อะไรที่ทำให้คนที่...วัดพระธรรมกายต้องเปลี่ยนใจ ตอนที่ 05
วัดพระธรรมกายที่ผมรู้จัก
รศ. ดร. สมภาร พรมทา
ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผมเข้ามาในวัดพระธรรมกายเมื่อราว 4-5 ปีที่แล้ว อันเป็นช่วงเวลาที่วัดกำลังเป็นข่าวทางสื่อมวลชน การเข้ามานั้นก็ด้วยกิจทางการศึกษา คือมาถวายความรู้แด่พระคุณเจ้าในทางวิชาการ เรื่องของเรื่องนั้นมีอยู่ว่า วัดได้ดำเนินการจัดการศึกษาแบบใหม่ที่เรียกว่าแบบมหาวิทยาลัย เพื่อให้พระคุณเจ้าในวัดได้ศึกษาพระพุทธศาสนา
ในเชิงวิชาการ
อย่างที่นิยมกระทำกันอยู่ทั่วโลกในสถาบันการศึกษาชั้นสูงที่เรียกว่า
มหาวิทยาลัย
การเรียนพระพุทธศาสนาแบบนี้ต่างจากการเรียนตามจารีตที่เรากระทำกันอยู่
ตรงที่มีวิชาที่ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาให้เรียนรู้ด้วย
เพื่อให้การวิเคราะห์วิจารณ์หลักธรรมในพระพุทธศาสนาดำเนินไปอย่างกว้างขวาง
ละเอียดลออ
ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไป
ได้
นอกจากการศึกษาในแผนนี้
วัดพระธรรมกายยังดำเนินการศึกษาด้านพระบาลีและนักธรรมอย่างเข้มข้นจนเวลานี้
ทางวัดถือได้ว่า เป็นสำนักเรียนพระปริยัติธรรมสายบาลี
ที่มีสถิติผู้เรียนและผู้สอบผ่านสนามหลวงมากที่สุด
โดยน่าจะเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เมื่อรวมสองแผนกนี้เข้าด้วยกัน
เราจึงอาจกล่าวได้ว่า วัด
พระธรรมกายเป็นวัดไทยที่น่าจะมีระบบการศึกษาที่เข้มแข็งมากที่สุดในระดับ
ต้นๆ ของประเทศ ผมเข้าใจว่าข้อมูลด้านการศึกษาของวัดนี้
คนข้างนอกส่วนใหญ่คงไม่ค่อยรู้จัก คนมักจะรู้จักวัดผ่านกิจกรรม อันเนื่องด้วยการบุญเสียมากกว่า ซึ่งกิจกรรมส่วนนี้เองที่มีทั้งคนมองอย่างเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งตามความเห็นของผม ทั้งสองฝ่ายนี้ไม่มีใครผิดใครถูก เพียงแต่เรามองเรื่องการทำบุญด้วยกรอบความคิดที่ต่างกันเท่านั้นเอง
เมื่อผมได้มาภายในวัด แม้จะไม่ใช่คนใน แต่ช่วงเวลา 3-4 ปีที่ได้มารู้จักวัดนั้น ทำให้ผมเข้าใจอะไรไปมาก
ทีเดียว วัดพระธรรมกายนั้นเป็นวัดใหญ่
เป็นองค์กรที่ซับซ้อนเพราะมีบุคลากรและระบบการบริหารงานหลายอย่างหลายขั้น
ตอน ถือว่าเป็นองค์กรทางพระพุทธศาสนาสมัยใหม่ที่น่าศึกษา
น่าทำความเข้าใจมากแห่งหนึ่งในโลก
เมื่อทางวัดให้เกียรติด้วยการเชิญมาถวายความรู้พระ ผมก็รับด้วยความเต็มใจ
เพราะนอกจากเห็นว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
ก็ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผมจะได้เรียนรู้และเข้าใจวัด
ซึ่งเป็นที่จับตามองของมหาชนอยู่เวลานี้ด้วย
เนื่องจากผมรู้จักวัดพระธรรมกายทางด้านการศึกษาเท่านั้น
จึงจะขอพูดเพียงด้านนี้ ผมนั้นเคยบวชเรียนมาก่อน
รู้ว่าการเป็นสามเณรบ้านนอก กว่าจะเข้ามาอาศัยวัดในกรุงเทพฯ ได้
เป็นเรื่องยากลำบากเพียงใดผมอยู่วัดมหาธาตุฯ แถวท่าพระจันทร์
เมื่อแรกที่มาอยู่ใหม่ๆ เคยออกบิณฑบาตอยู่
ราวเดือนหนึ่ง ที่สุดก็ต้องเลิก
เพราะต้องเดินกลับวัดพร้อมบาตรที่ว่างเปล่าทุกวัน
โชคดีที่คณะที่ผมอยู่มีญาติโยมมาถวายอาหารเพลพระอยู่เป็นประจำ
จึงได้อาศัยฉันเพลกับทางคณะ ซึ่งบางวันก็ไม่พอที่จะอิ่ม
