มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน - มหาทานบารมีแห่งยุค


มงคลที่ ๑๕

บำเพ็ญทาน
มหาทานบารมีแห่งยุค

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า มหาทานที่ข้าพระองค์บริจาคไทยธรรมเป็นอันมาก บำเพ็ญมาตลอดกาลนาน ไม่ได้มีผลมาก เพราะเว้นจากทักขิไณยบุคคล เหมือนพืชที่หว่านลงในนาที่ไม่ดี แต่การให้ภิกษาทัพพีหนึ่งของอินทกเทพบุตรมีผลมากยิ่งกว่า เพราะสมบูรณ์ด้วยทักขิไณยบุคคล เหมือนพืชที่หว่านลงในนาดี

ทางรอดของชีวิตในสังสารวัฏ คือ การเจริญสมาธิภาวนา เพื่อให้เข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกภายใน คือ พระธรรมกาย สิ่งนี้เป็นหน้าที่หลักและเป็นกรณียกิจที่สำคัญอย่างยิ่งในการเกิดมาเป็น มนุษย์ เราเกิดมาในภพชาติหนึ่งๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งแสวงหาความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร การดำเนินจิตเข้าสู่หนทางสายกลางภายในเท่านั้น ที่เป็นทางรอดทางเดียว เป็นหนทางที่ปลอดภัยจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ดังนั้นควรที่จะดำเนินจิตของเราให้ เข้าสู่เส้นทางสายกลางของพระอริยเจ้าทั้งหลาย การที่จะดำเนินจิตเข้าสู่ภายในได้นั้น เราต้องหมั่นเจริญสมาธิภาวนา ทำใจหยุดใจนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ตลอดเวลาในทุกอิริยาบถ

มีถ้อยคำของเทพบุตรท่านหนึ่งที่กล่าวไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า มหาทานที่ข้าพระองค์บริจาคไทยธรรมเป็นอันมาก บำเพ็ญมาตลอดกาลนาน ไม่ได้มีผลมาก เพราะเว้นจากทักขิไณยบุคคล เหมือนพืชที่หว่านลงในนาที่ไม่ดี แต่การให้ภิกษาทัพพีหนึ่งของอินทกเทพบุตรมีผลมากยิ่งกว่า เพราะสมบูรณ์ด้วยทักขิไณยบุคคล เหมือนพืชที่หว่านลงในนาดี"

นี่เป็นถ้อยคำของอังกุรเทพบุตร ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยทุ่มเทอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อสร้างมหาทานตลอด ๒๐,๐๐๐ ปี แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเนื้อนาบุญ คือ พระสงฆ์ ซึ่งเป็นบุญเขตอันเยี่ยม ไม่มีทักขิไณยบุคคลแม้เพียงผู้เดียว ทำให้ทานของท่านเหมือนกับการหว่านข้าวกล้าลงในนาที่ไม่ดี แม้ทานนั้นจะส่งผลให้ไปบังเกิดในสุคติสวรรค์ แต่เทียบไม่ได้กับบุญบารมีซึ่งวัดจากความสว่างแห่งรัศมีของอินทกเทพบุตร ผู้ตักบาตรเพียงทัพพีเดียว กับพระอริยสงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลด้วยซ้ำ

การสร้างทานบารมีเป็นเสบียงที่สำคัญในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ หากเราให้ทานไว้มาก เมื่อบังเกิดในภพชาติต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ในเพศภาวะไหนก็ตาม จะไม่ลำบากไม่อัตคัดขัดสน จะสมบูรณ์พร้อมในสมบัติทุกอย่าง เพราะหากขาดแคลนปัจจัยสี่ วันเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดในช่วงชีวิตหนึ่ง ย่อมจะหมดไปกับการทำมาหากินแสวงหาปัจจัยสี่เพื่อมาหล่อเลี้ยงชีวิตให้ ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้ จึงทำให้สูญเสียโอกาสในการสร้างบารมี

