มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - ผลของการให้ด้วยความเคารพ


มงคลที่ ๑๕

บำเพ็ญทาน
ผลของการให้ด้วยความเคารพ


นรชนใดผู้ให้สิ่งที่เลิศ ให้สิ่งที่ดีและให้สิ่งที่ประเสริฐ
นรชนนั้นจะบังเกิด ณ ที่ใดๆ
ย่อมเป็นผู้มีอายุยืนยาว เป็นผู้มียศ

สิ่งที่เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และความสำเร็จในชีวิตของคนเรา คือ บุญกุศลที่เราทำไว้อย่างดีแล้ว ซึ่งจะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิต ในการเข้าถึงความเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี พระราชา พระเจ้าจักรพรรดิ เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ก็เพราะบุญ ฉะนั้นบุญจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลดลบันดาลให้เราได้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุด ของชีวิต

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ว่า

"อคฺคทายี วรทายี เสฏฺฐทายี จ โย นโร
ทีฆายุ ยสวา โหติ ยตฺถ ยตฺถูปปชฺชติ

นรชนใดผู้ให้สิ่งที่เลิศ ให้สิ่งที่ดีและให้สิ่งที่ประเสริฐ
นรชนนั้นจะบังเกิด ณ ที่ใดๆ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืนยาว เป็น ผู้มียศ"

ในการทำทาน แต่ละคนมักมีอัธยาศัยในการให้ทาน แตกต่างกันไป เช่น การให้ทานด้วยของไม่ดี แล้วเก็บซ่อนของที่ดีไว้ใช้เอง ทำอย่างนี้ท่านเรียกว่า ทาสทาน แต่ถ้าบริโภคใช้สอยของอย่างไร ก็แบ่งปันให้ทานของอย่างนั้น จัดเป็น สหายทาน ส่วนบางท่านฉลาดในการทำทาน ให้แต่สิ่งของที่ดีที่ประณีต ของที่ชอบใจและมีคุณค่ายิ่งกว่าที่ตนเองบริโภคใช้สอย อย่างนี้เรียกว่า สามีทาน การให้ทานประการสุดท้ายนี้จัดเป็นวิสัยของบัณฑิต

คนมีปัญญาให้ทานแบบสามีทาน คือ ให้ทานอันเลิศเสมอๆ มีจิตใจที่สูงส่งสามารถเอาชนะความตระหนี่หวงแหนที่มีอยู่ในใจได้ ท่านเรียกว่า เป็นทานบดี ซึ่ง แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ในการให้ทาน หมายความว่า จิตใจของผู้นั้นเป็นอิสระและมีความเป็นใหญ่ในตนเองไม่ตกอยู่ในอำนาจของความ ตระหนี่ การให้ทานที่สมบูรณ์ประณีตมากเท่าไร ย่อมจะได้รับผลของทานเป็น บุญใหญ่ทับทวีกลับมาสู่ผู้ให้มากเท่านั้น ทำให้มีความสมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว บุญก็ยังส่งผลให้ได้ไปเสวยสุขที่ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไป

ประการสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสขณะกำลังให้ทาน จะเป็นเครื่องจำแนกผลแห่งการให้ทาน แตกต่างกันไป เช่น เรื่องของพระเจ้าปายาสิและอุตตรมาณพ
*พระเจ้าปายาสิทรงเป็นกษัตริย์ครองเมืองเสตัพยนคร พระองค์ทรงมีอุปนิสัยชอบค้นคว้าทดลองคิดหาเหตุผลในสิ่งต่างๆ เมื่อพระองค์ทรงสดับคำสอนของสมณะ ชี พราหมณ์ทั้งหลาย ในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ทรงค้นคว้าทดลองด้วยวิธีการต่างๆ และสรุปเป็นความเห็นที่ผิดๆ ว่า ชาติหน้าไม่มี คือ ตายแล้วสูญ ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์เลย ทรงเห็นผิดคิดเพียงว่า บุญบาปไม่มี โลกนี้โลกหน้าไม่มี

