นักธรรมเอก วินัยมุขเล่ม ๓
นักธรรมเอก วินัยมุขเล่ม
๓
กัณฑ์ที่ ๒๓
สังฆกรรม
มูลเหตุที่ให้เกิดสังฆกรรมมี
๒ คือ :-
๑. ภิกษุบริษัทมากขึ้น.
๒.
มีพระพุทธประสงค์จะให้สงฆ์เป็นใหญ่ในการบริหารคณะ.
คำสวดในสังฆกรรมที่ต้องใช้ มี
๒ คือ :-
๑. ญัตติ คำเผดียงสงฆ์.
๒. อนุสาวนา คำประกาศความปรึกษาและตกลงของสงฆ์.
สังฆกรรมแยกออกเป็น ๔ คือ :-
๑. อปโลกนกัมม์ กรรมที่ทำเพียงบอกกันในชุมนุมสงฆ์ ไม่มีญัตติ
และอนุสาวนา.
๒. ญัตติกัมม์ กรรมที่ทำเพียงตั้งญัตติ ไม่มีอนุสาวนา.
๓. ญัตติทุติยกัมม์ กรรมที่ทำด้วยตั้งญัตติและสวดอนุสาวนาหนเดียว.
๔. ญัตติจตุตถกัมม์ กรรมที่ทำด้วยตั้งญัตติและสวดอนุสาวนา ๓ หน.
(๑) อปโลกนกัมม์ มี
๕ คือ :-
๑. นิสสารณา คือนาสนะสามเณรผู้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า.
๒. โอสารณา
คือรับสามเณรรูปนั้นผู้ประพฤติเรียบร้อยแล้วเข้าหมู่.
๓. ภัณฑูกัมม์ บอกขออนุญาตปลงผมคนจะบวชที่ภิกษุจะทำเอง.
๔. พรหมทัณฑ์ คือประกาศไม่ว่ากล่าวภิกษุหัวดื้อว่ายาก.
๕. กัมมลักขณะ เช่นอปโลกน์แจกอาหารในโรงฉันเป็นต้น.
(๒) ญัตติกัมม์ มี ๙
คือ :-
๑. โอสารณา คือเรียกอุปสัมปทาเปกขะที่ถามอันตรายิกธรรมแล้ว
เข้าไปในสงฆ์.
๒. นิสสารณา คือประกาศถอนพระธรรมกถึก ฯ ล ฯ
๓. อุโบสถ.
๔. ปวารณา.
๕. สมมติต่างเรื่อง เช่นสมมติตนเป็นผู้ถามอันตรายิกธรรมเป็นต้น.
๖.
ให้คืนจีวรและบาตรเป็นต้น
ที่เป็นนิสสัคคีย์ ฯ ล ฯ
๗.
รับอาบัติอันภิกษุแสดงในสงฆ์.
๘. ประกาศเลื่อนปวารณา.
๙. กัมมลักขณะ
คือประกาศเริ่มต้นระงับอธิกรณ์ด้วยติฯวัตถารกวินัย.
(๓) ญัตติทุติยกัมม์ มี
๗ คือ :-
๑. นิสสารณา คือคว่ำบาตร.
๒. โอสารณา คือหงายบาตร.
๓. สมมติต่างเรื่อง เช่นสมมติสีมาเป็นต้น.
๔. ให้ต่างอย่าง เช่นให้ผ้ากฐินเป็นต้น.
๕.
ประกาศถอนหรือเลิกอานิสงส์กฐินเป็นต้น.
๖.
แสดงที่สร้างกุฎีให้แก่ภิกษุ.
๗. กัมมลักขณะ คือญัตติทุติยกัมม์ที่สวดในลำดับไปในการระงับ
อธิกรณ์ด้วยติณวัตถารกวินัย.
(๔) ญัตติจตุตถกัมม์ มี
๗ คือ :-
๑. นิสสารณา คือสงฆ์ทำกรรม
๗ อย่าง มีตัชชนียกัมม์เป็นต้น.ฅ
๒. โอสารณา คือสงฆ์ระงับกรรม ๗ อย่างนั้น.
๓. สมมติ คือสมมติภิกษุเป็นผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุณี.
๔. ให้
คือให้ปริวาสและมานัตแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๕. นิคคหะ
คือปรับภิกษุผู้ประพฤติปริวาสหรือมานัตอยู่ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสซ้ำเข้าอีก ให้ตั้งต้นประพฤติใหม่.
๖. สมนุภาสนา คือสวดห้ามภิกษุไม่ให้ถือรั้นการอันมิชอบ.
๗. กัมมลักขณะ ได้แก่อุปสมบทและอัพภาน.
จำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรม ๔
ประเภทนี้ มี ๔ คือ
:-
๑. จตุรวรรค สงฆ์มีจำนวน
๔ รูป.
๒. ปัญจวรรค "
" ๕ "
๓. ทสวรรค "
" ๑๐ "
๔. วีสติวรรค "
" ๒๐ "
สังฆกรรม
๔ ประเภทนั้น
มีกำหนดจำนวนสงฆ์อย่างต่ำ
สำหรับทำกรรมนั้น ๆ
ดังนี้ คือ :-
๑. สงฆ์จตุรวรรค
ทำสังฆกรรมได้ทุกอย่างเว้นแต่ปวารณา ให้ผ้า กฐิน
อุปสมบท และอัพภาน.
๒. สงฆ์ปัญจวรรค
ทำปวารณา ให้ผ้ากฐิน อุปสมบทในปัจจันต-ชนบท.
๓.
สงฆ์ทสวรรค ให้อุปสมบทในมัธยมชนบท.
๔. สงฆ์วีสติวรรค
ทำอัพภาน.
กรรมที่สงฆ์มีจำนวนน้อยกว่าทำได้
สงฆ์มีจำนวนมากกว่าทำได้โดยแท้.
ภิกษุผู้ควรเข้ากรรมได้ต้องประกอบด้วยองค์
๓ คือ :-
๑. เป็นภิกษุปกติ.
๒. มีสังวาสเสมอด้วยสงฆ์.
๓. เป็นสมานสังวาสของกันและกัน.
กรรมย่อมวิบัติโดยเหตุ ๔ ประการ
คือ :-
๑. วิบัติโดยวัตถุ.
๒. "
สีมา.
๓. "
ปริสะ.
๔. "
กรรมวาจา.
(๑)
กรรมวิบัติโดยวัตถุ เพราะเหตุ ๔ คือ
:-
๑.
อุปสมบทคนที่มีอายุหย่อนกว่า
๒๐ ปี.
๒. " คนที่เป็นอภัพพบุคคล.
๓.
สมมติสีมาคาบเกี่ยวหรือทับสีมาอื่น.
๔. ทำผิดระเบียบ.
(๒)
กรรมวิบัติโดยสีมาเพราะเหตุเหล่านี้เป็นต้น คือ :-
๑. สมมติสีมาใหญ่เกินกำหนด.
๒. สมมติสีมาเล็กเกินกำหนด.
๓. สมมติสีมามีนิมิตขาด.
๔. สมมติสีมามีฉายาเป็นนิมิต.
๕. สมมติสีมาไม่มีนิมิต.
(๓) กรรมวิบัติโดยปริสะ เพราะเหตุ
๓ คือ :-
๑.
ภิกษุผู้เข้าประชุมเป็นสงฆ์ไม่ครบกำหนดตามหน้าที่สังฆกรรม.
๒. สงฆ์ครบกำหนดแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรนำมา.
๓.
มีผู้คัดค้านกรรมอันสงฆ์กระทำ.
