พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ หน้า 026-030

                                                            หน้าที่ ๒๖

เศรษฐีผู้คหบดีส่งทูตขี่ม้าไปตามหาทั้ง ๔ ทิศแล้ว  ส่วนตัวเองไปหาทางป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน.
ได้พบรองเท้าทองวางอยู่  ครั้นแล้วจึงตามไปสู่ที่นั้น.  พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็น
เศรษฐีผู้คหบดีมาแต่ไกล. ครั้นแล้วทรงพระดำริว่า  ไฉนหนอ  เราพึงบันดาลอิทธาภิสังขารให้
เศรษฐีคหบดีนั่งอยู่ ณ ที่นี้  ไม่เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้  แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร
ดังพระพุทธดำริ. ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามว่า พระผู้มีพระภาค
ทรงเห็นยสกุลบุตรบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า?
                พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรคหบดี ถ้าอย่างนั้น เชิญนั่ง  บางทีท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้
จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้.
                ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีร่าเริงบันเทิงใจว่า  ได้ยินว่า  เรานั่งอยู่ ณ ที่นี้แหละ จักเห็น
ยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้  จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค  แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. เมื่อ
เศรษฐีผู้คหบดีนั่งเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ
ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และ
อานิสงส์ในความออกจากกาม.  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  เศรษฐีผู้คหบดี  มีจิตสงบ
มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา
ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. ดวงตา
เห็นธรรม  ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น
ทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่เศรษฐีผู้คหบดี ณ ที่นั่งนั้นแล  ดุจผ้าที่สะอาดปราศจาก
มลทิน  ควรได้รับน้ำย้อม ฉะนั้น.
                ครั้นเศรษฐีผู้คหบดี  ได้เห็นธรรมแล้ว  ได้บรรลุธรรมแล้ว  ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว
มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็น
ผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก  ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้  เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ  เปิดของ
ที่ปิด  บอกทางแก่คนหลงทาง  หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า  คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้
ข้าพระพุทธเจ้านี้  ขอถึงพระผู้มีพระภาค  พระธรรม  และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ  ขอพระองค์
จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
                ก็เศรษฐีผู้คหบดีนั้น  ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้างพระรัตนตรัย เป็นคนแรกในโลก.


                                                            หน้าที่ ๒๗

                                                                ยสกุลบุตรสำเร็จพระอรหัตต์
                [๒๘] คราวเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตร จิตของยสกุลบุตร
ผู้พิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว ก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เมื่อเราแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตรอยู่  จิตของ
ยสกุลบุตร ผู้พิจารณาเห็นภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว  พ้นแล้วจากอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์
ครั้งก่อน  ถ้ากระไร เราพึงคลายอิทธาภิสังขารนั้นได้แล้ว.  พระองค์ก็ได้ทรงคลายอิทธาภิสังขาร
นั้น.  เศรษฐีผู้คหบดีได้เห็นยสกุลบุตรนั่งอยู่  ครั้นแล้วได้พูดกะยสกุลบุตรว่า พ่อยส มารดา
ของเจ้าโศกเศร้าคร่ำครวญถึง  เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด. ครั้งนั้น ยสกุลบุตรได้ชำเลืองดู
พระผู้มีพระภาคๆ  ได้ตรัสแก่เศรษฐีผู้คหบดีว่า  ดูกรคหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภูมิเหมือนท่าน  เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่
ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว  จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น  ดูกรคหบดี
ยสกุลบุตรควรหรือเพื่อจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม  เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน?.
                เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า  ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
                พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองว่า   ดูกรคหบดี  ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะ
เพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้ว
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดูกรคหบดี ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม
เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน.
                เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า การที่จิตของยสกุลบุตรพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
นั้น เป็นลาภของยสกุลบุตร ยสกุลบุตรได้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคมียสกุลบุตร
เป็นปัจฉาสมณะ  จงทรงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเสวยในวันนี้เถิด  พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ.  ครั้นเศรษฐีผู้คหบดีทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาค
แล้ว  ได้ลุกจากที่นั่ง  ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป.
                กาลเมื่อเศรษฐีผู้คหบดีกลับไปแล้วไม่นาน  ยสกุลบุตรได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า  ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา  พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค.


