ว่าด้วยกรีกและสงครามกรีก-เปอร์เซียในสมัยโบราณ

กรีกในสมัยโบราณอยู่ทางตะวันออกสุดยุโรปภาคใต้ ประกอบด้วยผืนแผ่นดินและดินแดนในหมูเกาะต่างๆ ในทะเลเอเจียน และฝั่งตะวันตกของเอเชียไมเนอร์ ซึ่งนิยมเรียกว่า “นครรัฐไอโอเนียน” ในบรรดานครรัฐต่างๆ ของกรีกต่างปกครองตัวเองอิสระแยกจากกัน ไม่เคยรวมตัวเป็นนครรัฐเดียวได้เลย ยกเว้นจะมีการรวมตัวกันบ้างเมื่อเกิดสงครามกับต่างชาติ โดยนครรัฐเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐ (Federation) แต่เมื่อสงครามสงบลงนครรัฐต่างๆ ก็แข่งขันกันเองและทำสงครามกันเองอยู่บ่อยครั้ง
750px-Map_Greco-Persian_Wars-en.svg

การปกครอง
ในช่วง 1,200 – 650 ปีก่อนคริสตกาล รัฐแต่ละรัฐของกรีกมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน แต่ละรัฐมีแนวทางการปกครองของตัวเองซึ่งพอจะจำแนกออกได้เป็น 4 แบบ
  1. ระบอบราชาธิปไตย (Monachy) โดยมีพระมหากษัตริย์ใช้อำนาจสูงสุดในการปกครอง
  2. ระบอบชนชั้นสูง (Aristocracy) โดยชนชั้นสูงจะตั้งคณะเป็นผู้ปกครอง ชนชั้นสูงที่ว่าคือพวกนักรบและขุนนาง
  3. ระบอบคณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองโดยหมู่คณะของกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยคณะที่ว่าเป็นพลเมืองกลุ่มเล็กๆ ของพลเมืองผู้ร่ำรวย
  4. ระบอบทรราช (Tyranny) เป็นการปกครองโดยบุคคลเพียงคนเดียว ใช้อำนาจเด็ดขาดในการปกครอง ไม่คำนึงถึงผู้อยู่ใต้การปกครอง
จะว่าไปแล้วในแต่ละรัฐไม่ได้ปกครองด้วยการปกครองแบบใดแบบหนึ่งแต่เพียง อย่างเดียว อาจมีการรวมวิธีปกครองหลายแบบเข้าด้วยกัน ตัวอย่างการปกครองของรัฐใหญ่ๆ 3 รัฐ ได้แค่ นครรัฐคอรินธ์ นครัฐเอเธนส์ นครรัฐสปาร์ตา และระบอบประชาธิไตยเพิ่งมีขึ้นในช่วง 494 ปีก่อนคริสตกาล
  1. นครรัฐคอรินธ์ เป็นรัฐเมืองท่าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่เหนือที่ราบชายทะเลบริเวณคอคอดที่เชื่อมคาบสมุทรเพลอปปอนเนซุสกับ แผ่นดินใหญ่ คอรินธ์แบ่งการปกครองออกเป็น 3 ภูมิภาคและแบ่งประชากรออกเป็น 8 เผ่า ซึ่งแต่ละเผ่าจะเลือกผู้แทน 10 คน เพื่อเป็นผู้แทนในสภา (Council)  ซึ่งสภานี้จะเป็นคณะที่ปรึกษาของผู้ปกครองที่มาจากชนชั้นสูงอีกทีหนึ่ง
  2. นครรัฐเอเธส์ เป็นรัฐขนาดเล็ก มีประชากรประมาณ 50,000 คน ประกอบด้วยบริเวณสำคัญ 2 ส่วนคือ อะโครโปลิส (Acropolis) และ อกอรา (Agora) ปกครองแบบประชาธิปไตย แต่แตกต่างจากประชาธิปไตยสมัยใหม่อยู่มาก คือ- สิทธิในการปกครองถูกสงวนไว้สำหรับประชากรเพียง 1 ใน 6 เท่านั้น