เรื่องของบุญ บาป และการเวียนว่ายตายเกิดนี้ จะ รู้เห็นได้แจ่มแจ้งชัดเจนนั้น ต่อเมื่อใจหยุดนิ่งจนกระทั่งเข้าถึงธรรมกายภายใน ซึ่งจะเห็นแจ้งด้วยธรรมจักษุของธรรมกาย ที่แตกต่างจากการเห็นด้วยตามนุษย์ทั่วไป และจะรู้แจ้งได้ด้วยญาณทัสสนะของธรรมกาย ดังนั้นการทดลองด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ของพระเจ้าปายาสิ จึงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการพิสูจน์เรื่องของชาตินี้ชาติหน้า เหมือนคนต้องการน้ำแต่ไปบีบไปคั้นจากเม็ดทราย ถึงจะเพียรพยายามทำอย่างไร ก็เสียแรงเปล่า

พระเจ้าปายาสิทรงยึดถือความเห็นผิดๆ เช่น นี้มาโดยตลอด จนกระทั่งพระกุมารกัสสปะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่มีปฏิภาณเป็นเลิศ ท่านได้เดินทางมาสู่เมืองแห่งนี้ และได้เมตตาใช้ปัญญาอันลึกซึ้งแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าปายาสิ จนพระองค์ทรงละความเห็นผิด กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ คือผู้มีความเห็นที่ถูกต้อง ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกและขอถึงพระ-รัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดไป

นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าปายาสิได้ทรงเริ่มการให้ทานแก่ผู้คนทั้งหลาย โดยแต่งตั้งให้อุตตรมาณพเป็นเจ้าหน้าที่จัดการเรื่องการบริจาคทาน คนส่วนใหญ่ที่เข้ามารับบริจาคทานไปนั้น ล้วนแต่เป็นคนยากจนอนาถาทั้งสิ้น ซึ่งพระเจ้าปายาสิทรงให้ด้วยความสมเพชเวทนาเท่านั้น ไม่ได้ให้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ดังนั้นจึงทรงให้แต่สิ่งของที่ไม่ดี ไม่ประณีตแก่ผู้มารับบริจาคเหล่านั้น รวมถึงสมณะ ชี พราหมณ์ด้วย

ส่วนอุตตรมาณพผู้มีหน้าที่ในการจัดการให้ทานเหล่านั้น เป็นผู้ที่มีศรัทธาในการให้ด้วยสิ่งของที่ประณีต เมื่อได้รับคำสั่งให้ทำทานด้วยสิ่งของที่เศร้าหมอง ก็ต้องฝืนทำด้วยความอึดอัดใจ หลังจากที่เขาให้ทานแล้วทุกครั้ง มักจะเปล่งเสียงอธิษฐานดังๆ ว่า "ขอให้เราอย่าได้ทำบุญร่วมกับพระเจ้าปายาสิอีกเลย"

