นกในกงสี/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมมีเพื่อนสมัยที่ เรียนในมหาวิทยาลัยหลายคนที่ในตอนนั้นเป็นลูกของครอบครัวคนรวยที่ทำธุรกิจ  ในขณะนั้นผมและเพื่อนคนอื่น ๆ  ต่างก็เห็นว่าพวกเขาก็คือคนที่โชคดีที่ “เกิดมารวย”  มีเงินใช้จ่ายได้ฟุ่มเฟือย  บางคนมีรถขับ  บางคนได้รับการ “ยอมรับ”  จาก “ผู้ใหญ่” และสังคมมากกว่าคนอื่น  ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ  พวกเขามักได้ “แฟนสวย”  หรือเป็นแฟนที่ “ไฮโซ”  เป็น “ดอกฟ้า”  ที่คนในมหาวิทยาลัยต่างก็หมายปอง   ผมไม่ได้อิจฉาอะไรกับพวกเขา  เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนกับเพื่อนคนอื่น ๆ  น่าจะพูดได้ว่าแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์  จริง ๆ  ก็น่าจะต้องเป็นอย่างนั้น  เพราะในสมัยก่อนนั้น  กิจกรรมที่ทำร่วมกันก็มักจะวนเวียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งไม่ได้ใช้เงิน ทองอะไร  ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นนอกรั้วมหาวิทยาลัยหรือความเป็นอยู่ที่บ้านเขาจะเป็น อย่างไรนั้น  เราก็ไม่ได้รับรู้อยู่แล้ว   แต่ความคิดลึก ๆ  ของผมในตอนนั้นก็คือ  เราจะไม่มีทางเป็นแบบพวกเขาหรือรวยเท่าได้  โอกาสที่จะร่ำรวยอย่างสุจริตของคนในสังคมในเวลานั้น  ดูเหมือนว่าจะต้องพึ่งพิงอยู่กับการเป็นเจ้าของธุรกิจเป็นหลัก  แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจก็ต้องพึ่งพาเงินทุน  คอนเน็คชั่น  และประสบการณ์หรือฐานทางธุรกิจ ซึ่งสำหรับผมแล้ว  เป็นไปไม่ได้!

    แต่แล้วเศรษฐกิจของไทยก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  เวลาผ่านไปกว่า 40 ปี ผมก็พบว่า  เรื่องแรก  เพื่อนหลายคนที่เป็นลูกเจ้าของธุรกิจที่  “ร่ำรวย”  ในสมัยนั้น  ตอนนี้บางคนก็อาจจะยังทำธุรกิจอยู่แต่เป็นธุรกิจ “ธรรมดา ๆ”  ที่มีการแข่งขันสูงมากและไม่ได้ทำเงินอะไรนัก  คิดแล้วแทบไม่ต่างจากการเป็นพนักงานระดับสูงในบริษัท  เขาไม่ได้เป็น “คนรวยมาก” อีกต่อไปแล้ว  เรื่องที่สองก็คือ  หลายคนนั้น  ขณะนี้ไม่ได้ทำธุรกิจหรือทำงานอยู่กับทางบ้านเนื่องจากตนเองไม่ใช่  “พี่ชายคนโต”  ที่รับช่วงบริหารธุรกิจของ  “กงสี” ต่อจากพ่อแม่  เขาทำงานเป็นพนักงานระดับสูงขององค์กรบริษัทขนาดใหญ่  มีเงินเดือนและรายได้ดีพอสมควรแก่อัตภาพแต่ไม่ใช่คนรวยอีกต่อไป  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ธุรกิจเดิมของครอบครัวหรือของพ่อแม่นั้นถดถอยหรือ “ดับ” ไปนานแล้ว  ส่วนผู้นำ “กงสี” คนใหม่ที่มักจะเป็น “พี่ชายใหญ่”  นั้น  บางครอบครัวก็  “เจ๊ง” ไปแล้วเพราะธุรกิจนั้นกำลัง “ล้าสมัย” หรือหมดยุคไม่สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน   บางครอบครัวพี่ใหญ่ก็ไปเริ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือธุรกิจใหม่ที่เป็นของ “ส่วนตัว”  ที่มักอาศัย  “ฐานธุรกิจ” หรือเงินจากกงสีเดิม  ในระหว่างนั้น  ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องในกงสีก็เสื่อมลงอย่างรุนแรงจนแทบไม่มองหน้ากัน

