป็นทั้งดุ้นทั้งก้อน ไปนิพพาน หมดทั้งดุ้นทั้งก้อนเลยทีเดียว นี้ที่สมภารวัดปากน้ำรบกับพระยามัชจุราช รบความแก่ความตายรบเท่านี้ แก้ให้เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้สมภารวัดปากน้ำไม่แรมราตรีที่อื่นละ ยอมตายไม่ถอยกันเลย

เมื่อการสู้รบเช่นนี้ ใครเคยได้ยินได้ฟังบ้าง? ไม่มีเลย หมดทั้งชมพูทวีป แสนโกฎิจักวาล อนันตจักวาล นิพพานถอดกายที่ไหนๆ ไม่มีเลย แล้วไม่มีใครรู้จักเสียด้วยซ้ำ นี่มารู้จักขึ้นแล้วที่วัดปากน้ำ ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา อยู่วัดปากน้ำก็จริง แต่ไม่รู้ว่าสมภารวัดปากน้ำทำอะไร นี่อัศจรรย์นัก อยู่กันตั้งหลาย ๑๐ ปี อยู่วัดปากน้ำทำวิชชานี้ ๒๒ ปี ๘ เดือน ๙ วัน วันนี้ไม่มีใครรู้ว่าทำอะไร รู้แต่นิดๆ หน่อย รู้จริงจังลงไปไม่มี มีผู้ที่ทำวิชชาด้วยกัน รู้จริงเห็นจริงกันลงไปทีเดียว ทำอยู่ทุกๆๆวัน นั่นละก็เห็นจริงทำจริง นี่เป็นวิชชาลึกอย่างนี้ ถ้ารู้สึกเช่นนี้ละก็จงอุตสาห์ ว่าตั้งแต่นี้ไปเราจะช่วยเหลือแก้ไข ด้วยประการใดประการหนึ่ง ท่านรบศึกสำคัญอย่างนี้ ถ้าได้ชัยชนะละก็ เราชนะด้วย ถึงเราไม่ได้ทำเลยเราก็ชนะด้วย ถ้าได้สำเร็จเราก็สำเร็จด้วย เราต้องสนับสนุนทางใดทางหนึ่ง ให้สมควรทีเดียว พวกที่เป็นแล้วตั้งใจแน่วแน่ ว่าตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่ถอยหละ เกิดมาเราพบวิชชานี้ เราจะต้องสู้ อย่างอื่นสู้ไม่ได้ทั้งนั้น เราจะหันสู้วิชชานี้สุดฤทธิ์สุดเดช เอาให้ถึง หมดเจ็บ หมดแก่ หมดตาย ของพญามารให้ได้ ให้ พญามาร แพ้ ให้ได้ พญามาร แพ้ เด็ดขาดเมื่อเวลาไร เวลานั้นหมดทุกข์ในโลกเท่าปลายผมปลายขนก็ไม่มี หมดแก่ หมดเจ็บ หมดตายในโลกเท่าปลายขนปลายผมก็ไม่มี มีความสุขยังกับท้าวสวรรค์ หรือเหมือนกับท้าวพรหม หรือเหมือนกับพระนิพพาน สุขขนาดนั้น เป็นสุขสำราญขนาดนั้น

นี่แหละที่แสวงหาความสุขกันในโลก ในเวลานี้ทุกชาติ ทุกภาษา หาความสุขใส่ชาติ ใส่ภาษาของตัวทั้งนั้น อิจฉาริษยากัน เบ่งกันเต็มฤทธิ์เต็มเดช ประหัตประหารซึ่งกันและกัน ใครมีกำลังมากก็กดขี่คนมีกำลังน้อยลงไป บังคับกำลังน้อยให้อยู่ใต้อำนาจเสีย ที่ทำกันอยู่ทั้งวันทั้งคืน ทั้งชมพูทวีป แสนโกฎิจักวาล อนันตจักวาลทำกันอยู่อย่างนี้ แม้จะเป็นมนุษย์ก็ต้องทำอย่างนี้ แม้จะไปเป็นเทวดาก็ไปเป็นอย่างนี้ จะไปเป็นพรหมก็ทำอย่างนี้ จะไปเป็นอรูปหรหมก็เป็นอย่างนี้ จะไปเป็นนิพพานแล้วก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าในนิพพานไม่ได้หยุดเลย ทำอยู่อย่างนี้ กำลังผจญกับพญามารไม่ได้หยุดเลย ทำอยู่อย่างนี้ กำลังผจญกับ พญามาร ไม่ได้หยุดเลย วินาทีอนุวินาทีก็ไม่ได้หยุด ต้องทำนิโรธ ดำเนินนิโรธเสมอ ให้ละเอียดอ่อนไว้ ถ้าว่าละเอียดไม่ทัน เขาก็บังคับเสีย หยาบกว่าเป็นถูกบังคับ ถูกความแก่บังคับบังคับไม่ให้รู้ด้วย บังคับในไส้ ไส้ธาตุไส้ธรรม เห็นจำคิดรู้ ต้องใช้ญาณบังคับหมด

เมื่อปรากฏตัวว่าเป็นทาส พญามาร อยูเช่นนี้ ก็ต้องช่วยรีบเปลื้องตัว ต้องรีบพยายามแก้ตัวถ้ารีบพยายามแก้ตัวให้พ้นไปเสียได้ ก็จะไม่ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เอาความชนะเสียให้ได้

พญามาร ไม่ได้เว้นผู้หนึ่งผู้ใดให้เหลือ เพราะเหตุนั้นผู้มีปัญญา เป็นคนฉลาดจะทำอย่างไรในเวลานี้ เมื่อทราบชัดประโยชน์ของตนแล้ว ผู้ทรงปัญญาควรตั้ง ความเชื่อในพระพุทธเจ้าควรตั้งความเชื่อลงในพระธรรมนั้น ตั้งลงไปตรงไหน? ผู้ที่ไม่เป็นธรรมกายก็ตามกันหมด ไม่รู้จะตั้งตรงไหน? ตั้งไม่ถูกแล้ว เราจะตั้ง ความเชื่อในพระพุทธเจ้า ควรตั้งความเชื่อลงในพระธรรมนั้นตั้งลงไปตรงไหน? ผู้ที่ไม่เป็นธรรมกายก็ตามกันหมด ไม่รู้จะตั้งตรงไหน? ตั้งไม่ถูกแล้วเราจะตั้งให้ถูกมันก็ไม่ถูก หลบไปหลบมาอยู่นั่นแหละ แล้วทำไงอยู่ละคราวนี้ นับถือพระพุทธศาสนาภิกษุก็ดี สามเณรก็ดี อุบาสิกาก็ดี ว่าตั้งใจลงไปในพระพุทธเจ้าแล้วจะเอาใจไปจดตรงไหนละ? ถึงจะถูกพระพุทธเจ้า? เอาใจไปจดตรงไหนถึงจะถูกพระธรรม? เอาใจไปจดตรงไหนถึงจะถูกพระสงฆ์?"

จากพระธรรมเทศนาพระมงคลเทพมุนี เรื่อง "ปัพพโตปมคาถา" วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๔๙๗

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