    - สตรีไม่มีหน้าที่หรือสิทธิใดๆ
    - พลเมืองที่มีสิทธิสามารถใช้สิทธิของตัวเองได้โดยตรง โดยไม่ต้องเลือกผู้แทนเพื่อเข้าไปใช้สิทธิดังกล่าวจะเห็นว่าประชากรที่มี สิทธิในการปกครองของรัฐเอเธน์มีอยู่ไม่มากจึงไม่จำเป็นต้องทำการเลือกผู้แทน พลเมืองทุกคนที่มีสิทธิสามารถเข้าร่วมประชุมสภาราษฎรและลงมติในเรื่องต่างๆ ได้
  3. นครรัฐสปาร์ตา เป็นรัฐที่ทรงอำนาจและแข็งแกร่งที่สุดในบรรดานครรัฐต่างๆของกรีก มีกองกำลังทหารที่มีระเบียบวินัยและเกรียงไกรที่สุด มีลักษณะการปกครองเป็นเผด็จการทหาร ประชาชนของสปาร์ตาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ - สปาร์เตียน (Spartiates) เป็นชาวดอเรียน ถือเป็นสปาร์ตาแท้ ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นทหาร
    - เปริโอชิ (Perioecil) เป็นชาวเลซิเดโมเนียน อาศัยอยู่รอบนอกตัวเมือง จัดเป็นเสรีชนทำกิจการของตัวเองได้ แต่ขาดสิทธิทางการเมือง
    - เฮล็อต (Helot) เป็นชนพื้นเมืองเดิม แต่เมื่อพวกเลซิดเดโมเนียนบุกรุกเข้ามาก็ทำการควบคุมคนเหล่านี้ให้อยู่ในฐานะ “ทาส”
    สงครามกรีก-เปอร์เซีย
    ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล จักรวรรดิเปอร์เซียมีอาณาเขตกว้างขวาง ยึดครองอาณาจักรต่างๆ ไว้ได้เป็นจำนวนมาก โดยมีเขตแดนดังนี้
    • ทางทิศเหนือจดทะเลดำ เทือกเขาคอเคซัส ทะเลสาปแคสเปียน
    • ทิศใต้จดอ่าวเปอร์เซีย ทะเลอาระเบียน
    • ทิศตะวันออกจดแม่น้ำสินธุ เทือกเขาฮินดูกูด
    • ทิศตะวันตกจดทะเลเอเจียน และข้ามแม่น้ำไนล์เข้าไปในอียิปต์
    สงครามกรีก-เปอร์เซีย ครั้งที่ 1 (492 ปีก่อนคริสตกาล)
    กษัตริย์ดาริอุสที่ 1 แห่งเปอร์เซีย ให้มาร์โดนิอุส (Madonius) ยกทัพข้ามช่องแคบเฮเลสปอนต์ผ่านแคว้นเทรซ (Thrace) ซึ่งเป็นชายฝั่งด้านเหนือของทะเลเอเจียน เพื่อเดินทางทัพเรือต่อไปยังคาลสมุทรกรีก แต่ถูกพายุใหญ่ ทำให้เรือเสียหายมากจนต้องยกทัพกลับ หลังจากนั้นพระเจ้าดาริอุสที่ 1 ได้ส่งคณะฑูตไปยังรัฐต่างๆของกรีกเพื่อเจรจาให้ยอมส่งส่วยดินและน้ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการยอมแพ้และอยู่ใต้การปกครองของเปอร์เซีย ขณะนั้นนครรัฐหลายรัฐยอมส่งส่วย  แต่มีบางรัฐไม่ยอม เช่น รัฐเอเธนส์ และ รัฐสปาร์ตาร์
    สงครามกรีก-เปอร์เซีย ครั้งที่ 2 (490 ปีก่อนคริสตกาล) หรือสงครามมาราธอน
    กษัตริย์ดาริอุสที่ 1 รวบรวมกำลังพลเพื่อที่จะทำสงครามกับกรีกอีกครั้ง โดยมีทหารราบ 250,000 ทหารม้า 1,000 เรือมากกว่า 600 ลำ โดยเดินทัพเลียบชายฝั่งทะเลเมติเตอเรเนียนเข้าสู่ทะเลเอเจียน และขึ้นบกที่อ่าวมาราธอน (Marathon) แคว้นอัตติกา (Attica) การรบครั้งนี้ถึงกรีกจะมีกำลังน้อยกว่า แต่กรีกเป็นฝ่ายชนะ