การเรียนหนังสือภายใต้ภาวะที่อดอยากเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทรมาน
แต่ที่สุดผมก็กัดฟันเรียนมาจนจบมหาวิทยาลัยสงฆ์และเปรียญธรรม 8 ประโยค
ผมมาเห็นวัดพระธรรมกายดูแลสามเณรบ้านนอกจำนวนหลายร้อย
ไม่ให้ต้องอดอยากอย่างที่ผมเคยประสบ แล้วก็อดดีใจแทนท่านเหล่านั้นไม่ได้
ผมทราบจากเจ้าหน้าที่ในวัดเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อเจ้า
อาวาสท่านเป็นห่วงสามเณรเหล่านี้มาก กำชับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดูแลให้ดี คือ
ให้ท่านเหล่านี้หมดห่วงเรื่องทางกาย
ให้เรียนหนังสือและเจริญจิตภาวนาอย่างเดียว
ผมยังนึกด้วยซ้ำว่าถ้าผมได้มาอยู่ที่วัดพระธรรมกาย
ได้เรียนหนังสืออย่างที่อยากจะเรียน ไม่ต้องเรียนไปอดไปอย่างที่ประสบ
ความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับชีวิตสามเณรของผมคงดีกว่านี้
คนจำนวนมากอาจไม่ชอบวัดพระธรรมกาย เรื่องนี้สำหรับผมคิดว่าเป็นเรื่องดี
ที่คนเหล่านั้นไม่ชอบ ทางวัดเองก็น่าจะทราบ โดยสังเกตจากสื่อ เช่น
หนังสือพิมพ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่ออินเทอร์เน็ต
ในเว็บบอร์ดที่มีชื่อเสียง เช่น PANTIP นั้น
เราจะหาอ่านข้อความที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับทางวัดได้มาก
และบางความคิดผมคิดว่า ทางวัดน่าจะได้ประโยชน์ในแง่ที่จะเรียนรู้ว่า
คนอื่นที่เขาวิจารย์วัดอย่างมีเหตุผลนั้น เขาคิดอย่างไร แต่ผมเริ่มสังเกตเห็นว่า เมื่อข้อมูลเรื่องวัดได้จัดการศึกษาอย่างแข็งขันเริ่มเป็นที่รับรู้ของผู้คน ภาพพจน์ของวัดน่าจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะยังมีผู้คลางแคลงใจว่า ที่วัดจัดการศึกษาให้แก่พระเณรเช่นนั้น จัดอย่างบริสุทธิ์ใจหรือไม่ก็ตาม
ผม
เรียนปรัชญา ทราบว่าการเปลี่ยนความคิดคนเป็นเรื่องยากที่สุดในโลก
และคนที่เปลี่ยนความคิดยากที่สุดพวกหนึ่งเท่าที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ก็คือ
นักวิทยาศาสตร์
เมื่อมีการเสนอความคิดใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ความคิดนั้นมักไม่เป็นที่ยอมรับ
ของพวกนักวิทยาศาสตร์รุ่นเก่าๆ ต้องรอให้คนรุ่นนี้ตายหมด
ความคิดใหม่จึงจะเป็นที่ยอมรับ
ตัวอย่างนี้ผมคิดว่าวัดพระธรรมกายอาจใช้เป็นอนุสติ โดยบอกว่า
อาจต้องใช้เวลามากพอสมควรที่จะให้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัดเป็นไปในทางบวก
แต่การรอเวลาอย่างเดียวก็คงไม่เกิดผล ความคิดดีๆ
ในทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่นั้น
ส่วนหนึ่งเป็นที่ยอมรับของคนรุ่นต่อมา
เพราะความคิดนั้นได้รับการพิสูจน์มาพอสมควรว่าเป็นความคิดที่ดี
มีประโยชน์ และมีเหตุมีผล
การเรียนหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะแบบดั้งเดิมหรือแบบใหม่นั้น
สำหรับผมคือหัวใจของการรักษาพระพุทธศาสนา เรื่องนี้ไม่มีใครอาจปฎิเสธได้
ถ้าเราตั้งต้นที่จุดนี้แล้วพิจารณาว่า
เวลานี้วัดพระธรรมกายคือสำนักเรียนที่แข็งขันในอันดับต้นๆ ของประเทศ
(ซึ่งก็คือของโลกนั่นเอง เพราะการเรียนคำสอนพระพุทธศาสนาแบบนี้
มีอยู่อย่างแข็งขันก็เฉพาะในไทย สำหรับพม่าและลังกานั้น
