มงคลที่ ๖ ตั้งตนชอบ - สั่งสมบุญเพื่อตนเอง

มงคลที่ ๖

ตั้งตนชอบ - สั่งสมบุญเพื่อตนเอง
ผู้มีปัญญา มั่นคงอยู่ด้วยดีในศีลทั้งหลาย
ย่อมได้รับเกียรติคุณขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ครั้นตายไปแล้ว ก็ได้รับความสุขโสมนัสในโลกสวรรค์
เป็นผู้มีใจชื่นบานในทุกที่ทุกสถาน


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนหยาดน้ำค้าง บนยอดหญ้า เมื่อต้องแสงอาทิตย์ในยามเช้า ย่อมเหือดแห้งหายไปโดยฉับพลัน ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน ร่างกายใกล้เข้าสู่ความเสื่อมสลายทุกขณะ ทำให้ช่วงเวลาแห่งการสร้างความดี เพิ่มบุญบารมีให้กับตัวเองนั้นเหลือน้อยเต็มที คนส่วนใหญ่มักจะหมดเวลาไปกับการทำธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน การบริหารขันธ์ บางคนปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยสูญเปล่า สำหรับนักสร้างบารมีเช่นเรา ต้องถือว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นสิ่งที่มีความหมายมากที่สุด และเวลาที่เหลืออยู่นี้ เป็นเวลาแห่งบุญบารมีที่เราจะต้องตักตวงกันให้เต็มที่ โดยเฉพาะเวลาที่ทรงคุณค่าที่สุด คือ เวลาที่ใช้สำหรับการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน

มีวาระพระบาลีกล่าวไว้ว่า

"อิเธว กิตฺตึ ลภติ เปจฺจ สคฺเค จ สุมโน
สพฺพตฺถ สุมโน ธีโร สีเลสุ สุสมาหิโต

ผู้มีปัญญา มั่นคงอยู่ด้วยดีในศีลทั้งหลาย ย่อมได้รับเกียรติคุณขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ครั้นตายไปแล้ว ก็ได้รับความสุขโสมนัสในโลกสวรรค์ เป็นผู้มีใจชื่นบานในทุกที่ทุกสถาน"

การฝึกฝนอบรมพัฒนาตนเอง ให้เป็นผู้สมบูรณ์ในด้านต่างๆ ทั้งด้านความรู้ ความสามารถ ความมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม รวมทั้งการพัฒนาด้านคุณธรรม ให้สูงขึ้นควบคู่กันไปด้วยนั้น ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ความรู้คู่คุณธรรมจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเราให้สูงขึ้น ความรู้ทำให้เราไม่ตกระกำลำบากในการดำรงชีวิต ส่วนคุณธรรมจะช่วยคัดท้ายนาวาชีวิตให้ไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องดีงาม ไม่ถูกกระแสกิเลสตัณหาพัดพาให้จมลงไปในอบายภูมิ การมีทิฏฐิมานะหรือความลุ่มหลงในวิชาความรู้ที่เล่าเรียนมา แล้วนำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด จะทำให้ชีวิตเราต้องตรอมตรมไปอีกยาวนาน

ธรรมาวุธคู่กายเรา ที่ใช้ต่อกรกับกิเลสที่มาห่อหุ้มดวงจิต เบื้องต้น คือ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ศีลเป็นธรรมาวุธที่ยอดเยี่ยมในการประหารกิเลส เป็นกำลังหาที่เปรียบมิได้ รวมทั้งยังเป็นอาภรณ์คู่กายที่ประเสริฐและงดงาม นอกจากนี้ยังเป็นเกราะแก้วป้องกันภัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ศีลเป็นเครื่องลูบไล้อันเนียนนุ่ม หอมหวนทวนลม เป็นที่นิยมของนักปราชญ์บัณฑิต ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลจึงมีชื่อเสียงฟุ้งขจรขจายไปทั่วสารทิศ แม้ละโลกไปแล้ว ก็ได้บังเกิดในสุคติโลกสวรรค์

เช่นเดียวกับในสมัยพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศทางด้านมีฤทธิ์ ท่านมักเหาะขึ้นไปสวรรค์เยี่ยมเยียนเหล่าเทพบุตรเทพธิดา เพื่อถามถึงบุพกรรมที่เคยทำไว้ว่า ทำอย่างไรถึงได้วิมานที่สวยสดงดงาม ดึงดูดตาดึงดูดใจของผู้ที่ได้พบเห็น การไปนรกสวรรค์ของผู้มีจิตบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะแล้ว เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะอาศัยพลานุภาพของใจที่หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ หลังจากฝึกฝนใจให้นุ่มนวลควรแก่การงานแล้ว จะสามารถโน้มน้าวไปที่ใดก็ได้ เมื่อฝึกให้คล่องแคล่วจนเป็นปกติ แค่นึกว่าจะน้อมใจไปในภพภูมิใด ก็ไปได้ดังใจปรารถนา ไปนรกก็ได้ สวรรค์ก็ได้ นิพพานก็ได้ พระอรหันต์ท่านทรงอภิญญาเช่นนี้

*วันหนึ่ง ขณะที่เหาะขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นวิมานของเทพธิดาท่านหนึ่งสวยงามเป็นพิเศษ จึงถามว่า "ดูก่อน เทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม มีรัศมีส่องสว่างไสวไปทุกทิศเหมือนดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีผิวพรรณเช่นนี้ เพราะบุญอะไร อิฐผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคสมบัติทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดขึ้นแก่ท่าน ดูก่อนเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ และเพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองเช่นนี้ รัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทั่วสารทิศ"

เทพธิดากราบเรียนท่านว่า "พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นอุบาสิกาอยู่ในเมืองสาเกต ประชาชนรู้จักดิฉันในนามอุโบสถา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาและศีล ยินดีแล้วในการจำแนกทาน มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร เสนาสนะ และเครื่องประทีปกับพระอริยเจ้าผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ นอกจากนี้ในวันพระ ดิฉันได้รักษาอุโบสถศีลที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ทั้งในวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ คํ่า ไม่เคยขาด

เมื่อรักษาอุโบสถศีลแล้ว ดิฉันเป็นผู้สำรวมด้วยดีในศีล ที่ได้สมาทานไว้ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต เว้นห่างไกลจากอทินนาทาน จากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากมุสาวาท และจากการดื่มน้ำเมา ดิฉันเป็นผู้ยินดีในสิกขาบททั้ง ๕ และมีดวงตาเห็นธรรมแทงตลอดในอริยสัจ จนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นอุบาสิกาของพระสมณโคดมพุทธเจ้า เพราะบุญนั้น ดิฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ อิฐผลนี้จึงสำเร็จแก่ดิฉัน และโภคสมบัติทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดขึ้น เพราะดิฉันได้สั่งสมบุญไว้ดีแล้วในสมัยเป็นมนุษย์ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก ไม่ดูหมิ่นในบุญ ทำให้ดิฉันเป็นผู้มีอานุภาพรุ่งเรืองเช่นนี้ และรัศมีของดิฉันสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ"

เนื่องจากเทพธิดานั้นเคยเป็นมหาอุบาสิกาผู้ทรงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล จึงไม่ต้องพลัดไปเกิดในอบายภูมิ หรือภพภูมิที่ต่ำอีกต่อไป แต่แทนที่นางจะตั้งใจปฏิบัติ ให้ได้บรรลุธรรมขั้นสูงยิ่งๆ ขึ้นไป หรือไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นสูง ที่ละเอียดประณีตกว่านี้ นางกลับมาบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเปรียบเสมือนเหยื่อล่อของพญามารชั้นเลิศ เพราะหากมัวเพลิดเพลินไม่เร่งรีบขวนขวาย ในการสั่งสมบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อหมดบุญแล้วจะต้องเป็นเทวดาตกสวรรค์อีก

เทพธิดาสารภาพกับพระเถระ ถึงเหตุที่ทำให้นางได้มาบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ด้วยความสำนึกผิดว่า "ดิฉันได้ยินเรื่องสวนนันทวันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เสมอว่า มีความสวยงามมาก เป็นที่ประชุมของเหล่าชาวสวรรค์ที่มาเที่ยวชมมิได้ขาด ได้ตั้งจิตปรารถนาให้ไปบังเกิดในสวนนันทวัน เมื่อละสังขารแล้ว จึงจากโลกมนุษย์มาบังเกิดที่สวนนันทวันในทันที ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงมิได้ทำตามพระพุทธวาจาของพระบรมศาสดา มิได้ทำความเพียรให้ยิ่งๆ ขึ้นไป"