(๔)
กรรมวิบัติโดยกรรมวาจานั้น
เพราะเหตุ ๗ คือ :-
๑. ไม่ระบุวัตถุ.
๒. " สงฆ์.
๓. " บุคคล.
๔. ไม่ตั้งญัตติ.
๕. ตั้งญัตติต่อภายหลัง.
๖.
ทิ้งอนุสาวนาในกรรมวาจาที่มีอนุสาวนา.
๗. สวดในกาลที่ไม่ควร.
ไม่ระบุวัตถุแยกเป็น ๓ คือ
:-
๑. ไม่ระบุคน. เช่นผู้อุปสมบท ในการอุปสมบท.
๒. ไม่ระบุของ. เช่นผ้ากฐิน
ในการให้ผ้ากฐิน.
๓. ไม่ระบุการที่ปรารภ. เช่นการสมมติสีมา.
ไม่ระบุบุคคลแยกเป็น ๒ คือ
:-
๑. ไม่ระบุชื่ออุปัชฌาย์ ในการอุปสมบท.
๒.
ไม่ระบุชื่อภิกษุผู้รับ
ในการให้ผ้ากฐิน.
ในคำว่าทิ้งอนุสาวนามีเกณฑ์อยู่ ๓ คือ
:-
๑. สวดอนุสาวนาไม่ครบกำหนด.
๒. สวดให้ตกหล่น.
๓. สวดผิด.
(ข้อ ๒-๓ ถ้ามีในญัตติด้วย เข้าใจว่าเสียเหมือนกัน)
ผู้สวดกรรมวาจาต้องสนใจในประเภทพยัญชนะ ๑๐ คือ
:-
๑. สิถิล พยัญชนะออกเสียงเพลา ได้แก่พยัญชนะที่ ๑ ที่ ๓
ใน วรรคทั้ง ๕.
๒. ธนิต พยัญชนะออกเสียงแข็ง ได้แก่พยัญชนะที่ ๒ ที่ ๔
ในวรรคทั้ง ๕.
๓. ทิฆะ สระที่ออกเสียงยาว.
๔. รัสสะ สระที่ออกเสียงสั้น.
๕. ครุ สระที่มีพยัญชนะสังโยค.
๖. ลหุ สระที่ไม่มีพยัญชนะสังโยค.
๗. นิคคหิต อักขระที่ว่ากดเสียง.
๘. วิมุต อักขระที่ว่าปล่อยเสียง.
๙. สัมพันธ์ บทเข้าสนธิเชื่อมกับบทอื่น.
๑๐. ววัตถิตะ บทแยกกัน.
กรรมย่อมเสียเพราะว่าผิดพลาดในประเภทพยัญชนะ ๔ คือ
:-
๑. ว่าสิถิลเป็นธนิต เช่นว่า
" สุณาตุ เม " เป็น
" สุณาถุ เม."
๒. ว่าธนิตเป็นสิถิล เช่นว่า
" ภนฺเต สงฺโฆ " เป็น
"พนฺเต สงฺโค."
๓. ว่าวิมุตเป็นนิคคหิต เช่นว่า
" เอสาตฺติ " เป็น " เอส
ตฺติ."
๔. ว่านิคคหิตเป็นวิมุต เช่นว่า
" ปตฺตกลฺล " เป็น " ปตฺตกลฺลา."
(ส่วนอีก ๖ สถานนั้น ว่ากลับกันหรือแยกกัน กรรมวาจาไม่เสีย แต่ควรว่าให้ถูกและดี)
กัณฑ์ที่ ๒๔
สีมา
คำว่า สีมา แปลว่าเขตหรือแดน มี
๒ คือ :-
๑. พัทธสีมา แดนที่ผูก
ได้แก่เขตที่สงฆ์กำหนดเอาเอง.
๒. อพัทธสีมา แดนที่ไม่ได้ผูก ได้แก่เขตที่เขากำหนดไว้โดยปกติ
ของบ้านเมือง หรือมีอย่างอื่นเป็นเครื่องกำหนด.
พัทธสีมา มีขนาด
๒ อย่าง คือ :-
๑. สีมาเล็กพอจุภิกษุ ๒๑ รูปได้นั่งหัตถบาสกัน.
๒. สีมาใหญ่ไม่เกินกว่า ๓ โยชน์.
วัตถุที่ควรใช้เป็นนิมิตมี ๘ คือ :-
๑. ภูเขา.
๒. ศิลา.
๓. ป่าไม้.
๔. ต้นไม้.
๕. จอมปลวก.
๖. หนทาง.
๗. แม่น้ำ.
๘. น้ำ.
(๑)
ภูเขาที่ใช้ได้มี ๓ คือ :-
๑. ภูเขาดินล้วน. ๒. ภูเขาศิลาล้วน.
๓. ภูเขาศิลาปนดิน.
(๒) ศิลาที่ใช้ได้ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
:-
๑. ศิลาแท้หรือศิลาเจือแร่. ๒. สัณฐานโตไม่ถึงช้าง เท่าศีรษะโคหรือกระบือเขื่อง ๆ.
๓. เป็นศิลาแท่งเดียว. ๔. อย่างเล็กเท่าก้อนน้ำอ้อย หนัก
๓๒ ปะละ.
(๓) ศิลาอีก
๓ ชนิดก็ใช้ได้ คือ :-
๑. ศิลาดาด. ๒. ศิลาเทือก. ๓. ศิลาดวด.
(๔) ป่าไม้ที่ใช้ได้ประกอบด้วยองค์ ๒ คือ
:-
๑.
หมู่ไม้มีแก่นหรือหมู่ไม้ชนิดเดียวกับไม้มีแก่น.
๒.
ขึ้นเป็นหมู่กันอย่างต่ำเพียง ๔-๕
ต้น.
หัวข้อแห่งการผูกพัทธสีมาในบัดนี้ มีดังนี้
คือ :-
๑. พื้นที่อันจะสมมติเป็นสีมาต้องได้รับอนุญาตจากบ้านเมืองก่อน.
๒.
ต้องประชุมภิกษุผู้อยู่ในเขตสีมาหรือนำฉันทะของเธอมา.
๓. สวดถอน.
๔. เตรียมนิมิตไว้ตามทิศ.
๕. เมื่อสมมติสีมา ต้องประชุมภิกษุผู้อยู่ในภายในนิมิต.
๖. ทักนิมิต.
๗. สวดสมมติสีมา.
การทักนิมิตสีมาสองชั้นมี ๒
วิธี คือ :-
๑. ทักสลับกัน. ๒. ทักข้ามลูก.
ประโยชน์ของการสมมติสีมาสองชั้น มี
๓ คือ :-
๑. เขตนิสัย เขตลาภ
แผ่ไปทั่วถึง.
๒.
ของสงฆ์อาจรวมเป็นเจ้าของเดียวกัน.
๓. สังฆกรรรรมทำได้สะดวก.
พัทธสีมาในบัดนี้ มี
๓ คือ :-
๑. ขัณฑสีมา.
๒. มหาสีมา (สีมาผูกทั่ววัด).
๓. สีมาสองชั้น.
อพัทธสีมา มี ๓ คือ
:-
๑. คามสีมาหรือนิคมสีมา.
๒. สัตตัพภันตรสีมา.
๓. อุทกุกเขป.
(นับวิสุงคามสีมาตามอรรถกถาเข้าด้วยเป็น
๔)
น่านน้ำที่สงฆ์จะกำหนดเป็นอุทกุกเขปได้ มี
๓ คือ
๑. นที แม่น้ำ.
๒. สมุทร ทะเล.
๓. ชาตสระ ที่ขังน้ำอันเป็นเอง.
