มงคลที่ ๗ เป็นพหูสูต - ปัญญาพาพ้นภัย (๑)

มงคลที่ ๗

เป็นพหูสูต - ปัญญาพาพ้นภัย (๑)

แท้จริงสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญปัญญาอย่างเดียว
ความรู้ของท่านผู้รู้ทั้งหลาย ชั่งไม่ได้

ภารกิจสำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติ คือ การสร้างบารมี เพื่อมุ่งไปสู่อายตนนิพพานซึ่งเป็นเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต ภารกิจนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ เพราะถ้าไม่ทำจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานอีกยาวนาน เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ ไม่เกินร้อยปี ต่างต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย การเดินทางไปสู่ปรโลกโดยปราศจากเสบียง คือ บุญ เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว เหตุนี้ บัณฑิตนักปราชญ์จึงสั่งสมบุญบารมี โดยไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น ท่านเหล่านั้นจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่มรณภัยจะมาถึง เตรียมพร้อมเสมอสำหรับการเดินทางไปสู่สัมปรายภพ ฉะนั้นผู้มีปัญญาจึงควรหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ชีวิตย่อมจะปลอดภัยทั้งในโลกนี้และโลกหน้า จนกว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมาย คือ อายตนนิพพาน
มีวาระพระบาลีใน ขุททกนิกาย ชาดก ว่า

"อทฺธา หิ ปญฺญา ว สตํ ปสตฺถา ญาณญฺจ พุทฺธานมตุลฺยรูปํ
แท้จริงสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญปัญญาอย่างเดียว
ความรู้ของท่านผู้รู้ทั้งหลาย ชั่งไม่ได้"

โบราณได้กล่าวไว้ว่า มีปัญญาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน เพราะปัญญาเป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐที่เป็นของจำเพาะบุคคล ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จะถูกขจัดด้วยปัญญา ทุกภพทุกชาติที่เราเกิดมา จำเป็นต้องแสวงหาปัญญาใส่ตัว ไม่ว่าจะเป็นสุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง การศึกษาความรู้จากครูบาอาจารย์ จินตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการขบคิด พิจารณาหาเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่รู้แจ้ง ต้องภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากใจที่ใสบริสุทธิ์ เป็นความรู้แจ้งที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย ปัญญาบริสุทธิ์เป็นรัตนะของนรชนทั้งหลาย ผู้รู้ทั้งหลายต่างแสวงหาปัญญาใส่ตัวทุกภพทุกชาติ เมื่อถึงคราวคับขัน ก็ได้อาศัยปัญญานั้นช่วยเหลือตนเอง ให้ปลอดภัยและมีชัยชนะตลอดไป

สมัยหนึ่ง ภิกษุสงฆ์พากันกล่าวสรรเสริญพุทธคุณ ในธรรมสภาด้วยความเคารพเลื่อมใสว่า "พระเทวทัตพยายามจะปลงพระชนม์พระตถาคตตลอดเวลา ด้วยพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ พระเทวทัตไม่เคยกระทำการได้สำเร็จ แม้สักครั้งเดียว"
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาถึง ได้ตรัสถามว่า กำลังนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลถึงเรื่องที่สนทนากัน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตไม่ใช่ตะเกียกตะกาย เพื่อจะฆ่าเราตถาคตแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็พยายามเพื่อจะฆ่าเราเหมือนกัน แต่ไม่อาจทำแม้เพียงความสะดุ้งให้เกิดขึ้นกับเราได้ จึงต้องเสวยทุกข์อันเกิดจากการกระทำของตนเอง" จากนั้นทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟังว่า

*ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในพระอุทรของพระอัครมเหสีของพระราชา ครั้นเจริญวัย ทรงศึกษาศิลปวิทยาทุกอย่างที่นครตักสิลา เป็นผู้มีปัญญามาก ทรงเรียนมนต์รู้สรรพเสียงของสรรพสัตว์ เมื่อเรียนจบได้อำลาอาจารย์ เพื่อเสด็จกลับนครพาราณสี พระบิดาทรงตั้งพระองค์ไว้ในตำแหน่งมหาอุปราช ถึงแม้จะทรงตั้งไว้ในตำแหน่งนั้น พระบิดาก็ไม่ทรงปรารถนาที่จะให้พระโพธิสัตว์ได้สืบทอดราชสมบัติ กลับประสงค์ปลงพระชนม์พระโพธิสัตว์ตลอดเวลา

วันหนึ่ง แม่สุนัขจิ้งจอกพาลูกน้อย ๒ ตัว เข้าไปในเมือง โดยแอบเข้าไปทางช่องระบายน้ำในยามค่ำคืน แม่สุนัขได้พาลูกไปแอบอยู่ที่ศาลาหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ข้างห้องบรรทมบนปราสาทของพระโพธิสัตว์ บนศาลาหลังนั้นมีคนเข็ญใจคนหนึ่ง ถอดรองเท้าวางไว้ที่พื้นดิน นอนอยู่บนกระดานแผ่นเดียว แต่ยังไม่ถึงกับหลับสนิท ขณะนั้นลูกน้อย ๒ ตัวของแม่สุนัข ร้องขึ้นด้วยความหิว แม่ของมันได้บอกลูกทั้ง ๒ ตัว ตามภาษาของตนว่า " ลูกรัก เจ้าอย่าทำเสียงดัง มีคนถอดรองเท้าวางไว้ที่พื้นบนศาลาหลังนี้ แล้วนอนบนแผ่นกระดาน แต่ยังไม่หลับ ถ้าคนนั้นนอนหลับแล้ว แม่จะไปคาบรองเท้ามาให้พวกเจ้ากิน"

พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องของลูกสุนัข ตั้งใจเงี่ยโสตสดับว่า สุนัขคุยอะไรกัน พระองค์ทรงรู้ภาษาของสุนัข ด้วยอานุภาพของมนต์ จึงเสด็จออกจากห้องบรรทมไปเปิดพระแกล ตรัสบอกคนเข็ญใจที่นอนอยู่บนศาลาว่า "พี่ชาย รองเท้าของท่านที่ถอดไว้บนพื้นดินนั้นน่ะ ให้แขวนไว้บนต้นไม้เถิด สุนัขจะได้ไม่คาบไป" แม่สุนัขจิ้งจอกได้ยินเช่นนั้น ก็โกรธพระโพธิสัตว์ ที่มาขัดลาภที่จะได้กินรองเท้าหนัง วันรุ่งขึ้นมันก็แอบหลบเข้ามาในเมืองเช่นเคย

คืนนั้น มีชายคนหนึ่งตั้งใจว่าจะดื่มน้ำ จึงลงไปที่ท่าน้ำสระโบกขรณี แต่เกิดสะดุดตอไม้ตกลงไปในน้ำ ทำให้ชะตาขาดสำลักน้ำขาดใจตายอยู่ใต้บันไดท่าน้ำนั้นเอง โดยที่คนมาพักด้วยกันไม่รู้เลย ยกเว้นแม่สุนัขจิ้งจอก ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันได้บอกลูกของมันที่กำลังร้องด้วยความหิวว่า "ลูกเอ๋ย ตอนนี้มีคนตายอยู่ใต้บันได อีกสักพักเมื่อคนบนศาลานอนหลับหมดแล้ว แม่จะให้พวกเจ้ากินชายคนนี้ให้อิ่มอร่อยเต็มที่เลย"
พระโพธิสัตว์ทรงสดับคำนั้นจึงเปิดพระแกล พลางตะโกนบอกคนที่นอนอยู่ในศาลาว่า " ท่านจงไปเอาผ้าสาฎกเนื้อดีและแหวนที่สวมนิ้วของชายที่ตายอยู่ใต้บันไดท่าน้ำ เถิด แล้วถ่วงร่างของเขาให้จมอยู่ใต้น้ำสักคืนหนึ่งก่อน รุ่งเช้าค่อยเอาขึ้นมาทำฌาปนกิจ"
ชายคนนั้นได้ทำตามที่พระโพธิสัตว์แนะนำทุกอย่าง แม่สุนัขได้ยินเช่นนั้น ก็โกรธพระโพธิสัตว์มาก ถึงกับร้องขู่เป็นภาษาสุนัขว่า " วันก่อน ท่านขัดขวางไม่ให้ลูกข้ากินรองเท้า วันนี้ ก็ไม่ให้กินคนตายอีก อีก ๓ วัน จากวันนี้ พระเจ้าสมันตราช องค์หนึ่งจะกรีฑาทัพมาล้อมเมือง พระราชบิดาของท่านจะบังคับท่านให้ทำการรบ พระเจ้าสมันตราชจะตัดศีรษะของท่านให้ตายในสนามรบ แล้วเราจะดื่มเลือดในลำคอของท่านให้หายแค้น"
จากนั้นก็พาลูกน้อยผู้น่าสงสารออกจากเมืองไปด้วยความโกรธ โดยหารู้ไม่ว่าตนเองได้บอกข่าวดีแก่พระโพธิสัตว์ เพราะไม่เช่นนั้น พระโพธิสัตว์อาจไม่รอดชีวิตภายใน ๓ วัน อย่างแน่นอน