พระเถระได้ปลอบใจนางด้วยการตั้งคำถามว่า "ดูก่อนอุโบสถาเทพธิดา ท่านจะอยู่ในวิมานนี้นานเท่าไร ท่านโปรดบอกอาตมาด้วยเถิด"
เทพธิดาตอบว่า "ข้าแต่ท่านมหาปราชญ์ ดิฉันจะเสวยทิพยสมบัติอยู่ในวิมานนี้ ประมาณ ๓ โกฏิ ๖๐,๐๐๐ ปี จุติจากที่นี้แล้ว จักไปบังเกิดเป็นมนุษย์อีก"

พระมหาโมคคัลลานเถระบอกว่า "ดูก่อนอุโบสถาเทพธิดา ท่านอย่าได้เศร้าโศกเสียใจไปเลย หากมองถึงสรรพสัตว์ที่เวียนว่ายในสังสารวัฏ อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้แล้ว มีผู้ที่ประสบความทุกข์ทรมาน แสนสาหัสมากมายกว่าท่านหลายร้อยหลายพันเท่านัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้แล้วว่า ท่านบรรลุคุณวิเศษเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ทุคติท่านก็ละได้แล้ว ขอให้มีความสุขในวิมานอันงดงามหาที่ติมิได้นี้เถิด" จากนั้นพระเถระก็เหาะกลับลงมาบนโลกมนุษย์

เราจะเห็นว่า การประกอบเหตุบนโลกมนุษย์นี้ ส่งผลให้มีวิมานบนสวรรค์ โลกสวรรค์นั้นเป็นของกลางของสรรพสัตว์ทั้งหลาย หากบุคคลใดตั้งใจทำความดี หมั่นสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ ทำให้ถูกหลักวิชชาแล้ว ย่อมได้ทิพยสมบัติมาครอบครอง เพียงแค่หมั่นสั่งสมบุญทุกวัน ด้วยการทำทาน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ยิ่งชีวิต ไม่ยอมให้ศีลด่างพร้อยเช่นเดียวกับเทพธิดานี้

ทว่าความปรารถนาของพวกเรา ยิ่งใหญ่เกินกว่าสวรรค์ ยิ่งกว่าพรหม หรืออรูปพรหม เพราะเป้าหมายในการสร้างบารมีของเรา มุ่งจะนำพาตนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้น จากอาสวกิเลส ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม สำหรับโลกสวรรค์หรือวิมานต่างๆ ที่ได้มานั้น เปรียบเสมือนเป็นเพียงสถานที่พักกลางทางระหว่างการสร้างบารมีเท่านั้น

ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ต้องสั่งสมบุญ ฝึกฝนอบรมตนให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเป็นผู้ที่สมบูรณ์ พร้อมทั้งวิชชาและจรณะ เราต้องมีหัวใจของนักสร้างบารมี เช่นเดียวกับพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพ กี่ชาติก็ตาม ต้องสร้างความดีไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท้อไม่ได้ ถอยไม่เป็น เป็นแต่สร้างความดีให้เต็มที่ ในทุกที่ทุกเวลานาที สั่งสมบุญตลอดเวลา เหมือนกับการหายใจที่เราขาดไม่ได้ ให้มีกระแสบุญคอยหล่อเลี้ยงเสมอ เหมือนไฟ ไม่ขาดเชื้อ ถ้าหมดบุญก็เหมือนหมดลม ดังนั้นให้พวกเราหมั่นสั่งสมบุญให้เต็มที่ ฝึกฝนตนในทุกรูปแบบ และฝึกใจให้หยุดนิ่งให้ได้ทุกวัน จนกว่าจะได้ที่พึ่งภายใน คือ ได้เข้าถึงพระธรรมกาย กันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก. อุโปสถาวิมาน เล่ม ๔๘ หน้า ๑๙๙

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