แม่น้ำที่จะใช้เป็นแดนอุทกุกเขปได้นั้น
ต้องประกอบด้วยองค์ ๒ คือ :-
๑. แม่น้ำมีกระแสน้ำ มีน้ำไม่ขาดแห้งตลอดฤดูฝน.
๒.
มีน้ำลึกพออันจะเปียกอันตรวาสก
ของภิกษุณีผู้ครองเป็นปริมณฑล เดินข้ามอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง.
ลำคลองที่จะถือเป็นแม่น้ำได้
ต้องประกอบด้วยลักษณะเช่นนี้ คือ
:-
๑. คลองนั้นมีกระแสน้ำเซาะกว้างออกไปแล้ว พ้นจากความเป็นของ คนขุด
(เช่นลำน้ำในระหว่าปากเกร็ด).
๒.
คลองนั้นเป็นทางแม่น้ำเก่า
(เช่นคลองบางใหญ่).
ชาตสระนั้น มี ๓ คือ
:-
๑. บึง.
๒. หนอง.
๓. ทะเลสาบ.
สถานที่ ๆ
จะทำสังฆกรรมในน่านน้ำ ๓ ชนิด คือ :-
๑. จะทำบนเรือ.
๒. จะทำบนแพ.
๓.
จะทำบนร้านที่ปลูกขึ้นในน้ำ
(ย่อมทำได้ทั้งนั้น).
หาดที่จะกำหนดเอาโดยฐานเป็นอุทกุกเขปได้นั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๒ คือ
:-
๑. หาดนั้นน้ำยังท่วมถึง แม้เฉพาะในฤดูน้ำ.
๒. ยังเป็นที่สาธารณะ ไม่เปิดให้จับจอง.
สีมาสังกระ ๔
๑. สมมติสีมาคาบเกี่ยวกัน.
๒.
วัตถุพาดพิงถึงกันในระหว่างสีมาทั้งสอง.
๓.
สงฆ์สองหมู่จะทำสังฆกรรมเวลาเดียวกัน
ไม่เว้นระหว่างแนว สงฆ์ให้ห่างกันพอได้ตามกำหนด.
๔. ทำสังฆกรรมในเรือหรือแพที่ผูกกับหลักปักไว้บนตลิ่ง หรือทำในที่ไม่ได้กำหนดจามอุทกุกเขป.
กัณฑ์ที่ ๒๕
สมมติเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์
ภิกษุผู้ควรเลือกเป็นเจ้าหน้าที่นั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
:-
๑.
ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
๒. " " เกลียดชัง ๔ นี้เป็นองค์สรรพ-
๓. " " งมงาย สาธารณะ
๔. " " กลัว
๕.
เข้าใจการทำหน้าที่อย่างนั้น
(นี้องคฺเฉพาะ).
เจ้าหน้าที่อันสงฆ์พึงสมมติ มี
๕ คือ :-
๑. เจ้าอธิการแห่งจีวร.
๒. เจ้าอธิการแห่งอาหาร.
๓. เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ.
๔. เจ้าอธิการแห่งอาราม.
๕. เจ้าอธิการแห่งคลัง.
(๑) หน้าที่เจ้าอธิการแห่งจีวรแบ่งออกเป็น ๓ คือ
:-
๑. จีวรปฏิคคาหกะ เป็นผู้รับจีวร.
๒. จีวรนิทหกะ เป็นผู้เก็บจีวร.
๓. จีวรภาชกะ เป็นผู้แจกจีวร.
(๑) ข้อที่จีวรปฏิคคาหกภิกษุพึงรู้ดังนี้ คือ :-
๑. จีวรที่เขาถวายแก่สงฆ์ ที่ตนมีหน้าที่อุปัฏฐาก ควรรับ.
๒.
จีวรที่เขาถวายแก่สงฆ์
ที่ตนไม่มีหน้าที่อุปัฏฐาก
และที่เขาถวายเป็น
ปาฏิบุคคล ไม่ควรรับ.
๓. จีวรประเภทไร มีจำนวนเท่าไร รับไว้หรือมิได้รับไว้ ควรรู้ด้วย.
จีวรที่เขาถวายแก่สงฆ์มีเกณฑ์แห่งคำถวาย
ดังนี้
คือ :-
๑. ข้าพเจ้าถวายในสีมาหรือแก่สีมา.
๒.
ข้าพเจ้าถวายตามกติกาของสงฆ์.
๓. ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์.
๔.
ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว.
จีวรที่เขาถวายเป็นปาฏิบุคลิกมีเกณฑ์
ดังนี้ คือ :-
๑. จีวรที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้ได้รับภัตตาหารของเขา.
๒.
จีวรที่เขาถวายแก่ภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะของเขา.
๓.
จีวรที่เขาแก่ภิกษุผู้ได้รับอุปัฏฐากอย่างอื่นของเขา.
๔.
จีวรที่เขาถวายแก่ภิกษุเฉพาะรูป.
(๒) ข้อที่จีวรนิทหกภิกษุพึงรู้ดังนี้ คือ :-
๑. ผ้าอัจเจกจีวรที่เขาถวาย ควรเก็บไว้จนกว่าจะออกพรรษา แล้ว
จึงแจกแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษา.
๒.
จีวรที่เขาถวายไม่พอแจก
ควรเก็บไว้จนกว่าจะได้มาพอแจกกัน.
๓.
จีวรที่เขาถวายพอแจกทั่วกัน
มิใช่อัจเจกจีวร ไม่ควรเก็บ.
๔. จีวรมีจำนวนเท่าไร เก็บไว้หรือมิได้เก็บไว้ ควรรู้ด้วย.
(๓)
ข้อที่จีวรภาชกภิกษุพึงรู้ดังนี้
คือ :-
๑.
จีวรที่เขาถวายไม่นิยมเป็นพิเศษ
พอแจกทั่วกัน ควรแจก.
๒.
จีวรที่เขาถวายเป็นผ้ากฐิน
หรือเป็นมูลแห่งเสนาสนปัจจัย
ไม่ ควรแจก.
๓. จีวรมีจำนวนเท่าไร แจกไปหรือไม่ได้แจก ควรรู้ด้วย.
จีวรภาชกภิกษุควรทำความกำหนด ๕
อย่าง คือ :-
๑. พึงกำหนดเขต.
๒. " " กาล.
๓. " " วัตถุ
คือจีวร.
๔. " " บุคคล
คือสหธรรมิกผู้รับแจก.
๕. " " นิยมต่าง.
(๑) การกำหนดเขตนั้น มีข้อกำหนดอยู่ ๒ คือ
:-
๑. กำหนดอาวาสทั้งมวล.
๒. กำหนดอาวาสทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในเขตกติกาที่ได้ทำกันไว้.
(๒) กำหนดกาลนั้น
มีข้อกำหนดอยู่ ๓ คือ :-
๑. กำหนดจีวรกาลโดยปกติ.
๒.
กำหนดจีวรที่ขยายไปตลอดเหมันตฤดู
เพราะได้กรานกฐิน.
๓. กำหนดกาลที่พ้นจีวรกาลไปแล้ว.
(๓) การกำหนดวัตถุนั้น มีข้อกำหนด
๖ คือ :-
๑.
เป็นของเหมือนกันหรือแผกกัน.
๒. ที่แผกกันเป็นผ้าชนิดไร.
๓. ดีเลวอย่างไร.
๔. ราคาถูกแพงเป็นอย่างไร.
๕. เป็นจีวรชนิดไรบ้าง.
๖. ไตรจีวรอย่างไหน มีจำนวนเท่าไร.