เมื่อคำอธิษฐานของอุตตรมาณพล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าปายาสิ พระองค์จึงตรัสเรียกอุตตรมาณพมา สอบถามว่า ทำไมจึงอธิษฐานเช่นนั้น อุตตรมาณพกราบทูลว่า
"เหตุที่ทำให้เปล่งวาจาอธิษฐานอย่างนั้น เป็นเพราะพระองค์พระราชทานแต่สิ่งของที่เศร้าหมอง มีเพียงปลายข้าวและ น้ำผักดองเท่านั้น แม้เมื่อทรงพระราชทานผ้า ก็เป็นผ้าเนื้อหยาบ ที่แม้แต่พระองค์เองยังไม่ทรงปรารถนาจะแตะต้องเลย ข้าพระองค์ไม่อยากให้พระองค์ทรงได้รับผลทานที่เศร้าหมอง ในภายภาคเบื้องหน้า จึงได้กล่าวอย่างนั้น"
เมื่อได้ทรงฟังอุตตรมาณพซึ่งเป็นกัลยาณมิตรแนะนำเช่นนั้น พระเจ้าปายาสิทรงได้คิด จึงมีรับสั่งให้อุตตรมาณพจัดเตรียมอาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ประณีต เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงใช้สอยเป็นทาน พระองค์ทรงให้ทานด้วยสิ่งของที่ประณีตนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ครั้นพระเจ้าปายาสิและอุตตรมาณพสิ้นอายุขัยลง พระเจ้าปายาสิผู้เป็นเจ้าของทาน ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ส่วนอุตตรมาณพผู้จัดการโรงทาน กลับได้ไปเกิดในที่สูงกว่าพระเจ้าปายาสิ คือ อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ในสมัยนั้นมีพระอรหันต์ ชื่อ พระควัมปติเถระ ท่านไปพักบำเพ็ญสมณธรรมที่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาอยู่เป็นประจำ คราวหนึ่ง เทพบุตรปายาสิได้เข้ามานมัสการพระเถระ แล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง พระเถระจึงถามว่า "ท่านเป็นใคร" ครั้นทราบว่าเป็นพระเจ้าปายาสิ จึงถามถึงอุตตรมาณพว่าไปบังเกิดอยู่ที่ไหน ปายาสิเทพบุตรได้กราบเรียนท่านว่า
" อุตตรมาณพ ผู้เป็นบ่าวของกระผม ทำทานด้วยความเคารพ ให้ด้วยมือของตนเอง ด้วยกิริยานอบน้อม เขาจึงมีวิมานสว่างไสวในดาวดึงส์ ส่วนกระผมเองผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ อุตส่าห์สละทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก แต่เหตุใดกลับมาบังเกิดเพียงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา อีกทั้งมีรัศมีและอานุภาพน้อยกว่าอุตตรมาณพอีกด้วย เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปที่เมืองมนุษย์แล้ว ขอได้โปรดบอกมหาชนทั้งหลายว่า ให้ทำทานด้วยความยินดี ด้วยความเคารพในการให้ทาน ด้วยกิริยาอาการอันนอบน้อมเถิด แล้วผลบุญอันบริสุทธิ์จะบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลายอย่างเต็มที่เต็มกำลัง"

เมื่อพระเถระกลับลงมาจากสวรรค์แล้ว ท่านได้นำเรื่องราวของพระเจ้าปายาสิมาถ่ายทอด เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการสร้างบารมีของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายสืบต่อกันมา จนถึงทุกวันนี้

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายต้องฉลาดในการให้ทาน บัณฑิตผู้มีปัญญาทั้งหลาย ทุกครั้งที่เขาจะให้ทานเขามักทำอย่างเต็มกำลัง ทำด้วยความเคารพนอบน้อม ทำทานเพื่อขจัดความโลภ ความตระหนี่หวงแหนให้หมดสิ้นไปจากใจ จึงได้รับผลแห่งบุญที่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ที่ละเอียดประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ แต่การให้อะไรที่จะประเสริฐเท่ากับการให้หนทางแห่งความสุขที่แท้จริงแก่มวล มนุษยชาตินั้น เป็นไม่มี เพราะถือว่าเป็นการให้ในสิ่งที่เลิศ อันจะทำให้บุคคลเหล่านั้นเข้าถึงความสุขในปัจจุบัน โดยการเข้าถึงพระรัตนตรัย จนกระทั่งถึงความสุขอันยิ่งใหญ่ในอายตนนิพพาน

ดังนั้น ให้ทุกท่านหมั่นทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรของโลก ด้วยการชักชวนคนมาทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ให้ ทำตนเป็นประดุจสะพานที่เชื่อมหนทางไปสู่สวรรค์นิพพานแก่ มวลมนุษยชาติกันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

*มก. ปายาสิราชัญญสูตร เล่ม ๑๔ หน้า ๓๖๙

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