มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต - ผลแห่งอริยวาจา


มงคลที่ ๑๐

มีวาจาสุภาษิต - ผลแห่งอริยวาจา


คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย นั่นเป็นธรรมเก่า
สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมตั้งมั่นในคำสัตย์ ที่เป็นอรรถ เป็นธรรม

การจะไปสู่อายตนนิพพานได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีบุญมหาศาล รักในการสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ พบเห็นสิ่งใดก็ตาม สามารถที่จะเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นโอกาสแห่งการสร้างบุญบารมีได้ทุกเมื่อ และให้คิดเสมอว่า จะใช้วันเวลาทุกอนุวินาทีให้มีคุณค่าสูงสุด เพราะรู้ว่าชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เปรียบเสมือนผู้กำลังเดินทางไกล ในทางที่ทุรกันดารเต็มไปด้วยเพลิงกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ จำเป็นที่จะต้องมีเสบียง คือ บุญ ติดตัวไปเพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง
ดังนั้นนักสร้างบารมีที่ดี ย่อมเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เปลี่ยนจากบาปมาเป็นบุญเป็นบารมีให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีก แม้อยู่ในที่ร้อนก็ไม่ร้อนใจ อยู่ในที่เย็นก็ยิ่งมีความเย็นกายเย็นใจ เย็นด้วยกุศลผลบุญที่สามารถต้านทานความร้อนแรงของกิเลสอาสวะได้ ผู้ที่จะมีใจสงบเยือกเย็นอย่างนี้ ต้องมีใจอยู่ในบุญ ใจใสสะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งไปในกลางพระรัตนตรัย ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อทำได้อย่างนี้ ชีวิตจะเหมือนจุดเย็นท่ามกลางเตาหลอม มีชีวิตที่อยู่เป็นสุขตลอดเวลา

มีวาระธรรมภาษิต ที่พระวังคีสเถระกล่าวไว้ว่า
"สจฺจํ เว อมตา วาจา เอส ธมฺโม สนนฺตโน
สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อาหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา

"คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย นั่นเป็นธรรมเก่า สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมตั้งมั่นในคำสัตย์ ที่เป็นอรรถ เป็นธรรม"
การพูดเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของคนเรา คำพูดที่ออกจากปากไปแล้ว มีผลกระทบอันยิ่งใหญ่ ต่อบุคคลรอบข้าง เพราะหูทั้งสองข้างเปิดตลอดเวลา ดวงตายังมีเวลากะพริบ มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวว่า "ก่อนพูดเราเป็นนายของคำพูด พอพูดแล้วคำพูดเป็นนายของเรา"
ดังนั้นก่อนที่เราจะ พูดอะไรออกไป ต้องพินิจพิจารณาให้ดีก่อน เลือกพูดด้วยถ้อยคำที่เป็นประโยชน์ เป็นธรรมล้วนๆ ไม่ให้กระทบตนเองหรือผู้อื่น เงินทอง สูญเสียไปแล้ว เราหาใหม่ได้ แต่คำพูดที่พูดเสียหายไปแล้ว เอาคืนมาไม่ได้ แก้ไขก็ลำบาก ดังนั้นก่อนพูดควรใคร่ครวญให้ดี ถ้อยคำใดที่เป็นไปเพื่อทำให้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ ถ้อยคำนั้นสูงสุดกว่าถ้อยคำใดๆ

ถ้าเราพูดแต่คำจริง เราจะองอาจไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะคำจริงเป็นสิ่งไม่ตาย จะเกื้อกูลต่อการสร้างบารมีของเรา ดวงตะวันเป็นยอดของแสงสว่าง ดวงจันทร์เป็นยอดของหมู่ดาว คำสัตย์จริงที่ประกอบด้วยอรรถและธรรม คือสุดยอดแห่งวาจาทั้งปวง ดังนั้นเราต้องหัดพูดแต่คำจริงเสมอ ใช้คำพูดให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนเองและชาวโลก

ผู้ที่รู้จักสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย ด้วยใจที่เคารพเลื่อมใส ด้วยวาจาที่นอบน้อม การสรรเสริญเป็นทางมาแห่งบุญกุศลที่ไม่มีประมาณ เพราะอานุภาพของพระรัตนตรัยนั้น ไม่อาจจะนับจะประมาณได้ เมื่อเวลามีทุกข์เราก็พึ่งท่านได้ เวลาเราปรารถนาความสุข เมื่อนำใจหยุดลงไปในกลางพระรัตนตรัย เราจะพบความสุขที่เที่ยงแท้ถาวร เป็นสุขที่กว้างขวางไม่มีขอบเขต
ดังนั้น ผู้มีปัญญาเมื่อปรารถนาบุญ ให้รู้จักกล่าวสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย เราจะได้อานิสงส์ใหญ่เกินควรเกินคาด เป็นอัศจรรย์ เหมือนพระอธิมุตตเถระ ซึ่งท่านได้กล่าวสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยถ้อยคำอันเป็นมงคลเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่ผลแห่งอริยวาจานั้น ทำให้ชีวิตของท่าน ได้พบแต่สิ่งที่เป็นมงคล นับภพนับชาติไม่ถ้วนทีเดียว

*ในสมัยนั้น ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถรํ่าเรียนเขียนอ่านได้อย่างรวดเร็ว จนประสบความสำเร็จในวิชาความรู้ของพราหมณ์ในสมัยนั้น ท่านมองเห็นโทษของการอยู่ครองเรือน จึงสละสมบัติทุกอย่าง และออกบวชเป็นดาบส บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าตามลำพัง

ในคราวนั้น ประจวบเหมาะกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศ ธรรมจักรสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ดื่มน้ำอมฤตธรรม เข้าถึงนิพพานกันเป็นจำนวนมาก ข่าวการเสด็จอุบัติของพระพุทธองค์ ระบือไกล ไปจนถึงอาศรมในป่าลึก ซึ่งเป็นที่พำนักของดาบส เมื่อดาบสได้ฟังข่าวนั้นก็ปีติเบิกบาน เพราะเฝ้ารอคอยมานาน ที่จะพบผู้รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพธรรมทั้งหลาย เหมือนต้นกล้าที่คอยหยาดฝน จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งมีหมู่ภิกษุสงฆ์แวดล้อม ทรงงดงามด้วยพระมหาปุริสลักษณะครบถ้วนทุกประการ ทรงสว่างไสวด้วยฉัพพรรณรังสีที่เปล่งออกจากพระวรกาย รุ่งเรืองโชติช่วงเหมือนดาวประกายพรึก ทรงแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียง ที่ไพเราะดุจเสียงของท้าวมหาพรหม นุ่มนวลไม่แหบไม่พร่า ไพเราะอ่อนหวาน กังวานน่าฟัง ทั้งพระธรรมเทศนาก็แจ่มแจ้งชัดเจน งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย
ดาบสได้พบสิ่งที่เป็นสิริมงคลเช่นนั้น จึงเอาผ้าเปลือกไม้ ปูลาดตรงที่ใกล้พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า และชโลมพระบาทของพระพุทธองค์ด้วยน้ำมันหอม อีกทั้งนวดเฟ้นด้วยความเคารพ พลางกล่าวสรรเสริญพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพเลื่อมใส ด้วยใจที่ปลื้มปีติเบิกบานว่า

"ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นผู้พ้นดีแล้วจากห้วงน้ำ คือ วัฏสงสาร ทรงประกาศพระสัทธรรมให้สัตวโลกได้ข้ามพ้นจากอาสวกิเลส ยังโลกนี้ให้สว่างไสวด้วยแสงแห่งพระญาณ คลื่นในมหาสมุทรย่อมแตกในเวลากระทบฝั่ง ฉันใด ทิฏฐิทั้งปวงของสรรพสัตว์ย่อมแตกทำลายไป เพราะพระปัญญาบารมีของพระองค์ ฉันนั้น พระองค์เท่านั้นทรงเป็นที่พึ่งของผู้ที่เวียนว่ายอยู่ในห้วงน้ำแห่ง สังสารวัฏ ทรงเป็นสรณะของผู้ที่กำลังมีภัย เป็นผู้ทรงวิชชาและจรณะ ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว"