(๔) การกำหนดบุคคลนั้น มีข้อกำหนดอยู่ ๒ คือ :-
๑. เป็นภิกษุ.
๒. เป็นสามเณร.
(๕) การกำหนดนิยมต่างกัน มีข้อกำหนดอยู่ ๓ คือ
:-
๑. ผ้าที่เขาถวายเป็นผ้ากฐิน.
๒.
ผ้าที่เป็นบริวารของผ้ากฐิน.
๓.
ผ้าไตรจีวรของภิกษุที่มรณะแล้ว.
(๒) หน้าที่เจ้าอธิการแห่งอาหารแบ่งออกเป็น ๔ คือ
:-
๑. ภัตตุทเทสกะ เป็นผู้แจกภัต.
๒. ยาคูภาชกะ เป็นผู้แจกยาคู.
๓. ผลภาชกะ เป็นผู้แจกผลไม้.
๔. ขัชชภาชกะ เป็นผู้แจกของเคี้ยว.
ข้อที่ภัตตุทเทสกภิกษุพึงรู้
ดังนี้
๑. ภัตไม่ได้นิยมต่าง เป็นของควรแจก.
๒. ภัตมีนิยมต่าง เป็นของไม่ควรแจก.
๓. ภัตที่แจกไม่ทั่วกัน แจกไปแล้วเพียงลำดับแค่ไหน ควรจำไว้.
(ภัตเป็นของควรแจก หรือไม่ควรแจกนั้น หมายเอาแจกทั่วไป).
ภัตมีนิยมต่างนั้น ในบาลี มี
๔ เพิ่มตามอรรถกถาอีก ๑เป็น
๕ คือ :-
๑. อาคันตุกภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุอาคันตุกะ.
๒. คมิยภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้จะไปอยู่ที่อื่น.
๓. คิลานภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุไข้.
๔. คิลานุปัฏฐากภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้พยาบาลไข้.
๕. กุฏิภัต อาหารที่เขาถวายแก่ภิกษุผู้อยู่ในกุฏีที่เขาสร้าง (ข้อนี้มีในอรรถกถา).
การแจกภัต มี ๒
อย่าง คือ :-
๑.
แจกอาหารอันเขานำมามอบถวาย.
๒. รับนิมนต์ไว้แล้ว ส่งพระไปรับที่บ้านเรือนของเขา.
ภัตที่ออกชื่อในบาลี มี
๗ อย่าง คือ :-
๑. สังฆภัต อาหารที่ถวายสงฆ์.
๒. อุทเทสภัต อาหารอุทิศสงฆ์.
๓. นิมันตนะ การนิมนต์หรืออาหารที่ได้ในที่นิมนต์.
๔. สลากภัต อาหารถวายตามสลาก.
๕. ปักขิกภัต อาหารถวายปักษ์ละ ๑ ครั้ง.
๖. อุโปสถถิกภัต อาหารถวายในวันอุโบสถ.
๗. ปาฏิปทิกภัต อาหารถวายในวันปาฏิบท.
สังฆภัตนั้น
เขาถวายสงฆ์พอแจกทั่วกันในอาราม
มีวิธีถวาย ๒ คือ :-
๑. เขานำมาถวายเอง.
๒. เขาส่งมาถวายเอง.
อุทเทสภัตนั้น เขาถวายสงฆ์ไม่พอแจกทั่วกันในอาราม มีวิธีถวาย
๓ คือ :-
๑. เขานำมาถวายเอง.
๒. เขาส่งมาถวาย.
๓.
เขาขอสงฆ์ไปรับมาจากบ้านของเขา.
อานิสงส์แห่งข้าวยาคู มี
๕ คือ :-
๑. แก้หิว.
๒. ระงับระหาย.
๓. ยังลมให้เดินคล่อง.
๔. ชำระทางปัสสาวะ.
๕. ละลายอาหารดิบ.
ทางได้ผลไม้ มี ๔ คือ
:-
๑.
ผลไม้ที่เกิดขึ้นในสวนวัดที่ไวยาวัจกรจัดทำ.
๒.
ผลไม้ที่ผู้เช่าสวนวัดจัดทำ
เขาถวายตามส่วน.
๓. ผลไม้ที่ทายกส่งมาถวาย.
๔.
ผลไม้ที่เขาอนุญาตให้ไปเก็บเอาเองได้.
(๓) หน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ มี
๒ คือ :-
๑. เสนาสนคาหาปกะ มีหน้าที่แจกเสนาสนะให้ภิกษุถือ.
๒. เสนาสนปัญญาปกะ มีหน้าที่แต่งตั้งเสนาสนะ.
เสนาสนะที่จะพึงแจกให้ถือนั้น มี
๒ คือ :-
๑. แจกกุฎีให้ถือเป็นหลัง
ๆ หรือเป็นห้อง ๆ.
๒. แจกเตียงนอนให้ถือเป็นที่
ๆ.
การให้ถือเสนาสนะเนื่องด้วยสมัยในบาลี
มี ๓ คือ :-
๑. ปุริมิโก การให้ถือเมื่อวันเข้าปุริมพรรษา.
๒. ปจฺฉิมิโก " " พรรษาหลัง.
๓. อนฺตรามุตฺตโก การให้ถือในระหว่างพ้นจากนั้น.
การให้ถือเสนาสนะตามพระมติ มี
๒ คือ :-
๑. วสฺสูปนายิโก การให้ถือในวันเข้าพรรษา.
๒. ตพฺพิรินิมุตฺโต การให้ถือในคราวพ้นจากนั้น.
ภิกษุที่ไม่ควรย้ายเสนาสนะในเวลานอกพรรษา มี
๓ คือ :-
๑. ภิกษุผู้ทำอุปการะแก่สงฆ์.
๒. ภิกษุที่ได้ปฏิสังขรณ์เสนาสนะ สงฆ์ขออนุญาตให้อยู่มีกำหนด.
๓. ภิกษุผู้เป็นภัณฑาคาริก.
การแจกเสนาสนะ
พึงกำหนดเสนาสนะและฐานะของผู้ถือเสนาสนะด้วย คือ :-
๑. ถ้ากุฎีพอ พึงแจกให้ถือเป็นหลัง ๆ หรือแม้ทั้งบริเวณ มีไม่พอ
พึงผ่อนให้ถือเป็นห้อง ๆ
ถ้ากุฎีโถง พึงผ่อนให้ถือชั่วเตียงนอน
ชั่วที่นอนเป็นที่ ๆ.
๒.
ฐานะของผู้ถือเสนาสนะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย เป็นผู้ทำอุปการะแก่
สงฆ์หรือหามิได้ เป็นผู้เล่าเรียนหรือประกอบกิจในทางไร เป็นผู้
อาศัยหรือเป็นที่อาศัยของใครเป็นต้น.
(๔) หน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งอารามแบ่งออกเป็น ๒ คือ
:-
๑. การรักษาอาราม.
๒. การดูนวกรรม.
หน้าที่ของภิกษุผู้ดูนวกรรม มี
๒ คือ :-
๑.
เป็นผู้ดูการปลูกสร้างที่มีทายกเป็นเจ้าของ.
๒.
เป็นผู้ดูการปฏิสังขรณ์สิ่งหักพังชำรุดในอาราม.
(๕) หน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งคลังแบ่งออกเป็น ๒ คือ
:-
๑. ภัณฑาคริก มีหน้าที่รักษาคลังเก็บพัสดุของสงฆ์.
๒. อัปปมัตตกวิสัชชกะ มีหน้าที่จ่ายของเล็กน้อยให้แก่ภิกษุ.
