เปิดโปงขบวนการรัฐปัตตานี โดย..สอาด จันทร์ดี บทที่ 19 โจรปัตตานีรุกทางการเมืองหนัก
ปี พ.ศ
2527 - 2549
เมื่อประเทศไทย
ได้ออกคำสั่งที่
66/2533 สถานการณ์บ้านเมือง เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ประดา ผกค.ทั้งหลาย ได้ยินยอมพร้อมใจวางอาวุธ
หันหน้าเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย โจรปัตตานีที่เคยมีบทบาทร่วมกับ ผกค.ได้แยกตัวออกไป
แล้วดำรงสภาพของตนไว้
แต่เป็นการดำรงทีฝ่ายรัฐบาลไม่ได้รับรู้ด้วย อีกอย่างหนึ่ง
ฝ่ายรัฐบาลไม่เคยมีโจทย์กับตนเองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของชนเผ่าใหญ่อีกเผ่าหนึ่ง
คือคนไทยเชื้อสายมลายู
แล้วก็สรุปเอาเองว่า
ประเทศไทยไม่มีปัญหาการเหยียดผิว ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติศาสนา
แล้วเราก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้
แท้ที่จริง พี่น้องใน
3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ถูกปลุกระดมเละตุ้มเป๊ะจนยากที่จะแก้คืน
นอกจากยากที่จะแก้คืนดังกล่าวนั้นแล้ว เรายังหมดโอกาสรู้ความจริง
มันเนื่องมาจากนักการเมืองไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อความมั่นคงของชาติ
ไม่ใส่ใจในปัญหาของชาติอย่างรอบด้าน
นักการเมืองในท้องถิ่นปิดบังซ่อนเร้นเรื่องราวให้ลี้ลับอย่างมิดชิด
หน่วยข่าวกรองชาติ
ก็มุ่งประเด็นโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จนลืมเรื่องอื่นทั้งหมด
นักการเมืองของไทย
ส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา
เป็นสักแต่พุทธในชื่อ ส่วนความเชื่อ
ความรับผิดชอบ ไม่มีเหลืออยู่ในตัวของนักการเมืองเลย
โจรปัตตานี
จึงเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง แต่พวกเขาจะไม่แสดงออกให้ปรากฏเห็น
ไม่มีการกระทำที่ส่อไปถึงความต้องการว่าจะแบ่งแยกดินแดน
แต่ถ้าจะสังเกตให้ดี
เราจะพบเห็นข้อเรียกร้องและการปฏิบัติที่กระทบต่อพระพุทธศาสนา
เช่นเรียกร้องไม่ให้สอนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน
ให้ขนย้ายพระพุทธรูปออกไปจากที่ตั้ง ห้ามประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ
โจรปัตตานีรุกทางการเมืองอย่างได้ผล และทวีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ
ในสภาท้องถิ่นและสภาระดับชาติ
ได้มีตัวแทนของพี่น้องอิสลามชนะการเลือกตั้งเข้ามาจำนวนไม่น้อย
ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในนโยบายปรับปรุงรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาเอง
อิทธิพลทางความคิดที่โจรปัตตานีเดินงาน แล้วส่งออกสู่สังคม
บังคับโดยอัตโนมัติ
ให้นักการเมืองไทยวางตัวเป็นศัตรูกับพุทธศาสนาของตัวเองอย่างไม่รู่ตัว
ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.
2540
ที่ถูกคณะปฏิวัติเชือดทิ้งไปแล้วนั้นไม่ยินยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
คนพุทธมากกว่า
2
ล้านคนล่าชื่อส่งสภาก็ไม่มีผลอะไรเลย
นักการเมืองเพิกเฉย
แถมมีการพูดว่า
"ถ้าทำอย่างนั้น ระวังเลือดจะท่วมท้องช้าง" ..!!