สมัยก่อนเคยทัดเทียมเรา แต่เวลานี้ก็อ่อนลงไปมากแล้ว )
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ วัดพระธรรมกาย เราคงไม่อาจปฎิเสธได้ว่า
สิ่งที่วัดกำลังทำอยู่เวลานี้ เป็นประโยชน์โดยตรงสำหรับพระพุทธศาสนา
และเป็นประโยชน์ในระดับที่สำคัญยิ่งยวดด้วย
ผมทราบมาว่า
เวลานี้วัดกำลังจัดทำโครงการที่จะขยายการศึกษาของวัดให้แผ่ออกไปอย่างกว้าง
ขวางและเป็นระบบ กำลังมีการจัดสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ ณ
สถานที่แห่งหนึ่งในต่างจังหวัด
โดยจะให้ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการศึกษาของวัดอย่างเต็มที่และเต็มรูปแบบ
ซึ่งก็แปลว่า ต่อไปพระเณรในวัดอื่นๆ ก็จะมีโอกาสได้เข้ามาเรียนด้วย
มีคนวิจารณ์ว่า วัดพระธรรมกายชอบคิดใหญ่ ทำใหญ่
ผมคิดว่าการคิดใหญ่ทำใหญ่ทางการศึกษา เช่นนี้ แทบจะหาข้อตำหนิไม่ได้เลย
มหาวิทยาลัยนาลันทในปัจจุบัน
ในอดีตเราเคยมีมหาวิทยาลัยนาลันทา
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนาที่ดีที่สุด
มีพระภิกษุและสามเณรอยู่ประจำ จำนวนเป็นหมื่นๆ
สถาบันการศึกษาทางพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้
ผมคิดว่าสมัยนี้น่าจะมีวัดพระธรรมกายนี่แหละ ที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ได้
เวลานี้เรามีมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กับ
มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นเสาหลักให้ ต่อไปก็คงมีวัดพระธรรมกาย
ที่จะช่วยเป็นเสาที่ 3 ในการค้ำยันพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่โลกต่อไป
ผม
ยังคิดด้วยว่า ในอนาคตหาก 3 สถาบันนี้ร่วมมือร่วมใจกัน อะไรจะเกิดขึ้น
ท่านผู้อ่านน่าจะจินตนาการออกอาจเป็นไปได้ที่เราจะทำคุณประโยชน์ต่อโลก
ได้มากกว่ามหาวิทยาลัยนาลันทาที่เลื่องลือนั้น ที่กล่าวมานี้ไม่ได้แปลว่า
ผมคิดว่า วัดพระธรรมกาย ดีกว่าวัดอื่น ผมเพียงแต่บอกว่า เราควรมองไปที่ใด
ในวัดพระธรรมกาย ความร้อนรุ่มที่อยู่ในใจเพราะไม่ชอบวัดจะลดลงได้บ้าง ผมนั้น ไปทุกวัด เช่น วัดสวนแก้วของ
ท่านเจ้าคุณพยอม สำนักสันติอโศก ของท่านสมณะโพธิรักษ์
ท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ ( ประยุทธ์ ปยุตฺโต ) ที่แต่งหนังสือ "
กรณีธรรมกาย " และ " กรณีสันติอโศก " แม้ผมไม่เคยไปกราบท่านถึงวัด
แต่ก็เป็นผู้ที่ผมเคารพนับถือมากที่สุดท่านหนึ่ง
การเป็นชาวพุทธสำหรับผมนั้น น่าจะมีคุณสมบัติพื้นฐานอย่างหนึ่งคือ
เข้าวัดไหนก็ได้ แล้วมองแต่สิ่งที่ดีมาใช้ ถ้าคิดอย่างนี้ได้
คนที่ไม่เคยมาวัดพระธรรมกายก็น่าจะลองมาดูบ้าง
หรือผู้ที่มาอยู่แล้วก็น่าจะลองหาโอกาสไปวัดอื่นๆ บ้าง หากไปทางกายไม่ได้
ก็อาจไปทางใจ คือมองสำนักที่ต่างไปจากสำนักอาจารย์ตน
อย่างมีเมตตา อย่างพยายามที่จะเข้าใจ และฟังอะไรอย่างฟังหูไว้หู
ไม่วู่วามไปตามกระแสของสื่อ หรือของคนหมู่มาก ทำได้อย่างนี้
เราชาวพุทธคงจะเป็นกลุ่มคนที่มีความสุขสงบใจมากกว่าใครในโลก
มี
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากกล่าวเป็นการปิดท้ายข้อเขียนนี้คือ ผมสังเกตเห็นว่า
วัดพระธรรมกาย มีอะไรบางอย่างที่ผมไม่ค่อยพบที่อื่น
