กายคตาสติ
ศัพท์นี้ แปลว่า สติไปในกาย กัมมัฏฐานนี้เป็นคู่ปรับแก่กามฉันท์ กามฉันท์มีปกติให้รักสวยรักงาม กัมมัฏฐานนี้มีปกติให้เห็นน่าเกลียดเห็นโสโครก กุลบุตรผู้มาบรรพชา ย่อมได้รับสอนกัมมัฏฐานนี้ไว้ก่อนจากพระอุปัชฌาย์ เหมือนดังได้รับมอบศัสตราวุธไว้สำหรับต่อสู้กับข้าศึก คือกามฉันท์ อันจะทำ อันตรายแก่พรหมจรรย์ พวกภิกษุจึงเรียกกัมมัฏฐานนี้ว่ามูลกัมมัฏฐาน แปลว่า กัมมัฏฐานเดิม ในที่นี้จักแสดงโดยสังเขป
สาธุชนผู้จะเจริญกัมมัฏฐานนี้ พึงกำหนดตจปัญจกะ คือ หมวดแห่งอาการ ๕ อย่าง มีหนังเป็นที่สุด ให้จำได้ก่อน ทั้งโดยอนุโลมคือตามลำดับ ทั้งโดยปฏิโลม คือ ย้อนลำดับ อาการ ๕ อย่างนั้น คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ นี้เป็นอนุโลม ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา นี้เป็นปฏิโลม ท่านสอนให้จำโดยอนุโลมและปฏิโลมดังนี้ เพื่อจะให้แม่นยำ และพึงรู้จักอาการทั้ง ๕ นั้นด้วย
๑. เกสา นั้น คือสิ่งที่เป็นเส้น ๆ งอกอยู่บนศีรษะ เบื้องหน้าเพียงหน้าผาก เบื้องท้ายเพียงปลายคอต่อ เบื้องขวาเพียงหมวกหูทั้ง ๒ ข้าง
๒. โลมา คือ สิ่งที่เป็นเส้น ๆ เหมือนกันอีกส่วนหนึ่ง อันมิใช่เกสา เส้นหยาบบ้างละเอียดบ้าง งอกอยู่ตามตัวทุกแห่ง เว้นผ่ามือฝ่าเท้า
๓. นขา คือ สิ่งที่เป็นเกล็ด งอกอยู่ตามปลายนิ้วมือปลายนิ้วเท้าทุก ๆ แห่ง
๔. ทนฺตา สิ่งที่เป็นซี่ ๆ งอกอยู่ในเหงือกเบื้องล่างเบื้องบน สำหรับบดเคี้ยวอาหาร
๕. ตโจ ได้แก่ สิ่งที่หุ้มอยู่ทั่วสรรพางค์กาย
พึงกำหนดรู้ง่าย ๆ ดังนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ครั้นรู้จักสิ่งทั้ง ๕ อย่างนี้แล้ว พึงพิจารณาน้อมใจให้เห็นเป็นของน่าเกลียดโสโครก โดยปกติของมันทั้งในกายตนและในกายผู้อื่น ถ้ายังไม่เห็นโดยทันที พึงพิจารณาขยายออกไปโดยสี โดยสัณฐาน คือรูปร่าง โดยกลิ่น โดยที่เกิด โดยที่อยู่ อันผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นั้น มีสีก็ไม่งาม มีสัณฐานก็ไม่น่ารัก มีกลิ่นก็เหม็น มีที่เกิดที่อยู่ล้วนแต่เป็นที่โสโครก เพราะเป็นของปฏิกูล เขาจึงต้องตกแต่งทำนุบำรุง ไม่เช่นนั้น ก็จะปรากฏเป็นของปฏิกูลยิ่งนัก เป็นของน่าสะอิดสะเอียน ความเห็นน่าเกลียดนั้น มิใช่ไม่ปรากฏแก่สามัญชนเมื่อไร เป็นแต่เมื่อปรากฏแล้ว เขาน้อมใจนึกไปเสียโดยทางอื่นปรารภแต่ของที่เขาตกแต่งไว้แล้ว นึกเห็นเป็นงาม ความนึกเห็นเช่นนั้น เป็นเหตุชักนำกามฉันท์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ยั่วยวนกามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วให้แก่กล้า ไม่ใช่อารมณ์ของกัมมัฏฐานนี้ ความน้อมใจแส่เห็นเป็นข้างไม่งาม เป็นของสกปรก สุดแต่จะปรากฏได้อย่างไร นี้เป็นอารมณ์ของกัมมัฏฐานนี้ ผู้เจริญกัมมัฏฐานนี้ พึงนึกถึงอาการอันหนึ่งขึ้นก่อนโดยปกติของมัน หรือโดยสีสัณฐาน กลิ่น ที่เกิด ที่อยู่ และโดยอย่างอื่น น้อมใจให้เห็นว่าน่าเกลียดแล้วเลื่อนนึกถึงอาการอื่น ๆ ต่อไป เมื่อความชำนาญมีขึ้น นึกเพียงชื่อไปตามลำดับและย้อนลำดับความเห็นปฏิกูลย่อมจะปรากฏ คุมจิตได้ง่ายเข้า ในขณะใด ความปฏิกูลปรากฏ ในขณะนั้น จัดว่าได้ผลที่มุ่งหมายแห่งกัมมัฏฐานนี้ เพราะเหตุนั้น พึงรักษาอารมณ์นี้ไว้อย่าให้จืดจาง จะได้เป็นที่ตั้งแห่งสมาธิ แต่สมาธิในกัมมัฏฐานนี้เป็นแต่เพียงอุปจาร เพราะเหตุให้จิตท่องเที่ยวอยู่ไม่แน่แน่วลงแท้
กัมมัฏฐานนี้ เป็นประโยชน์แก่คนมีกามฉันท์ หรือเรียกราคจริตเป็นเจ้าเรือน มีอานิสงส์ไม่ให้ข้องอยู่ในกายตนและกายผู้อื่น