ข้อที่ภัณฑาคาริกภิกษุพึงรู้ดังนี้
คือ :-
๑. ของที่เป็นครุภัณฑ์ควรเก็บ.
๒.
ของที่เป็นลหุภัณฑ์ไม่ควรเก็บ.
ในเสนาสนขันธ์มีสมมติอีก ๒ คือ :-
๑.
สมมติให้เป็นผู้รับผ้าสาฎก
เรียกสาฎิยคาหาปกะ.
๒.
สมมติให้เป็นผู้รับบาตร
เรียกปัตตคาหาปกะ.
กัณฑ์ที่
๒๖
กฐิน
องค์กำหนดสิทธิของภิกษุผู้จะกรานกฐิน มี
๓ คือ :-
๑.
เป็นผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสไม่ขาด.
๒. อยู่อาวาสเดียวกัน.
๓. ภิกษุมีจำนวนแต่ ๕ รูปขึ้นไป.
ผ้าอันเป็นวัตถุแห่งกฐิน มี
๕ คือ :-
๑. ผ้าใหม่.
๒. ผ้าเทียมใหม่.
๓. ผ้าเก่า.
๔. ผ้าบังสุกุล.
๕. ผ้าตกตามร้าน.
ผ้าอันไม่ควรใช้เป็นวัตถุแห่งกฐิน
มี ๒ คือ :-
๑. ผ้าที่ไม่ได้เป็นสิทธิ.
๒.
ผ้าที่ได้มาโดยอาการอันมิชอบ
คือ ทำนิมิตและพูดเลียบเคียง.
๓. ผ้าเป็นนิสัคคีย์.
๔. ผ้าที่เก็บค้างคืนไว้ (หมายเอาผ้ากฐินที่ทำค้างคืนไม่เสร็จในวัน
เดียว).
องค์แห่งภิกษุผู้ควรกรานกฐินตามบาลี
มี ๘ คือ :-
๑. รู้จักบุพพกรณ์.
๒. รู้จักถอนไตรจีวร.
๓. รู้จักอธิษฐานไตรจีวร.
๔. รู้จักการกราน.
๕. รู้จักมาติกา.
๖. รู้จักปลิโพธิกังวล.
๗. รู้จักการเดาะกฐิน.
๘. รู้จักอานิสงส์กฐิน.
บุพพกรณ์ มี ๗ คือ
:-
๑. ซักผ้า.
๒. กะผ้า.
๓. ตัดผ้า.
๔. เนาหรือด้นผ้าที่ตัดแล้ว.
๕. เย็บเป็นจีวร.
๖. ย้อมจีวรที่เย็บแล้ว.
๗. ทำกัปปะ คือ
พินทุ.
คำว่า " ถ้าผ้ากฐินนั้นมีบริกรรมสำเร็จแล้ว
" มีสันนิษฐานเป็น ๒
นัย คือ :-
๑.
หมายเอาผ้าที่เย็บมาเสร็จแล้ว
๒. หมายว่าภิกษุผู้รับผ้านั้นขวนขวายทำเสร็จเป็นส่วนตน.
คำกรานผ้ากฐิน
อิมาย
สงฺฆาฏิยา กิน อติถรามิ
(สังฆาฏิ).
อิมินา
อุตฺตราสงฺเคน กิน อตฺถรามิ
(อุตตราสงค์).
อิมินา
อนฺตรวาสเกน กิน อตฺถรามิ
(อันตรวาสก).
คำบอกของผู้กราน (คือผู้รับ)
ในสงฆ์
อตฺถต
ภนฺเต สงฺฆสฺส กิน, ธมฺมิโก กินตฺถาโร อนุโมทถ.
(ถ้าผู้กรานแก่กว่าว่า " อตฺถต
อาวุโส ").
คำอนุโมทนากฐินของภิกษุทั้งหลาย
อตฺถต อาวุโส
สงฺฆสฺส กิน, ธมฺมโก กินตฺถาโร
อนุโมทามิ.
(ถ้าผู้อนุโมทนาอ่อนกว่าผู้กรานว่า " อตฺถต
ภนฺเต ").
ของที่เป็นบริวารแห่งกฐินควรได้แก่ใคร
มติอรรถกถาว่า
ถ้าทายกถวายเฉพาะภิกษุผู้กรานกฐินกล่าวว่า " เยน อมฺหาก
กิน คหิต, ตสฺเสว เทม "
แปลว่า "
ภิกษุรูปใดได้รับผ้ากฐินของพวกข้าพเจ้า ๆ ถวายแก่ภิกษุรูปนั้น " เช่นนี้
สงฆ์ไม่เป็นใหญ่
ถ้าเขาไม่ได้จำกัดไว้
ถวายก็แล้วไป สงฆ์เป็นใหญ่.
อานิสงส์แห่งการกรานกฐิน ๕ คือ
:-
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖
แห่งอเจลกวรรค.
๒.
เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับ (เพียง
๒ ผืน).
๓. ฉันคณโภชน์ได้ (และฉันปรัมปรโภชน์ได้).
๔.
เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา.
๕.
จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของได้แก่พวกเธอ.
(ทั้งได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลให้ยาวออกไปตลอด ๔ เดือนฤดูเหมันต์ด้วย).
อานิสงส์กฐินและการขยายเขตจีวรกาล ทรงอยู่ได้
เพราะมีปลิโพธ ๒ คือ :-
๑. อาวาสปลิโพธ กังวลในอาวาส.
๒. จีวรปลิโพธ กังวลในจีวร.
(ปลิโพธทั้ง ๒
นี้
แม้ยังเหลืออยู่เพียงอย่างเดียว
ก็ยังรักษาอยู่ก่อน).
การกำหนดความมีและความสิ้นแห่งปลิโพธทั้ง ๒ นั้น
ดังนี้ :-
๑.
ภิกษุยังอยู่ในอาวาสนั้น
หรือหลีกไป
ผูกใจอยู่ว่าจะกลับมา
ชื่อว่ายังมีอาวาสปลิโพธ.
๒. เธอหลีกไปจากอาวาสนั้นด้วยทอดธุระว่าจักไม่กลับ ชื่อว่าสิ้น
อาวาสปลิโพธ.
๓.
ภิกษุยังไม่ได้ทำจีวรเลย
หรือทำค้าง
หรือหายเสียในเวลาทำ
แต่ยังไม่สิ้นความหวังว่าจะได้จีวรอีก
ชื่อว่ายังมีจีวรปลิโพธ.
๔.
เธอทำจีวรเสร็จแล้วหรือกำลังทำค้างอยู่
ทำเสีย หายเสีย ไฟไหม้ เสีย
สิ้นความหวังว่าจะได้จีวรอีก
ชื่อว่าสิ้นจีวรปลิโพธ.(การเดาะกฐินเรียกเป็นศัพท์ว่า " กฐินุทฺธาโร " บ้าง
" กฐินุพฺภาโร "บ้าง
แปลว่า " รื้อไม้สะดึง
").
มาติกา (หัวข้อเพื่อเดาะกฐิน) ๘ คือ
:-
๑.
เดาะกฐินกำหนดด้วยหลีกไป
(ปกฺกมนฺนติกา).
๒.
การเดาะกฐินกำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ
(นิฏฺฐานนฺติกา).
๓.
เดาะกฐินด้วยสันนิษฐาน
(สนฺนิฏฺฐานนฺติกา).
๔.
เดาะกฐินกำหนดด้วยความเสียหรือความหาย
(นาสนนฺติกา).
๕.
เดาะกฐินกำหนดด้วยสิ้นหวัง
(อาสวจฺเฉทิกา).
๖.
เดาะกฐินกำหนดด้วยได้ยินข่าว
(สวนฺนติกา).
