ทำไมพระพุทธศาสนาเสื่อมจากอินเดีย




มีผู้เขียนบทความกล่าวถึงการเสื่อมสลาย ของพระพุทธศาสนาในชมพูทวีป เนื้อหากล่าวถึง“ ศังกราจารย์  เจ้าลัทธิฮินดู ”  ว่าเป็นสาเหตุหลักของความเสื่อมของพุทธในอินเดีย โดยพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า  วัดพุทธบางแห่งในปัจจุบันก็กำลังทำลายพระพุทธศาสนาด้วยวิธีการเดียวกับศัง กราจารย์
บทความนี้ทำให้ผู้ที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ศาสนาในอินเดีย เข้าใจผิด  และสร้างความแตกแยกในพระพุทธศาสนา  จึงจำเป็นต้องเขียนชี้แจงความจริง
ความจริงเมื่อคิดว่า  “ ศังกระ ” เป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนา  ก็ไม่ควรจะไปยกย่องเรียกเขาว่าอาจารย์เลย (คำว่า ศังกราจารย์ มาจากชื่อเดิมว่า  ศังกระ  +  อาจารย์  = ศังกราจารย์ )
จุดพลาดอย่าง สำคัญของบทความนี้ คือ มองข้ามความจริงพื้นฐานว่า  ศังกระไม่ใช่พระภิกษุแต่เป็นนักบวชในศาสนาฮินดูจนตลอดชีวิต  เป็นผู้เขียนคัมภีร์สำคัญของศาสนาฮินดูลัทธิเวทานตะหลายเล่ม ศังกระไม่เคยเคารพพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา  และไม่เคยยอมรับพระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์สูงสุด เพียงแต่เลียนแบบพุทธ  คือ  เดิมฮินดูไม่เคยมีศาสนสถานที่มีนักบวชอยู่  ศังกระได้นำเอารูปแบบแนวคิดของวัดในพระพุทธศาสนาไปปรับใช้สร้างเป็นศาสนสถาน ของฮินดู  เรียกว่า มฐะ  และสอนว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระวิษณุอวตารปางที่ 9 เพื่อหวังดึงชาวพุทธมานับถือศาสนาฮินดู
พฤติกรรมที่คล้ายศังกระในยุค ใกล้ๆนี้คือ  การที่มีบาทหลวงคริสต์บางท่านประกาศว่า  พระพุทธเจ้าคือ  ประกาศก  ผู้มาแจ้งข่าวล่วงหน้าถึงการมาของพระเยซู  ดังนั้นชาวพุทธทั้งหลายที่นับถือพระพุทธเจ้าก็คือชาวคริสต์นั่นเอง  แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะคนรู้ทันกันแล้ว
ศังกระไม่เคยชวนคนมาเคารพบูชาพระ พุทธเจ้า  ไม่เคยชวนคนมาศึกษาพระไตรปิฎก ไม่เคยชวนคนมาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา  เขามีแต่หยิบยืมแนวคิดของพุทธไปใช้ในศาสนาฮินดูของเขาเท่านั้น
ดัง นั้นวัดในพระพุทธศาสนาที่ไม่มีรูปเคารพของเทพเจ้าฮินดู เจ้าพ่อ เจ้าแม่ต่างๆเลย   มีแต่สิ่งที่เนื่องด้วยพระรัตนตรัย ตั้งใจชวนคนเข้าวัดมากๆ  บวชพระภิกษุมากๆ  ส่งเสริมการศึกษาพระไตรปิฎก  ภาษาบาลี  พระปริยัติธรรมอย่างเต็มที่  จึงส่งผลเป็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา  ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของศังกระโดยสิ้นเชิง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า  ตราบใดที่พุทธบริษัทยังสมัครสมานสามัคคีกัน  และรักการประพฤติปฏิบัติธรรม  พระพุทธศาสนาก็ยังมั่นคงอยู่ตราบนั้น  การเขียนบทความชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด  ยุแหย่ให้เกิดความเกลียดชังสร้างความแตกแยก  จึงเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา  ซึ่งชาวพุทธที่แท้ไม่ควรทำ
พระพุทธศาสนาเป็นพลังสร้างสรรค์
พระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการสร้างสรรค์  พระพุทธเจ้าไม่เคยตามจับผิด  นินทาว่าร้ายใคร  มุ่งแต่สอนคนให้เป็นคนดี  พระพุทธศาสนาจึงเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว  ตรงข้าม พวกเดียรถีย์ที่มุ่งทำลายล้าง  คอยจับผิดพระพุทธเจ้า  ใส่ร้ายป้ายสีสารพัด  กลับพบแต่ความเสื่อม
ชาวพุทธใดก็ตามที่มีพฤติกรรมคอยแต่จับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนที่เขาตั้งใจทำความดี  พึงรู้ตัวเถิดว่า  ตนกำลังหลงดำเนินไปตามเส้นทางของเดียรถีย์  ซึ่งจะมีแต่นำความเสื่อมมาสู่ตนและพระพุทธศาสนา
แม่บทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าทรงประทานแม่บทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ชัดเจนว่า
1.ห้ามว่าร้ายใคร
2.ห้ามทำร้ายใคร
3.สำรวมระวังความประพฤติของตนให้ดี
ใคร ไปว่าร้าย  จับผิด  เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น  พึงรู้ตัวเถิดว่าตนกำลังทำผิดคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว  ขอให้เลิกพฤติกรรมนั้นเสีย  แล้วหันมาใช้พลังในทางสร้างสรรค์ชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมแบบที่ตนชอบให้มาก ที่สุด  ถ้าทุกคนทุกวัด  ช่วยกันทำอย่างนี้  พระพุทธศาสนาก็จะเจริญ บ้านเมืองก็จะสงบร่มเย็น
“  พระพุทธศาสนาเป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์  ใครใช้ความรู้ไปในทางทำลายล้าง  คนนั้นเดินนอกทางพระพุทธเจ้า  ”

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