                                                            หน้าที่ ๒๘

                พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด  แล้วได้ตรัสต่อไปว่า  ธรรมอันเรากล่าว
ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด.
                พระวาจานั้นแล  ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น
                สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๗ องค์.
                                                                ยสบรรพชา  จบ
                                                                ____________
                                                มารดาและภรรยาเก่าของพระยสได้ธรรมจักษุ
                [๒๙] ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า  พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว  ถือบาตรจีวรมีท่าน
พระยสเป็นปัจฉาสมณะ  เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่นิเวศน์ของเศรษฐีผู้คหบดี  ครั้นถึงแล้ว
ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย.  ลำดับนั้น  มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส
พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.  พระผู้มีพระภาคตรัส
อนุปุพพิกถาแก่นางทั้งสอง คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ  ความต่ำทราม
ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย   และอานิสงส์ในความออกจากกาม.   เมื่อพระผู้มีพระภาค
ทรงทราบว่า นางทั้งสองมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใส
แล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา  ได้เกิดแก่นางทั้งสอง ณ ที่นั่ง
นั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น. มารดาและภรรยาเก่า
ของท่านพระยสได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลง
แล้ว  ข้ามความสงสัยได้แล้ว  ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย  ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา  ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก  ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก  พระพุทธเจ้าข้า  พระองค์ทรง
ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด  บอกทางแก่


                                                            หน้าที่ ๒๙

คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ หม่อมฉันทั้งสองนี้
ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำหม่อมฉัน
ทั้งสองว่า เป็นอุบาสิกาผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
                ก็มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส  ได้เป็นอุบาสิกา  กล่าวอ้างพระรัตนตรัยเป็น
ชุดแรกในโลก. ครั้งนั้น มารดาบิดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้อังคาสพระผู้มีพระภาคและ
ท่านพระยส  ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตนๆ  จนให้ห้ามภัต ทรงนำพระหัตถ์
ออกจากบาตรแล้ว  จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.  ขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้มารดา
บิดา  และภรรยาเก่าของท่านพระยส  เห็นแจ้ง  สมาทาน  อาจหาญ  ร่าเริง  ด้วยธรรมีกถา
แล้วเสด็จลุกจากอาสนะกลับไป.
                                                สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของพระยสออกบรรพชา
                [๓๐] สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยส  คือ  วิมล ๑  สุพาหุ ๑  ปุณณชิ ๑
ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ  มา ในพระนครพาราณสี  ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร
ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว. ครั้นทราบดังนั้นแล้ว
ได้ดำริว่า  ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตร  ปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้ว
ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๔ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ได้กราบทูลว่า  พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของ
ข้าพระองค์ ๔ คนนี้ ชื่อ วิมล ๑  สุพาหุ ๑  ปุณณชิ ๑  ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐี
สืบๆ  มาในพระนครพาราณสี  ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้า
พระองค์เหล่านี้.
                พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา  คือ  ทรงประกาศทานกถา สีลกถา
สัคคกถา  โทษ  ความต่ำทราม  ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย   และอานิสงส์ในความ
ออกจากกาม.  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  พวกเขามีจิตสงบ  มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจาก
นิวรณ์  มีจิตเบิกบาน  มีจิตผ่องใสแล้ว  จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.  ดวงตาเห็นธรรม


                                                            หน้าที่ ๓๐

ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทิน ว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งมวล
มีความดับเป็นธรรมดา  ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควร
ได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี  ฉะนั้น.  พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว  ได้บรรลุธรรมแล้ว  ได้รู้ธรรม
แจ่มแจ้งแล้ว  มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว  ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาค
ว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า  ธรรมอันเรากล่าว
ดีแล้ว  พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
                พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
                ต่อมา  พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา. เมื่อพระ
ผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา  จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้ว
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
                สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์.
                                สหายคฤหัสถ์ ๔ คน  ของพระยสออกบรรพชา จบ.
                                                                _____________
                                                สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน ของพระยสออกบรรพชา
                [๓๑] สหายคฤหัสถ์ของท่านพระยส  เป็นชาวชนบทจำนวน ๕๐ คน  เป็นบุตรของ
สกุลเก่าสืบๆ  กันมา ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร  ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ  ออก
จากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว.  ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า  ธรรมวินัยและบรรพชาที่
ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด  นุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่
ต่ำทรามแน่นอน  ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์จำนวน ๕๐ คนนั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