พระบรมศาสดาทรงฟังการกล่าวสรรเสริญของดาบสนั้น มองไปในอนาคตกาล เห็นผลบุญที่ดาบสกล่าวสรรเสริญพระองค์ว่ามีอานิสงส์มากมาย จึงตรัสท่ามกลางพุทธบริษัท เพื่อเป็นกำลังใจในการทำความดีของดาบสว่า " ผู้ใดกล่าวสรรเสริญ ศีล ปัญญาและสัทธรรมของเรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรา ผู้นั้นย่อมบังเกิดในเทวโลก ไม่ตกต่ำเลยตลอด ๕๐,๐๐๐ กัป จักมีทิพยสมบัติมากมาย เกินกว่าเทวดาเหล่าอื่น ภายหลังเขาจะออกบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โคดม และจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน กำจัด อาสวกิเลสให้หมดสิ้นไปอย่างง่ายดายเป็นอัศจรรย์"

ทันทีที่สิ้นสุดคำพยากรณ์ ความปีติยิ่งแผ่ซ่าน ท่วมท้นในกายและใจของดาบสอย่างไม่มีประมาณ ตั้งแต่บัดนั้นมา ด้วยอานุภาพแห่งบุญนั้น ไม่ว่าท่านจะเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ย่อมท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติภูมิเท่านั้น วนเวียนอยู่ในมนุษย์และเทวโลกนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งมาถึงภพชาติสุดท้าย ท่านออกบวชเพื่อปฏิบัติธรรม และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตามพุทธพยากรณ์

พระเถระได้ย้อนดูประวัติการสร้างบารมีของตนเอง เห็นแต่ประวัติชีวิตอันงดงาม เหมือนกรอเทปที่บันทึกภาพแห่งความดีทุกฉากทุกตอน ไม่ว่าจะทำอะไรไว้ ท่านเห็นหมด ฉะนั้นสิ่งที่เราทำไว้ไม่ได้สูญหายไปไหน จะเป็นผังสำเร็จติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อเรามองเข้าไปในกลางธรรมกาย แล้วระลึกชาติหนหลัง จะเห็นด้วยธรรมจักษุของธรรมกาย เห็นการสร้างบารมีทุกตอนของเราชัดเจน ดังเช่นพระเถระที่เห็นประวัติการสร้างบารมีของตนว่า ด้วยอานิสงส์การสรรเสริญพระรัตนตรัยครั้งนั้น ทำให้ท่านไม่รู้จักทุคติเลย

จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า วาจาที่เปล่งออกจากปาก จะทำให้เป็นบุญเป็นกุศลก็ได้ หรือเราจะให้เป็นหอก เป็นเข็มที่มาทิ่มแทงจิตใจคนอื่นก็ได้ แต่บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านจะใช้วาจาเป็นประดุจดอกไม้หอม เพื่อบูชาพระรัตนตรัย วาจาอย่างนี้แหละชื่อว่า อริยวาจา วาจาที่ประเสริฐ ที่เป็นทางมาแห่งความเป็นพระอริยเจ้า เป็นวาจาที่สามารถเปลี่ยนตัวเราเอง จากปุถุชนให้เป็นพระอริยเจ้าได้

ดังนั้น ทุกท่านจงใช้วาจาถ้อยคำให้เป็นประโยชน์สูงสุด หมั่นสรรเสริญพระรัตนตรัย และชักชวนทุกๆ คนให้เห็นคุณอันยิ่งใหญ่ของพระรัตนตรัย เห็นคุณค่าในการสร้างบุญบารมี สรรเสริญการทำความดี และสรรเสริญผู้รู้ ผู้บริสุทธิ์ ซึ่งการสรรเสริญให้ถูกที่ ถูกตัวจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องทำใจของเราให้หยุดนิ่งตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หยุดกันให้ถูกส่วน จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกาย ให้ใจแช่อิ่มอยู่ในธรรมกายทั้งวันทั้งคืน อย่างนี้จึงเป็นการสรรเสริญที่แท้จริง เป็นการปฏิบัติบูชา ที่ยิ่งกว่าการบูชาหรือสรรเสริญใดๆ ถ้าทำได้อย่างนี้ จะเป็นการสรรเสริญที่ถูกต้องร่องรอยหนทางของพระอริยเจ้า เพราะฉะนั้น ให้ทุกท่านหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมอย่าให้ขาด ทำทุกวันทุกคืน เดินตามรอยพระอริยเจ้ากันอย่างนี้ทุกๆ คน
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

*มก. อธิมุตตเถรคาถา เล่ม ๕๐ หน้า ๕๑๐

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