๗. เดาะกฐินกำหนดด้วยล่วงเขต (สีมาติกฺกนฺติกา).
๘.
เดาะกฐินพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย
(สหุพฺภารา).
กัณฑ์ที่ ๒๗
บรรพชาและอุปสมบท
บรรพชา
การบวชด้วยไตรสรณคมน์อาจแยกออกเป็น ๒
ตอน คือ :-
๑. การให้ครองผ้ากาสายะ (เป็นอันให้บรรพชา).
๒. การให้สรณคมน์ (เป็นอันให้อุปสมบท).
การบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาแยกได้เป็น ๒
ตอน คือ :-
๑. พระดำรัสว่า มาเถิดภิกษุหรือเป็นภิกษุมาเถิด (เป็นอันประทานบรรพชา).
๒. พระดำรัสว่า
ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด หรือว่าประพฤติพรหมจรรย์ (เป็นอันประทานอุปสมบท).
คำบอกภัณฑูกรรมชนิดที่พาบรรพชาเปกขะไปด้วย
บอกว่า :-
๑. สงฆ ภนฺเต อิมสฺส
ทารกสฺส ภณฺฑูกมฺม อาปุจฺฉามิ.
๒. อิมสฺส
สมณกรณ อาปุจฺฉามิ.
๓. อย ปพฺพชิตุกาโม (บอก ๓
ครั้ง ๒ ครั้ง หรือครั้งเดียวก็ได้).
คำแปล
๑. ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าบอกภัณฑูกรรมแห่งทารกนี้แก่สงฆ์.
๒.
ข้าพเจ้าบอกการทำทารกนี้ให้เป็นสมณะ.
๓. ทารกผู้นี้ใคร่จะบวช.
คำบอกภัณฑูกรรมชนิดที่ไม่พาบรรพชาเปกขะไปด้วย หรือ
ชนิดที่ส่งภิกษุหนุ่มหรือสามเณรไปบอกแทน
บอกว่า :-
เอโก
ภนฺเต ปพฺพชฺชาเปกฺโข อตฺถิ
ตสฺส ภณฺฑูกมฺมอาปุจฺฉามิ.
คำแปล
ท่านเจ้าข้า บรรพชาเปกขะมีอยู่ผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าบอกภัณฑูกรรมแห่งเขา.
อุปสมบท
ผู้ควรได้รับอุปสมบทต้องประกอบด้วยองคคุณ
๓ คือ :-
๑. เป็นผู้ชาย.
๒. มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์.
๓.
มิใช่อภัพบุคคลผู้ถูกห้ามโดยเด็ดขาด.
(เฉพาะบุรุษพิเศษมีอายุ ๒๐
โดยปี ท่านอนุญาต).
อภัพบุคคลจัดโดยวัตถุ มี ๓
พวก คือ :-
๑. พวกมีเพศบกพร่อง.
๒.
พวกประพฤติผิดพระธรรมวินัย.
๓.
พวกประพฤติผิดต่อกำเนิดของตน.
(๑) พวกมีเพศบกพร่องแยกออกเป็น ๒ คือ
:-
๑. บัณเฑาะก์.
๒. อุภโตพยัญชนก.
(๑) บัณเฑาะก์แยกออกเป็น ๓ คือ
:-
๑.ชายมีราคะกล้าประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและเย้ายวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น.๒.ชายผู้ถูกตอน
๓. กะเทยโดยกำเนิด.
(๒) พวกประพฤติผิดพระธรรมวินัยแยกออกเป็น ๗ คือ
:-
๑. คนฆ่าพระอรหันต์.
๒. คนทำร้ายภิกษุณี.
๓. คนลักเพศ (เถยยสังวาส).
๔. ภิกษูไปเข้ารีตเดียรถีย์.
๕.
ภิกษุต้องปาราชิกลักเพศไปแล้ว.
๖. ภิกษุผู้ทำสังฆเภท.
๗. คนทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต.
(๓) พวกประพฤติผิดต่อกำเนิดของตนแยกออกเป็น ๒ คือ
:-
๑. คนฆ่ามารดา.
๒. คนฆ่าบิดา.
ประเภทแห่งคนผู้ต้องห้ามบวชโดยอาการไม่สมควรมี ๒ คือ
:-
๑. บางพวกไม่ให้รับบรรพชา.
๒. บางพวกห้ามไม่ให้รับอุปสมบท.
พวกที่ถูกห้ามไม่ให้รับบรรพชา
มี ๘ พวก
คือ :-
๑.
คนมีโรคอันจะติดต่อกันเป็นต้น
คือโรค ๕ อย่าง มีโรคเรื้อน เป็นอาทิ.
๒. คนมีอวัยวะบกพร่อง คือมีมือเท้าขาดเป็นต้น.
๓.
คนมีอวัยวะไม่สมประกอบ
คือมีมือเป็นแผ่นเป็นต้น.
๔. คนพิการ คือคนตาบอดตาใสเป็นต้น.
๕. คนทุรพล คือคนแก่ง่อนแง่นเป็นต้น.
๖. คนมีเกี่ยวข้อง คือคนอันมารดาบิดาไม่ได้อนุญาตเป็นต้น.
๗. คนเคยถูกลงอาญาหลวง มีหมายปรากฏอยู่ คือคนถูกเฆี่ยน หลังลายเป็นต้น.
๘. คนประทุษร้ายความสงบ คือโจรผู้ร้ายที่ขึ้นชื่อโด่งดังเป็นต้น.
พวกที่ถูกห้ามไม่ให้อุปสมบท มี ๑๐
คือ :-
๑. คนไม่มีอุปัชฌาย์.
๒.
มีคนอื่นจากภิกษุเป็นอุปัชฌาย์.
๓. ถือสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์.
๔. ถือคณะเป็นอุปัชฌาย์.
๕. คนไม่มีบาตร.
๖. คนไม่มีจีวร.
๗. คนไม่มีทั้งบาตรทั้งจีวร.
๘. คนยืมบาตรเขามา.
๙. คนยืมจีวรเขามา.
๑๐. คนยืมทั้งบาตรทั้งจีวรเขามา.
บุรพกิจแห่งอุปสมบท มี
๑๑ คือ :-
๑. ให้บรรพชา.
๒. ขอนิสัย.
๓. ถืออุปัชฌาย์.
๔.
ขนานชื่อมคธแห่งอุปสัมปทาเปกขะ.
๕. บอกนามอุปัชฌาย์.
๖. บอกบาตรจีวร.
๗.
สั่งให้อุปสัมปทาเปกขะไปยืนข้างนอก.
๘. สมมติภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้ซักซ้อมอุปสัมปทาเปกขะถึงอันตรายิก-
ธรรม.
๙.
เรียกอุปสัมปทาเปกขะเข้ามาในสงฆ์.
๑๐. ให้ขออุปสมบท.
๑๑. สมมติภิกษุรูปหนึ่งสอบถามอุปสัมปทาเปกขะถึงอันตรายิกธรรม ในสงฆ์.
การจัดภิกษุผู้สวดกรรมวาจาเป็นคู่นั้น มีทางสันนิษฐาน ดังนี้ :-
ก.
ธรรมเนียมสวดอย่างอื่นมีสวดภาณวารเป็นต้น
สวดทีละคู่.
ข. สวดรูปเดียวอาจตกหล่น สวดคู่คงตกหล่นไม่พร้อมกัน เป็นอัน ทานกันอยู่ในตัวเอง รูปหนึ่งพลาดเป็นล่ม.
