บทที่ 5.5 : ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
พระพุทธคุณ ๙
๒. ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “สัมมาสัมพุทธโธ” แปลตามศัพท์ว่า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ หรือโดยถูกต้อง เมื่อพิจารณาพระบาลีในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่ว่า “จกฺขุ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ฯ”
จะเห็นว่าคุณวิเศษ ๕ อย่าง ดังบาลีที่ยกขึ้นกล่าวนี้ จะเป็นความหมายของคำว่า “พุทโธ” กล่าวคือ จกฺขุ ความเห็น ญาณํ ความรู้ ปญฺญา ความรู้ชัด วิชฺชา ความรู้แจ้ง และอาโลโก แสงสว่าง ทั้ง ๕ อย่างนี้ประมวลเข้าด้วยกันรวมเป็นคำแปลของคำว่า “พุทโธ” ถ้าจะแปลให้สั้นเข้า “พุทโธ” ก็ต้องแปลว่า “ทั้งรู้ทั้งเห็น” มิใช่รู้เฉยๆ โดยอาศัยคำว่า จกฺขุ ญาณํ
ที่ว่า “เห็น” นั้น มิได้มีความหมายว่าเห็นอย่างตาคนธรรมดาเห็น แต่พระองค์เห็นด้วยธรรมจักษุ๑ สิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงรู้เห็นนั้น ตรงตามความเป็นจริงทั้งสิ้น มิใช่คาดคะเนหรืออนุมานเอา จึงได้ชื่อว่า “ตรัสรู้ ” คำว่า “สัม” ที่นำหน้า “พุทโธ” นั้นแปลว่า ด้วยพระองค์เอง ไม่มีอื่นสั่งสอน ส่วนคำว่า “สัมมา” แปลว่า “โดยชอบ” หรือ “โดยถูกต้อง”
ดังนั้นพระองค์จึงเป็น “สัมมาสัมพุทโธ” คือ “ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ” เพราะทรงรู้เห็นตรงตามความเป็นจริงโดยลำพังพระองค์เอง มิได้มีผู้ใดสอน
สาเหตุที่พระองค์ทรงสามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เองได้ ก็เพราะความเป็น “อรหันต์” ของ พระองค์ดังกล่าวแล้วนั่นเอง เนื่องจากอำนาจสมาธิทำให้จิตของพระองค์สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากอาสวะทั้งปวง ซึ่งนอกจากจะใสสว่างแล้วยังหยุดนิ่ง จึงมีสิ่งที่ผุดขึ้นในนิ่ง ทำให้รู้ พระองค์ก็ทรงรู้ไปตามนั้น ทำนองเดียวกับน้ำในโอ่งที่นอนนิ่งสนิท ใสบริสุทธิ์แล้ว แม้มีเข็มอยู่ก้นโอ่งก็สามารถมองเห็นได้
ที่กล่าวว่าพระองค์ตรัสรู้โดยถูกต้องนั้น หมายความว่า “ตรัสรู้ทั้งเหตุ ตรัสรู้ทั้งผล” กล่าวคือ ตรัสรู้เหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งสุข เหตุไม่ทุกข์และไม่สุข คือ สภาพเป็นกลางๆ หรือเรียกว่า “อัพยากฤต”
เหตุแห่งทุกข์ก็คือ อกุศลมูลทั้ง ๓ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ โลภ โกรธ หลง เหตุแห่งสุขก็ตรงกันข้ามกับเหตุแห่งทุกข์ คือ กุศลมูล ได้แก่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เหตุแห่งไม่ทุกข์ไม่สุขหรืออัพยากฤต ก็คือสภาพเป็นกลางๆ ไม่เป็นทั้งกุศลหรืออกุศล
สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้ก็คือ ทรงตรัสรู้เหตุที่ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ในสังสารวัฏโดยมิรู้จบสิ้น รวมทั้งตรัสรู้ วิธีดับเหตุเหล่านั้นได้อย่างสิ้นเชิง โดยสรุปก็คือ ทรงตรัสรู้ “อริยสัจ” ซึ่งมีทั้งเหตุและผลอย่างสมบูรณ์
เนื่องจากทรงรู้และเห็นแจ้งแทงตลอดในสัจธรรมอันประเสริฐเช่นนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า “สัมมาสัมพุทธโธ” คือ “ทรงเป็นตรัสรู้เองโดยชอบ”
--------------------------------------
๑ ตาธรรมกาย คือ การเห็นของธรรมกาย