สิ่งนี้คือความน่ารักของเจ้าหน้าที่ประจำ
ที่ทำงานเต็มเวลาให้แก่วัดโดยได้รับค่าตอบแทนน้อยมาก
เจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่ผมรู้จักมักจะเป็นอุบาสิกาที่กิริยามารยาทงดงาม
ไม่ถือตัว อ่อนน้อม และเวลาได้พูดคุยด้วยเราจะรู้สึกเป็นสุข
ผมถือว่าท่านเหล่านี้น่ารักอย่างนั้นก็ต้องเพราะวัดอบรมมาดี
บางท่านที่ไม่ชอบวัดเป็นทุนอาจแย้งผมว่า
คนเหล่านี้กำลังจัดฉากอยู่หรือเปล่า ผมไม่เชื่อว่าใครจะจัดฉาก
ได้ยาวนานและแนบเนียนอะไรปานนั้น คนเราหากได้อยู่ใกล้ชิดกัน ได้คุยกัน
ดวงตาจะบอกได้ว่าเขาเสแสร้ง
หรือไม่
หรือไม่
สำหรับพระคุณเจ้าที่นี่ในส่วนที่ผมรู้จักนั้น เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นปัญญาชน
ก่อนที่จะมาบวช (ผมหมายความว่าท่านเคยเป็นนิสิตนักศึกษามาก่อน
บางท่านอาจมาบวชทั้งที่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ
เพราะเห็นว่าทางธรรมประเสริฐกว่าทางโลก) ส่วนใหญ่จึงฉลาด
พระที่ฉลาดเช่นนี้ต่อไปคงเป็นอนาคตของพระศาสนาได้มาก คนหนุ่มๆ
ที่เอาชีวิตในวัยหนุ่มมาอุทิศให้พระศาสนานั้น
ย่อมเป็นผู้ที่เราเคารพได้ในเบื้องต้นว่า
ช่างมีใจที่เด็ดเดี่ยวอะไรเช่นนั้น ต่อไปเมื่อท่านเหล่านี้
ผ่านการเจียระไนโดยระบบการศึกษาและจิตภาวนาที่เหมาะสม
ก็จะเป็นเพรชในทางปัญญาแก่สังคมไทยซึ่งไม่ใช่เพียงเม็ดสองเม็ด แต่เป็นร้อย
เป็นพัน หรือหมื่น
วัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งของชาววัดพระธรรมกาย คือความให้เกียรติกัน
อุบาสิกาที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงานด้านต่างๆ ของวัดนั้น
ผมเห็นว่าได้รับการปฎิบัติโดยพระภิกษุภายในวัดอย่างให้เกียรติ
จริงว่าโดยเพศ อุบาสิกาต้องถือว่ามีสถานะที่ต่ำกว่าพระเณร
แต่เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกับการให้เกียรติ ผมเห็นพระที่อ่อนวัยกว่า
เรียกอุบาสิกาที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่วัยมากกว่า ว่า " โยมพี่ "
คำนี้สำหรับผมเป็นคำที่ไพเราะเหลือเกินเป็นการเรียกอย่างคนในครอบครัว
อย่างให้เกียรติ ถ้าผมมีพี่สาวที่ดี
แม้ผมบวชแล้วผมก็คงนับถือพี่สาวของผมต่อไปได้
พระพุทธศาสนาเถรวาทเรานั้นมีคนวิจารณ์ ว่าไม่ค่อยให้เกียรติผู้หญิง
บวชชีแล้วก็ต้องมาเป็นคนรับใช้พระ ข้อวิจารณ์นี้คงใช้ไม่ได้กับ
วัดพระธรรมกาย เพราะเป็นที่ทราบว่า
บุคคลหนึ่งที่ทางวัดนับถือว่าเป็นปูชนียบุคคลก็คือ ท่านคุณยายจันทร์
ขนนกยูง ซึ่งเป็นเพียงอุบาสิกาเท่านั้น
ที่กล่าวถึงเรื่องวัฒนธรรมของชาววัดพระธรรมกายก็เพราะ
ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นวัฒนธรรมแบบพุทธที่เคยมีมาแต่สมัยพุทธกาลแล้วอุบาสิกา
อย่างนางวิสาขานั้ เป็นผู้ที่พระเณรให้เกียรติ
พระวินัยหลายข้อเกิดขึ้นเพราะอุบาสิกาท่านนี้เป็นห่วงเป็นใยพระสงฆ์
ถ้าเรามีวัฒนธรรมในการให้เกียรติกันเช่นนี้
พระพุทธศาสนาในบ้านเราคงจะไปได้กว้างไกลมากกว่านี้
เวลาที่ชาวต่างชาติมาเยี่ยมชมวัดเราแล้วเห็นหลวงพี่หลวงตาจิกเรียกอุบาสก
อุบาสิกา หรือเด็กวัดอย่างเต็มไปด้วยทิฎฐิมานะ
เขาก็คงไม่สู้จะประทับใจในพระพุทธศาสนาเท่าใดนักกระมัง