ค. เนื่องจากอุปสมบทคราวละคู่
รูปหนึ่งสวดกรรมวาจาสำหรับอุปสัมปทาเปกขะรูปหนึ่ง.
ปัจฉิมกิจ มี ๖ คือ
:-
๑. วัดเงาแดดในทันใด.
๒. บอกประมาณแห่งฤดู.
๓. บอกส่วนแห่งวัน.
๔. บอกสังคีติ.
๕. บอกนิสัย.
๖. บอกอกรณียกิจ ๔.
เงาแดดนั้นปันเป็น ๒ ภาค
คือ :-
๑. หายมานจฺฉายา เวลามีเงาเสื่อม.
๒. วฑฺฒมานจฺฉายา เวลามีเงาเจริญ.
กัณฑ์ที่ ๒๘
วิธีระงับวิวาทาธิกรณ์
วิวาทาธิกรณ์ในบาลีแจกไว้ ๙ คู่
คือ :-
๑. วิวาทกันว่า นี้เป็นธรรม
นี้ไม่เป็นธรรม.
๒. นี้เป็นวินัย นี้ไม่เป็นวินัย.
๓.
นี้พระตถาคตเจ้าตรัสภาษิตไว้
นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ตรัสภาษิตไว้.
๔.
นี้พระตถาคตเจ้าทรงประพฤติมา นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรง ประพฤติมา.
๕.
นี้พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้
นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้.
๖. นี้เป็นอาบัติ นี้ไม่เป็นอาบัติ.
๗. นี้เป็นอาบัติเบา นี้เป็นอาบัติหนัก.
๘.
นี้เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
นี้เป็นอาบัติหาส่วนเหลือไม่ได้.
๙. นี้เป็นอาบัติหยาบ นี้ไม่เป็นอาบัติหยาบคาย.
วิวาทมูลคือรากเง่าแห่งการเถียง มี
๒ คือ :-
๑.
ผู้ก่อขึ้นด้วยปรารถนาดี
คือเห็นแก่พระธรรมวินัย และมีจิต
สัมปยุตด้วย อโลภะ อโทสะ
อโมหะ.
๒.
ผู้ก่อขึ้นด้วยปรารถนาเลว
คือก่อขึ้นด้วยทิฏฐิมานะ แม้รู้ว่าผิดก็ขืน ทำ และประกอบด้วยโทษ ๖
คู่ คือ :-
คู่ที่ ๑
เป็นผู้มักโกรธ เป็นผู้ถือโกรธ.
คู่ที่ ๒
เป็นผู้ลบหลู่ เป็นผู้ตีเสมอท่าน.
คู่ที่ ๓
เป็นผู้มีปกติอิสสา
เป็นผู้มีปกติตระหนี่.
คู่ที่ ๔
เป็นผู้อวดดี เป็นผู้เจ้ามายา.
คู่ที่ ๕
เป็นผู้มีปรารถนาลามก
มีความเห็นผิด.
คู่ที่ ๖
เป็นผู้ถือแต่ความเห็นของตน
ถืออย่างแน่นแฟ้น
รวมเข้าในภาวะเป็นผู้มีจิตสัมปยุตด้วย
โลภะ โทสะ โมหะ.
วิวาทาธิกรณ์เรื่องใหญ่ ๆ
ท่านนำมากล่าวไว้ ๓ เรื่องคือ :-
๑.
เรื่องพระธรรมกถึกกับพระวินัยธร
เรื่องนี้จัดเข้าในเภทกรวัตถุ
ที่ ๒
และที่ ๖ ระงับด้วยยอมกันเอง.
๒.
เรื่องภิกษุชาววัชชีบุตรกล่าววัตถุ
๑๐ ประการ เรื่องนี้จัดเข้าใน
คู่ที่ ๒
สงฆ์ระงับตามลำพังด้วยการชี้ขาด.
๓. เรื่องเดียรถีย์ปลอมบวชในพระศาสนา เรื่องนี้จัดเข้าในคู่ที่ ๑
ระงับด้วยอำนาจอาณาจักร.
วัตถุ ๑๐ ประการ
(โดยย่อ) คือ :-
๑. เรื่องเกลือในเขนง (สิงฺคิโลณกปฺป).
๒. เรื่องสองนิ้ว (ทฺวงฺคุลิกปฺป).
๓. เรื่องเข้าละแวกบ้าน (คามนฺตรกปฺป).
๔. เรื่องอาวาส (อาวาสกปฺป).
๕. เรื่องอนุมัติ (อนุมติกปฺป).
๖. เรื่องเคยประพฤติมา (อาจิณฺณกปฺป).
๗. เรื่องไม่ได้กวน (อมถิตกปฺป).
๘. เรื่องสุราอย่างอ่อน (กปฺปติ
ชโลคึ ปาตุ).
๙. เรื่องผ้านิสีทนะ (กปฺปติ
อทสก นิสีทน).
๑๐. เรื่องเงินทอง (ชาตรูปรชต).
วิธีระงับวิวาทาธิกรณ์ครั้งที่
๒
คือประชุมภิกษุชาวปาจีนและชาวปาฐาที่วาลุการาม เมืองไพศาลี
เลือกภิกษุฝ่ายละ ๔ รูป
คือ :-
ภิกษุฝ่ายปาจีน ๔ รูป
คือ :-
๑. พระสัพพกามี.
๒. พระสาฬหะ.
๓. พระขุชชโสภิต.
๔. พระวาสภคามี.
ภิกษุฝ่ายปาฐา ๔ รูป
คือ :-
๑. พระเรวตะ.
๒. พระสัมภูตะ สาณวาสี.
๓. พระยศ กากัณฑกบุตร.
๔. พระสุมนะ.
ทางป้องกันวิวาทาธิกรณ์ในส่วนธรรมและวินัย พระศาสดาและพระสาวกได้ทำมา มี
๓ ทาง คือ :-
๑. ได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ อันระบุถึงหัวใจพระศาสนาในที่ประชุมสงฆ์เนือง
ๆ.
๒.
ได้ทรงตั้งธรรมเนียมทำสังฆอุโบสถ
ด้วยสวดปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน.
๓.
พระสาวกได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัย
ตั้งไว้เป็นแบบแผนเป็นคราว ๆ มา.
วิธีระงับวิวาทาธิกรณ์ มี ๒ คือ
:-
๑. สัมมุขาวินัย วิธีระงับต่อหน้า.
๒. เยภุยยสิกา วิธีระงับเป็นไปตามข้างมาก.
สัมมุขาวินัย มี ๓
วิธี คือ :-
๑. ด้วยการตกลงกันเอง.
๒. ด้วยการตั้งผู้วินิจฉัย.
๓. ด้วยอำนาจแห่งสงฆ์.
(๑) วิธีระงับด้วยการตกลงกันเองสงเคราะห์ด้วยองค์ ๔ คือ
:-
๑. สงฺฆสมฺมุขตา ความเป็นต่อหน้าสงฆ์.
๒. ธมฺมสมฺมุขตา ความเป็นต่อหน้าธรรม.
๓. วินยสมฺมุขตา ความเป็นต่อหน้าวินัย.
๔. ปุคฺคลสมฺมุขตา ความเป็นต่อหน้าบุคคล.
(แต่เสด็จ ฯ
เข้าพระทัยว่า สงฺฆสมฺมุขตา ไม่มีในวินัยนี้).
ผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นผู้วินิจฉัย เมื่อตนอาจวินิจฉัยควรให้ผู้เลือกปฏิญญา ๒
ข้อก่อน คือ :-
๑.
จะแจ้งข้ออธิกรณ์นั้นตามจริง.
๒. จักยอมรับความวินิจฉัยอันชอบแก่ธรรมวินัยและสัตถุสาสน์.