การทำทานแต่ละครั้ง หากมีโอกาสให้เลือกว่า ทำบุญกับใครและต้องทำอย่างไรจึงจะได้บุญมาก ต้องฉลาดในการเลือก เช่นเดียวกับการลงทุนที่ได้กำไรมากก็ต้องทำให้ถูกจุด มีเรื่องเล่าว่า
*ในสมัยอดีตมีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อ อังกุระ เดิมเคยเป็นพระโอรสองค์สุดท้องในทวารกนคร แต่เนื่องจากไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติ จึงเดินทางไปต่างแดนเพื่อค้าขายและท่องเที่ยว ไปในโลกกว้าง ในระหว่างเดินทางข้ามทะเลทราย เขาเกิดพลัดหลงทางเป็นเวลาหลายวัน อาศัยรุกขเทวาตนหนึ่งซึ่งมีนิ้วมือสำเร็จด้วยฤทธิ์ เมื่อพ่อค้าปรารถนาอะไร สิ่งนั้นก็ไหลออกมาจากนิ้วมือของรุกขเทวาตนนั้น พ่อค้าจึงถามรุกขเทวดาว่า ทำบุญอะไรไว้ ถึงมีอานุภาพมากเพียงนี้

เมื่อรู้ว่า เทวดาท่านนี้ได้ทำบุญเพียงแค่ชี้นิ้วบอกทางไปบ้านของเศรษฐีผู้ใจบุญให้กับคน เดินทาง และพวกยาจกวณิพกพเนจรเท่านั้น นี่ถ้าท่านให้ทานด้วยตนเองบ้าง ผลบุญคงบังเกิดขึ้นมากกว่านี้ เมื่อได้รับแรงบันดาลใจเช่นนั้น อังกุระรีบเดินทางกลับบ้าน โดยเริ่มขนทรัพย์มรดกที่มีอยู่ทั้งหมดออกให้ทาน และให้ป่าวร้องว่า "ใครหิวก็เชิญมากินตามชอบใจ ใครกระหายก็จงมาดื่มตามชอบใจ" เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า ทรัพย์สมบัติที่บริจาคไปนั้นให้เท่าไรก็ไม่หมด จนผู้ที่มาขอต้องเอ่ยปากว่า พอแล้วๆ

คนสนิทได้ถามท่านเศรษฐีว่า "ถ้าท้าวสักกะจอมเทพ ลงจากเทวโลกมาให้พรท่าน ท่านจะขอพรท้าวสักกะว่าอย่างไร"
อังกุระตอบโดยไม่ลังเลว่า "ถ้าท้าวสักกะจะให้พรแก่เรา เราจะขอพรว่า เมื่อเราลุกขึ้นแต่เช้า ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ขอ ภักษาหารอันเป็นทิพย์และผู้มีศีลพึงปรากฏ เมื่อเราให้ทานอยู่ ไทยธรรมอย่าพึงหมดสิ้นไป ครั้นเราให้ทานแล้ว ก็ไม่พึงเดือดร้อน ในภายหลัง เมื่อกำลังให้ พึงยังจิตให้เลื่อมใส"

แม้หมู่ญาติของท่านจะรักในการให้ทาน แต่ใจไม่กว้างใหญ่ เหมือนอังกุระ จึงได้กล่าวเตือนว่า "ท่านไม่ควรให้ทรัพย์ทั้งหมดแก่คนอื่น ควรรักษาทรัพย์ไว้บ้าง เพราะทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่าทาน ให้ทานมากเกินประมาณจะทำให้สกุลดำรงอยู่ไม่ได้ บัณฑิตย่อมไม่สรรเสริญการไม่ให้ทาน และการให้เกินควร ทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่าทาน บุคคลผู้เป็นปราชญ์ควรประพฤติโดยพอเหมาะ"
อังกุระก็ไม่ยอมคล้อยตาม เพราะอยากสั่งสมบุญไว้มากๆ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ท่านเกิดในยุคสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ไม่มีเนื้อนาบุญแม้เพียงท่านเดียว ทานที่ทำไปจึงเหมือนหว่านพืชลงในดินที่ไม่ดี แต่ท่านก็อุทิศตนให้กับการทำทานอย่างเต็มกำลัง