    กรณีสุดท้ายก็คือเพื่อนที่เคยรวยมาก “ระดับชาติ”  และธุรกิจของครอบครัวเป็นสินค้าที่ยังเติบโตหรือมีความต้องการอยู่แม้ว่าการ เติบโตจะไม่มากแล้วในขณะนี้  ปัจจุบันพวกเขายังทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือสูงสุดของกลุ่มบริษัทที่ ครอบครัวยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่  หลาย ๆ  บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ “กงสี” ของเขาก็ยังอยู่แต่กลายเป็น Holding Company ที่ถือหุ้นหลาย ๆ  บริษัท  อย่างไรก็ตามค่าที่มีพี่น้องจำนวนมากมาย  รวมถึงเขยและสะใภ้และลูกหลานของพวกเขาอีกจำนวนเป็นทวีคูณ  การแบ่งหุ้นก็จะกระจายมาก  คิดแล้วแต่ละคนก็มีหุ้นไม่มากอย่างที่คิด  เขาอาจจะยังรวยเป็นเศรษฐี  แต่ก็ไม่ใช่มหาเศรษฐีอย่างในสมัยก่อนที่สังคมเห็น  แต่นี่ก็คือ “กงสี” ส่วนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จสูงและสามารถรักษาความมั่งคั่งและความ สัมพันธ์ของครอบครัวไว้ได้ในระดับหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าอนาคตก็คงไม่เข้าข้างพวกเขาเท่าไร  เพราะนับวันดูเหมือนว่าธุรกิจจะด้อยลงเมื่อเทียบกับธุรกิจใหม่ ๆ  ที่เติบโตเร็วกว่ามาก

    เหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจกงสีตกต่ำลงมาต่อเนื่องนั้น  ผมคิดว่าเป็นเพราะธุรกิจของกงสีมีโครงสร้างการถือหุ้นและการบริหารที่ไม่ เหมาะสมโดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูงขึ้นมากเช่นเดียวกับการที่จะ ต้องปรับตัวและอาศัยความคิดสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจสูงกว่าเดิมมากซึ่ง ธุรกิจกงสีไม่มี    ในประเด็นการถือหุ้นนั้น  ดูเหมือนว่าผู้นำหรือหัวหน้ากงสีจะ “ผูกขาด”  คือถือหุ้นทั้งหมด  แต่จะ “แบ่ง”  เงินที่ได้กำไรให้แก่สมาชิกตามความพอใจของตน  ในกรณีที่หัวหน้าเป็นพ่อแม่  ประเด็นความไม่พอใจก็อาจจะไม่รุนแรงมากนัก  แต่ในกรณีที่เป็นพี่ชายใหญ่หรือพี่น้องคนใดคนหนึ่ง  ปัญหาก็จะมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสมาชิกเริ่มมี  “คนนอก”  เช่นสะใภ้หรือเขยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  นี่ทำให้แรงจูงใจในการทำงานอย่างทุ่มเทของสมาชิกกงสีลดน้อยลงและไม่สัมพันธ์ กับรายได้ที่เขาจะได้รับ  บางกงสีนั้นอาจจะมีการแบ่งการถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกัน  แต่ในทางปฏิบัติเองนั้น  เนื่องจากระบบบัญชีไม่มีมาตรฐานและการอนุมัติรายจ่ายต่าง ๆ  นั้นมักจะอยู่ในมือของสมาชิกที่มีอำนาจซึ่งก็คือหัวหน้ากงสี  การแบ่งผลประโยชน์ก็มักจะมีปัญหาอยู่ดี  นั่นส่งผลให้ธุรกิจไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควรเป็น  และสุดท้าย  ความมั่งคั่งของกงสีก็มักจะลดลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายอาจจะต้องล้มหายตายจากไป

