บทที่ 6.9 : ข้อปฏิบัติเบื้องต้นของพระภิกษุ: ๕. ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ

๕. ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ

เมื่อตรัสอธิบายเรื่องคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายจบลงแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงสติ

สัมปชัญญะแก่พระเจ้าอชาตศัตรูว่า มหาบพิตร อย่างไรภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ

ตรัสดังนี้แล้ว จึงได้ทรงวิสัชนาด้วยพระองค์เองว่า

มหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแลในการเหลียว

ในการคู้เข้า ในการเหยียดออกในการทรงสังฆาฏิ บุตรและจีวร ในการฉันในการดื่ม ในการเคี้ยว ในการลิ้ม

ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดินการยืน การนั่ง การนอน การตื่น การพูด การนิ่ง

มหาบพิตร ภิกษุ ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล

ตามรูปศัพท์ คำว่า สติหมายถึง ความระลึกได้ นึกได้อาการที่จิตฉุกคิดขึ้นได้ เช่นฉุกคิดขึ้นได้ว่า ถึงเวลา

สวดมนต์แล้วเป็นต้น ดังนั้น สติจึงเป็นอาการจิตนึกขึ้นได้ ซึ่งตรงข้ามกับอาการเรียกว่า เผลอหรือลืม

ในพระพุทธศาสนา ถือว่า สติเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก กล่าวคือ สติช่วยไม่ให้งานการเสียหาย

เพราะลืมทั้งนี้เพราะการงานบางอย่าง ถ้าลืมเสียย่อมจะเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ เช่น หมอลืมให้ยาคนไข้

คนไข้ก็อาจเสียชีวิตพระลืมลงสวดปาฏิโมกข์ก็ต้องอาบัติ เป็นต้น ดังนั้นสติจึงเป็นธรรมมีอุปการะมาก เพราะ

ช่วยไม่ให้เราเผลอ ไม่ให้หลงลืมในสิ่งที่ควรทำหรือต้องทำ ยิ่งกว่านั้นสติยังเป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งในการเจริญ

ภาวนาเพื่อมรรคผลนิพพานต่อไปอีกด้วย

คำว่า สัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้สึกตัว หรืออาการรู้ตัวในขณะทำอยู่ เช่น รู้ว่าเรากำลังพูดอะไร

กำลังคิดอะไรหรือ กำลังทำอะไร

พระพุทธศาสนาถึงว่า สัมปชัญญะเป็นธรรมที่มีอุปการะมากอีกข้อหนึ่ง โดยทั่วไปจะใช้คู่กับ สติ

เรียกว่าสติสัมปชัญญะโดยถือว่า สติเกิดก่อนทำ พูด และคิด ส่วนสัมปชัญญะเกิดในขณะ

กำลังทำ พูด และ คิด แต่ธรรมทั้งสองนี้จะเกิดควบคู่กันเสมอ

ใน คัมภีร์อรรถกถา ปาฏิกวรรค ได้แบ่งสัมปชัญญะออกเป็น ๔ ประการ คือ

๑. สาตถกสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตนกำลังทำนั้นมีประโยชน์หรือไม่

๒. สัปปายสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตนกำลังทำนั้นเป็นที่สบายหรือเหมาะสมกับตนหรือไม่

๓. โคจรสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตนกำลังทำนั้นเป็นกิจที่ควรทำหรือไม่

๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตนกำลังทำนั้นเป็นความหลงเข้าใจผิด หรืองมงายหรือไม่

การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ

ย่อมหมายความว่า ทุกอิริยาบถที่พระภิกษุกระทำอยู่ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง การยืน

การเดิน การนอนการพูด การนิ่งไม่พูด หรือการกระทำใด ๆ นอกเหนือจากที่

กล่าวนี้ พระภิกษุ จะกระทำด้วยความรู้สึกตัวเสมอ ไม่มีการลืมหรือ เผลอสติ

สติสัมปชัญญะนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับทุก ๆ คน ผู้ที่ย่อหย่อนในธรรม ๒ ประการนี้ นอกจากตนเองจะ

ประสบความล้มเหลว ขาดความยกย่องนับถือจากผู้อื่นแล้ว ยังทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของสังคมส่วนรวม

ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพระภิกษุด้วยแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสถาบันศาสนา

ทีเดียว ทั้งนี้เพราะพระภิกษุเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของฆราวาสโดยทั่วไป

พระภิกษุย่อหย่อนในธรรมทั้ง ๒ ประการ คือ สติและสัมปชัญญะย่อมไม่สามารถสำรวมอินทรีย์ได้ ไม่สามารถ

มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีลได้ หรือไม่สามารถสำรวมระวังในเรื่องโคจรและอโคจรได้ ซึ่งนอกจากเป็นทาง

ก่อให้เกิดอภิชฌาและโทมนัสแก่ตัวพระภิกษุเองโดยตรงแล้ว พฤติกรรมของพระภิกษุที่ปรากฏต่อสาธารณชน

ย่อมทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาอีกด้วย

ภัยอันเกิดจากการเผลอสตินั้น อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งต่อชีวิต ต่อทรัพย์สิน ทั้งต่อตัวเอง และต่อบุคคล

อื่นด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสยืนยันว่า ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระองค์จำเป็นต้องประกอบด้วย

สติสัมปชัญญะ

-----------------------------------------

สามัญญผลสูตร ที. สี ๙/๑๒๓/๙๔

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