ทุกๆ วัน อังกุระได้ให้อาหารแก่ชาวเมืองวันละ ๖๐,๐๐๐ เล่มเกวียนเป็นประจำ มีพ่อครัว ๓,๐๐๐ คน เด็กหนุ่ม ๖๐,๐๐๐ คน ต่างประดับด้วยต่างหูอันวิจิตรเพชรนิลจินดา ช่วยกันผ่าฟืนสำหรับหุงอาหาร ทำแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ พวกหญิงสาว ๑๖,๐๐๐ คน ช่วยกันบดเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหาร และยังมีหญิงสาวอีก ๑๖,๐๐๐ คน แต่งตัวสวยงามราวกับนางฟ้า ยืนถือทัพพีคอยตักอาหารให้คนที่มาขอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ฝ่ายอังกุระได้มายืนมอบสิ่งของต่างๆ ด้วยมือของตนเอง ทำไปก็ปีติเบิกบาน แทนที่จะให้คนที่มาขอทานนั้นขอบคุณตนเอง ตนกลับรู้สึกขอบอกขอบใจพวกเขาเหล่านั้น ที่อุตส่าห์เดินทางมารับบริจาคทานจากท่านเอง เมื่อละโลกไปแล้ว ท่านได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน
มาในยุคสมัยพุทธกาลของเรา มีพราหมณ์ผู้ยากไร้คนหนึ่งชื่อ อินทกะ เป็นคนมีศรัทธาแต่ไม่มีทรัพย์ วันหนึ่งเขาได้เห็นพระอนุรุทธะบิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน ด้วยจิตที่เลื่อมใส จึงได้ถวายข้าวทัพพีหนึ่ง ด้วยบุญนั้น เมื่อละสังขาร ได้ไปบังเกิดเป็นอินทกเทพบุตรผู้มีรัศมีกายที่รุ่งเรืองสว่างไสวยิ่งกว่าอัง กุรเทพบุตร

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เทวดาในหมื่นโลกธาตุพากันมานั่งประชุมเพื่อฟังธรรม ไม่มีเทพองค์ไหนที่จะมีรัศมีกายสว่างกว่าพระพุทธเจ้า พุทธรัศมีนั้นสว่างไสวรุ่งโรจน์กว่ารัศมีของเทวดาทั้งหลาย เทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ มีบุญมาก จะได้นั่งอยู่แถวหน้า ส่วนผู้ที่บุญน้อยกว่าก็จะถอยร่นออกไปเรื่อยๆ

สมัยนั้น อังกุรเทพบุตรซึ่งเคยนั่งอยู่ด้านหน้า ต้องถอยร่น ไปตามกำลังบุญ นั่งอยู่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ส่วนอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิมใกล้ๆ กับพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามอังกุรเทพบุตรว่า " อังกุระ เธอทำแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ ได้ให้ทานเป็นอันมากในกาลประมาณหมื่นปี บัดนี้เธอนั่งอยู่ไกลตั้ง ๑๒ โยชน์ ซึ่งไกลกว่าเทพบุตรทั้งหมด ไฉนเธอจึงนั่งอยู่ไกลนัก"
อังกุรเทพบุตรกราบทูลว่า "ทานของข้าพระองค์ว่างเปล่า จากทักขิไณยบุคคล ทำให้ได้ผลน้อยเหลือเกิน พระเจ้าข้า"

"อังกุระ การเลือกเสียก่อนแล้วจึงให้ ทานนั้นย่อมมีผลมาก ดุจพืชที่เขาหว่านลงในนาดี แต่เธอหาได้ทำอย่างนั้นไม่ เหตุนั้นทานของเธอจึงไม่มีผลมาก"

จะเห็นได้ว่า แม้บางครั้งแม้เรามีกุศลศรัทธาอยากจะให้ทาน ทรัพย์ก็พร้อม ศรัทธาก็เต็มเปี่ยม แต่ถ้าไม่มีทักขิไณยบุคคล ผลบุญที่เกิดขึ้นก็เหมือนหว่านพืชลงในนาดอน ผลที่เกิดขึ้นได้ผลไม่เต็มที่สมกับที่ได้ทุ่มเทลงไป ดังนั้นการมีโอกาสถวายทานกับทักขิไณยบุคคลนับเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ บุญที่เกิดขึ้นจะปรับปรุงกาย วาจา ใจของเรา ให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ทำให้ถึงพร้อมด้วยสมบัติทั้งสาม คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ

ดังนั้น ในขณะที่เราเกิดมาในยุคที่พระพุทธศาสนายังเจริญรุ่งเรือง มีพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญ ให้ทุกท่านหาโอกาสถวายสังฆทานเป็นประจำ สิ่งที่เราจะได้รับในปัจจุบัน คือเราได้ชื่อว่าสนับสนุนพระสงฆ์ให้ท่านมีโอกาสศึกษาพระปริยัติธรรมได้อย่าง เต็มที่ หลายรูปจะได้ใช้เวลาในการนั่งสมาธิเจริญภาวนา เพื่อกลั่นกาย วาจา ใจของท่านให้บริสุทธิ์ จะได้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศของโลกต่อไป อานิสงส์นี้จะทำให้ตัวเราเองได้รับการสนับสนุนในการสร้างบารมีไปทุกภพทุก ชาติ ตราบกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก. อังกุรเปตวัตถุ เล่ม ๔๙ หน้า ๒๔๗

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