    สงครามกรีก-เปอร์เซีย ครั้งที่ 3 (481 ปีก่อนคริสตกาล)
    หลังจากกษัตริย์ดาริอุสที่ 1 สิ้นพระชนม์ในปี 486 ก่อนคริสตกาล  เจ้าชายเซอร์เซส พระโอรสก็สืบราชสมบัติต่อ เป็นกษัตริย์เซอร์เซสที่ 1 (Xerxes 1)  กษัตริย์เซอร์เซสที่ 1 ต้องการเดินทัพทางบกขึ้นเหนือ จึงสั่งให้ทำสะพานข้ามช่องแคบเฮเลสปอนส์ แล้วเดินทัพอ้อมมาตามชายฝั่งทะเลเข้าสู่คาบสมุทรกรีก โดยมีกองทัพเรือเดินทางเลียบชายฝั่งมาด้วย ว่ากันว่าการยกทัพมาครั้งนี้มีกำลังพลถึง 2,300,000 คน
    • การรบที่ช่องเขาเทอร์โมพิเล ลีโอไนดัส (ในหนัง 300 ภาคแรกเป็นเรื่องของคนคนนี้) ได้นำทหารสปาร์ตา 300 คนต้านทัพของเปอร์เซียบริเวณช่องเขาเทอร์โมพิเล ลีโอไนดัสและทหารสปาร์ตาทั้ง 300 คน ได้ทำการสู่รบอย่างกล้าหาญและพลีชีพที่ช่องเขานี้ เมื่อรบชนะฝ่ายเปอร์เซียก็มุ่งหน้าสู่เอเธนส์
    • การรบทางเรือที่ซาลามิส เธมิสโตคลิส (Themistocles) (ในหนัง 300: Rise of an Empire เป็นเรื่องของคนคนนี้ เป็นแม่ทัพเรือชาวกรีก) เธมิสโตคลิส ได้ให้เหตุผลต่อสภาว่าอนาคตของเอธนส์ขึ้นอยู่กับอำนาจทางทะเล เขาสามารถโน้มนาวให้ประชาชนในรัฐเอเธนส์เห็นชอบในการนำเงินมาใช้ในการสร้าง กองทัพเรือให้แข็งแกร่ง ในการสู่รบทางเรือที่ซาลามิส เธมิสโตคลิส เป็นฝ่ายชนะ เมื่อแพ้สงครามกษัตริย์เซอร์เซสที่ 1 รวบรวมกำลังพลที่เหลืออยู่และกลับเปอร์เซีย แต่ได้วางกำลังพล 120,000 คน ไว้ที่คาบสมุทรกรีก และมอบหมายให้มาร์โดนิอุส (Mardonius) บุตรเขยทำหน้าที่เป็นแม่ทัพ เมื่อมาร์โดนิอุสได่เป็นแม่ทัพก็ได้นำทัพบุกกรีกอีกอีกครั้ง และถูกสังหารในการรบ กองทัพเปอร์เซียขาดผู้นำ จึงพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
    หลังจากได้รับชัยชนะจากสงครามจากเปอร์เซียแล้ว ก็เกิดสงครามภายในระหว่างรัฐของกรีกอีกหลายครั้ง จนในที่สุดพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย (คนนี้เป็นพ่อของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช) ซึ่งเป็นอาณาจักรทางภาคเหนือของกรีก ได้ใช้กำลังผสมระหว่างทหารม้าของขุนนางกับทหารราบฟาลังห์ (เป็นทหารที่ใช้โล่กับหอกยาวเวลารบจะเรียงแถวหน้ากระดาน) เข้ามาแทรกแซงและครอบครอง หลังจากนั้นไปก็จะเป็นเรื่องราวของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชที่จะขยาย อาณาเขตไปจนถึงอินเดีย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