(๒)
วิธีระงับด้วยการตั้งผู้วินิจฉัย
สงเคราะห์ด้วยองค์ ๓ เว้น
สงฺฆสมฺมุขตา บ้าง ด้วยองค์
๔ บ้าง,(แต่เสด็จ ฯ ทรงเห็นว่า สงฺฆสมฺมุขตา
ไม่น่าได้ในอธิการนี้).
(๓) วิธีระงับด้วยอำนาจแห่งสงฆ์ คือ :-
๑.
สงฆ์เห็นภิกษุบางพวกประพฤติผิดแผกออกไป
ไม่เห็นชอบด้วยนเข้าประชุมเป็นสงฆ์วินิจฉัยข้อที่แผกกันนั้นว่าผิด ด้วยอาณาสงฆ์.
๒. มีภิกษุเป็นคู่วิวาท แม้เธอจะไม่มอบให้วินิจฉัย เห็นแก่พระธรรม วินัย ชี้ขาดข้อที่ผิดด้วยอาณาสงฆ์ก็ได้.
สัมมุขาวินัยนี้ สงเคราะห์ด้วยองค์ ๓
เว้น ปุคฺคลสมฺมขตา บ้าง ด้วยองค์
๔ บ้าง.
ภิกษุผู้ที่สงฆ์ควรมอบอธิกรณ์ให้แยกไปวินิจฉัย (วิธีนี้เรียกอุพพาหิกา) ควรประกอบด้วยองค์ ๑๐ คือ :-
๑. เป็นผู้มีศีล.
๒. เป็นพหูสูต.
๓. เป็นผู้ทรงพระปาฏิโมกข์.
๔.
เป็นผู้มั่นในพระวินัย
ไม่คลอนแคลน.
๕.
เป็นผู้อาจชี้แจงให้คู่วิวาทเข้าใจและให้เลื่อมใส.
๖.
เป็นผู้ฉลาดเพื่อยังอธิกรณ์อันเกิดขึ้นให้ระงับ.
๗. รู้เรื่องอธิกรณ์.
๘. รู้เหตุเกิดอธิกรณ์.
๙. รู้การตัดอธิกรณ์.
๑๐. รู้ทางตัดอธิกรณ์.
เยภุยยสิกา
ภิกษุผู้ควรที่จะสมมติให้เป็นผู้จับสลากต้องประกอบด้วยองค์ ๕คือ :-
๑. ไม่ถึงอคติ ๔
อย่าง นับเป็น ๔
องค์.
ข.
รู้จักสลากที่เป็นอันจับและไม่เป็นอันจับเป็นองค์หนึ่ง.
วิธีให้จับสลาก มี ๓ คือ
:-
๑. ปกปิด.
๒. กระซิบบอก.
๓. เปิดเผย.
เยภุยยสิกาไม่ควรใช้ในเรื่องเหล่านี้ คือ :-
๑.
ไม่ควรใช้ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ไปถึงไหน.
๒.
ไม่ควรใช้เพื่อสนับสนุนมติอันไม่เป็นธรรม.
๓. ไม่ควรใช้เพื่อแยกสงฆ์ออกเป็นพวก.
การให้จับสลากแม้ในเรื่องที่สมควร
หากให้จับโดยวิธีมิชอบเหล่านี้ใช้ไม่ได้
คือ :-
๑.
ให้จับด้วยอาการผิดระบอบ
คือเมื่อภิกษุยังไม่พร้อมกัน.
๒.
เธอทั้งหลายไม่ได้จับตามมติ.
กัณฑ์ที่ ๒๙
วิธีระงับอนุวาทาธิกรณ์
เรื่องที่จัดว่ามีมูล ๓ คือ :-
๑. เรื่องที่ได้เห็นเอง.
๒. เรื่องที่ได้ยินเอง หรือมีผู้บอกและชื่อว่าเป็นจริง.
๓.
เรื่องที่รังเกียจโดยอาการ.
ภิกษุผู้จะว่าอรรถคดีในเมื่อเห็นพร้อมด้วยองค์ ๕
จึงควรว่าองค์ ๕ นั้น
คือ :-
๑. เป็นกาลอันสมควร.
๒. เป็นเรื่องจริง (หรือแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น).
๓.
จักได้ภิกษุผู้เคยเห็นกันผู้เคยพบกันเข้าเป็นฝ่าย โดยธรรมโดยวินัย.
๕.
ความยุ่งยิ่งตลอดถึงความแตกแห่งสงฆ์
มีการนั้นเป็นเหตุจักไม่มี.
ภิกษุผู้จะเป็นโจทก์พึงตั้งอยู่ในธรรม
๕ คือ :-
๑. จักพูดโดยกาละ จักไม่พูดโดยอกาละ.
๒. จักพูดด้วยคำจริง จักไม่พูดด้วยคำเท็จ.
๓. จักพูดด้วยคำสุภาพ จักไม่พูดคำหยาบ.
๔.
จักพูดด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์
จักไม่พูดด้วยคำไร้ประโยชน์.
๕. จักมีเมตตาจิตพูด จักไม่เพ่งโทษพูด.
อีกประการหนึ่ง พึงทำไว้ในใจซึ่งธรรม ๕ คือ
:-
๑. ความการุญ.
๒. ความหวังประโยชน์.
๓. ความเอ็นดู.
๔. ความออกจากอาบัติ.
๕. ความทำวินัยเป็นเบื้องต้น.
การโจท มี
๒ คือ :-
๑. โจทด้วยกาย.
๒. โจทด้วยวาจา.
ผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ มีรวม ๓ คือ
:-
๑. สงฆ์ (สำหรับเรื่องสลักสำคัญ).
๒. คณะ (สำหรับเรื่องไม่สำคัญนัก).
๓. บุคคล (สำหรับเรื่องเล็กน้อย).
ภิกษุผู้จะเข้าสู่วินิจฉัย ควรประพฤติ
ดังนี้ :-
๑. พึงเป็นผู้เจียมตน.
๒.
พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง
(ไม่เบียดพระเถระ
ไม่กีดภิกษุผู้อ่อนกว่า).
๓. พึงนั่งอาสนะอันสมควร.
๔. ไม่พึงพูดเรื่องต่าง ๆ.
๕. พึงรักษาดุษณีภาพ.
คำขอโอกาสของโจทก์ต่อจำเลย
" กโรตุ เม
อายสฺมา โอกาส อหนฺต วตฺตุกาโม "
ขอท่านจงทำโอกาสแก่ข้าพเจ้า ๆ
ใคร่จะกล่าวกะท่าน.
คำให้โอกาสต่อโจทก์
" กโรมิ อายสฺมโต โกาส "
ข้าพเจ้าทำโอกาสแก่ท่าน.
ภิกษุผู้พร้อมด้วยองค์ ๕ ขอให้ทำโอกาส
ไม่ควรทำ องค์ ๕นั้น
คือ :-
๑.
เป็นผู้มีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์.
๒.
เป็นผู้ประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์.
๓.
เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์.
๔. เป็นผู้เขลาไม่ฉลาด.
๕.
ถูกซักเข้าไม่อาจให้คำตอบข้อที่ถูกซัก.
องค์ ๕
อีกประเภทหนึ่ง คือ :-
๑. เป็นอลัชชี.
๒. เป็นผู้พาล.
๓. เป็นผู้มิใช่ปกตัตตะ.
๔.
เป็นผู้มีปรารถนาในอันกำจัดกล่าว.
๕.
หาใช่ผู้มีปรารถนาในอันให้ออกจากอาบัติกล่าวไม่.