ครั้นครบ ๓ วัน พระเจ้าสมันตราชเสด็จกรีฑาทัพมาล้อมเมือง ตามที่สุนัขจิ้งจอกขู่ พระโพธิสัตว์เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อถูกพระราชาผู้เป็นพระบิดาบังคับให้ออกรบ ด้วยสติปัญญาในขณะนั้นท่านรู้ว่า ถ้าออกรบจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นพระราชโองการที่มิอาจขัดได้ ท่านจึงไม่ออกทางประตูที่พระเจ้าสมันตราชตั้งทัพรออยู่ แต่ทรงเปิดประตูด้านอื่น พา ทหารและบริวารมากมายเสด็จหลบหนีไปชั่วคราว

ฝ่ายพระราชารู้ว่า อุปราชหนีไปแล้ว ทางพระเจ้าสมันตราช ได้ล้อมเมืองตรึงอยู่ ดำริว่า "ถ้าอยู่ต่อไป คงรักษาชีวิตไว้ไม่รอด" จึงทรงพาพระเทวี ปุโรหิตและคนรับใช้คนหนึ่งชื่อ ปรันตปะ ปลอมพระองค์หนีเข้าป่าไป ฝ่ายพระโพธิสัตว์ผู้เรืองปัญญา และชำนาญในการศึกสงครามเป็นอย่างดีอยู่แล้ว รู้ถึงการเสด็จหนีของพระราชา จึงเสด็จกลับเข้าเมืองปลุกระดมทหาร และบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง ทรงทำการรบขับไล่พระเจ้าสมันตราชให้แตกพ่ายไป และทรงครองราชสมบัติ ส่วนพระบิดา จะระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่ใด ขอให้ติดตามตอนต่อไป

นี่เป็นตัวอย่างของการใช้ปัญญารักษาตัวรอด มีสติปัญญาสามารถนำพาตนให้รอดพ้นภัยพิบัติได้ ดังนั้นปัญญาจึงเป็นรัตนะของนรชนทั้งหลาย โดยเฉพาะปัญญาที่จะช่วยนำพาเรา ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในอบายภูมิ ให้ได้เวียนวนสร้างบารมีอยู่เฉพาะในสุคติภูมิอย่างเดียว และปัญญาอันยิ่ง ที่จะนำเราไปสู่วิมุตติหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเราทุกๆ คนที่ต้องแสวงหา และต้องทำให้เกิดขึ้นมาในตัวของเราให้ได้ เราจะได้สร้างบารมีอย่างผู้มีปัญญาบริสุทธิ์ ที่เกิดจากใจที่หยุดนิ่ง ได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน ฉะนั้น เราต้องปฏิบัติให้เข้าถึงกันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

*มก. ปรันตชาดก เล่ม ๕๙ หน้า ๔๔๐

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