นับแต่บัดนั้น
สถานการณ์หลายอย่างได้บีบคั้นพระพุทธศาสนาและชาวพุทธรุนแรง
แต่ชาวพุทธทั้งปวงก็ยังคงตั้งอยู่ในความสงบ
ไม่ได้มีความโกรธแค้นให้อิสลามอะไรทั้งสิ้น
ด้านอิสลามนั้น
เริ่มปรากฏขึ้นในสถาบันการเมืองอย่างโดดเด่น เช่น
บางท่านได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี
บางท่านเป็นรัฐมนตรี
และบางท่านได้เป็นประธานสภา
และในสภาก็มีนักการเมืองอิสลามอย่างมีหน้ามีตาหลากหลายมากขึ้น
คนไทยพากันต้อนรับนักการเมืองสายอิสลามด้วยความเต็มใจ เพราะจะได้อวดกับชาวโลกได้ว่า
ประเทศไทยไม่มีการกีดกันคนศาสนาอื่น คนไทยพุทธแอบภูมิใจกับความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องอิสลาม
ด้วยความรู้สึกจากน้ำใสใจจริง
คนพุทธไม่เคยออกปากคัดค้านและไม่ขัดขวางไม่ว่ากรณีใด
เพราะถือว่าทุกคนเป็นเสมือนหนึ่งลูกพ่อเดียวกัน...เอากันง่ายๆ
19
กันยายน 2549
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็นอิสลามขนานแท้
ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ
เมื่อปฏิวัติเสร็จ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
"คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ"
หรือ คมช. โดยท่าน
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
ทำหน้าที่เป็นประธาน คมช.
คนไทยก็พากันต้อนรับทั่วประเทศ
ประเทศไทยทั้งประเทศน้อมใจรับ
โดยไม่ได้นึกถึงความแตกต่างทางศาสนา
แต่ในเวลาเดียวกันที่คนไทยน้อมใจรับ โจรกลับบั่นคอพี่น้องชาวพุทธที่
3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศฆ่าและขับไล่ใสส่ง
"คนพุทธ" สถานเดียว
ขณะเขียนต้นฉบับให้กับหนังสือเล่มนี้ (26 พฤศจิกายน
2549)
ผมพักอยู่โรงแรมไดอิชิ หาดใหญ่
พอตื่นขึ้นมาก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่จังหวัดยะลาว่า โจรป่าพวกนั้น
โปรยใบปลิวข่มขู่ไทยพุทธ
ประกาศปิดร้าน ถ้าไม่เชื่อ จะเอาให้ร้องไม่ออก
ผมรับโทรศัพท์ด้วยความตกใจ
คิดไม่ถึงว่าตอนที่เข้าไปทำงานที่โรงแยกแก๊สใหม่ๆ
ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดนี้...แต่วันนี้มันร้ายเกินกว่าคิดมากมายยิ่งนัก
เพื่อนบอกว่าโจรปิดเมือง ปิดหมู่บ้าน
ตัดการติดต่อกับราชการ
ไม่ให้ชาวพุทธขยับเขยื้อนได้
ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ
ยังถูกตรึงอยู่กับที่ แต่พวกโจรปัตตานี
และชาวบ้านแนวร่วมทั้งหมดมีอิสรภาพไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี
ประหนึ่งไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
แต่คนพุทธกลายเป็นคนต้องห้ามในแผ่นดินของตน คนที่หลบไปพึ่งวัดเกือบจะบ้าอยู่แล้ว
ผมตระหนักกับตนเองว่า
โจรปัตตานีไม่ใช่รุกหนักแต่ทางการเมืองเท่านั้น
ยังรุกหนักทางอาวุธอย่างเข้มข้นรุนแรงในรอง
100 ปี สถานการณ์แบบนี้ จะต้องมีการชี้ขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
ในโอกาสข้างหน้าในไม่นาน
หรือกล่าวให้ชัด
เมื่อเหตุการณ์รุนแรงอย่างเป็นระบบมาถึงขั้นนี้ จะให้เรื่องจบลงง่ายๆ
เป็นไปไม่ได้เลย โอกาสที่จะแตกหักไปข้างหนึ่ง
จะต้องมีขึ้น
การกระทำครั้งนี้
โจรปัตตานีเขาคงจะมี
"หัวหน้าใหญ่"
บัญชาการอยู่ไม่ไกล
แน่ๆ เชียว ไม่เช่นนั้น
จะไม่ประสบผลสำเร็จได้ขนาดนี้
แต่ฝ่ายรัฐบาล ก็ยังบอกไม่ได้ว่า
ใครคือจอมบงการเคยเห็นฝ่ายรักษาความสงบพูดมาหลายครั้ง
จะตะครุบหัวหน้าใหญ่ให้ได้ จนแล้วจนรอด
ยังไม่ได้แม้แต่กลิ่น...มันช่างลึกลับอำมืดอย่างไม่น่าเชื่อ
?
ผมตรวจดูระยะเวลาตั้งแต่ปี
2527 ถึง 2549 รวม 22 ปี
เป็นช่วงที่โจรปัตตานีได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
ดีกว่าทุกยุค
จึงเป็นการยากที่รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ให้สงบเงียบลงได้โดยง่าย
และเดาไม่ถูกว่าจะบานปลายร้ายแรงถึงขั้นเป็นสงครามหรือไม่