    การแก้ปัญหาของกงสีนั้น  ดูเหมือนว่าวิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  การเอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งจะแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้าง การบริหารและการถือหุ้นของสมาชิกแต่ละคนได้มาก  อย่างไรก็ตาม  บริษัทที่จะสามารถจดทะเบียนเข้าตลาดหรือเจ้าของยินดีที่จะเข้าจดทะเบียนนั้น น่าจะเป็นส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจกงสีทั้งหมด  ดังนั้น  วิธีที่จะทำให้ธุรกิจของกงสีดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและทำให้พี่น้องมี ความปรองดองกันและมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้นน่าจะอยู่ที่การจัดการหรือปรับ โครงสร้างของหัวหน้ากงสีโดยเฉพาะที่เป็นพ่อแม่  เนื่องจากลูกหลานจะยอมรับมากกว่าที่หัวหน้าจะเป็นพี่น้องกัน  ประเด็นนี้มักจะไม่เกิดขึ้นง่าย  เหตุผลก็เพราะว่าพ่อแม่นั้นมักจะไม่เห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งก็แน่ นอนเพราะเขายัง  “คุมเงินทุกบาททุกสตางค์”  ใครกล้า “หือ” ก็อาจจะ “ถูกตัดออกจากกองมรดก”  ได้

    ประสบการณ์ของผมกับเรื่องของกงสีนั้น  ผมแทบจะกล้าบอกได้เลยว่าแทบทุกแห่งมีปัญหา  ถ้าไม่ใช่เรื่องของธุรกิจที่แย่ลงหรือเจ๊งก็จะเป็นเรื่องของการทะเลาะ เบาะแว้งแย่งชิงผลประโยชน์ของสมาชิกหลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตหรือหมดบทบาท ไปแล้ว  ปัญหาสำคัญที่การปรับโครงสร้างของกงสีทำไม่ได้หรือทำไม่ได้ดีอยู่ที่ว่าพ่อ แม่ที่เป็นหัวหน้ากงสีนั้นมักจะไม่ยอม “แบ่งสมบัติ” ก่อนที่ตนเองจะตายหรือหมดความสามารถหรือต้องการเกษียณ  นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องของสัญชาติญาณมนุษย์ที่อยากจะมีอำนาจอย่างน้อยก็กับลูก หลานของตน  คนกลัวว่าถ้าให้ไปหมดแล้วลูกหลานจะไม่ฟังตนเองอีกต่อไปและอาจจะใช้เงินไป อย่างไม่ระมัดระวัง  เฉพาะอย่างยิ่งคนเอเชียอย่างเราที่มักมองลูกว่ายังเป็น “เด็ก”  ที่ต้องการเราคอยปกป้อง  เป็น “นกในกรงทอง”  ถ้าปล่อยให้เป็นอิสระก็อาจจะเอาตัวไม่รอด   บางคนก็คิดว่าอยากที่จะให้ลูกหลานอยู่ด้วยกันช่วยเหลือดูแลกันต่อไปเรื่อย ๆ  ถ้าปล่อยให้เป็นอิสระก็จะมีบางคนเอาตัวไม่รอด  ดู ๆ ไปแล้วก็อุปมาเหมือนกับการพยายาม  “เลี้ยงนกในกงสี”  ของพ่อแม่  แต่ประเด็นก็คือ  วันหนึ่งกงสีก็อาจจะ “แตก”  และเวลานั้น  นกบางตัวที่ถูกเลี้ยงไว้ใน “กงสี” ก็เอาตัวไม่รอดอยู่ดี

    ส่วนตัวผมเองคิดว่าการได้อยู่ในกงสีนั้นก็ยังเป็น  “โชคดี” อยู่ดีเพราะเขามี “แต้มต่อ”  ไม่น้อยในการที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จในชีวิต  อย่างไรก็ตาม ในสังคมปัจจุบันนั้น  คนที่มีความสามารถและมีทัศนคติที่ถูกต้องก็สามารถประสบความสำเร็จและร่ำรวย ได้เช่นเดียวกันและไม่น้อยไปกว่ากัน  ประสบการณ์กว่า 40 ปี ที่ผ่านมาของผมเป็นเครื่องยืนยันได้  โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าผม “โชคดี” ที่ไม่ได้อยู่ใน “กงสี”  และก็จะไม่มี “กงสี” ให้กับลูกหลาน   การทะเลาะกันของลูกหลานนั้นผมคิดว่าไม่คุ้มค่า  ดังนั้น  ถ้าผมมีกงสี  เช่นเดียวกับที่หลายคนมี  ผมก็จะ “จัดการ” ทุกอย่างที่จะทำให้อนาคตของกิจการและลูกหลานไม่มีปัญหา  และนั่นก็คือสิ่งที่ทุกคนต้องการไม่ใช่หรือ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