พุทธานุสสติ
ศัพท์นี้ แปลว่า ระลึกถึงพระพุทธเจ้า อธิบายว่า ระลึกถึงปรารภความดีของพระองค์ ไม่ได้ระลึกถึงโดยอาการยกโทษหรือข้อนขอด กัมมัฏฐานนี้เป็นคู่ปรับแก่ถีนมิทธนิวรณ์ ถีนมิทธะมีปกติให้ท้อแท้และง่วงงุน กัมมัฏฐานนี้ มีปกติให้อุตสาหะปรารภพระคุณของพระพุทธเจ้า และให้จิตนึกแล่นอยู่ สาธุชนผู้จะเจริญกัมมัฏฐานนี้ ควรอ่านหนังสือแสดงพระพุทธจรรยา เป็นต้นว่า เรื่อง ปฐมสมโพธิ และใคร่ครวญถึงพระพุทธจรรยาซึ่งทรงบำเพ็ญเป็นอย่าง ๆ ไป อันส่อพระคุณสมบัติในพระองค์ และทรงพระมหากรุณาอุปการะแก่ประชาชน ก็จะหยั่งเห็นพระคุณทั้ง ๒ ส่วนนี้โดยวิสัย ในที่นี้จะแสดงเฉพาะพระคุณบทที่ท่านผูกไว้สำหรับนึกสำหรับสาธยายเรียกว่า อนุสสรณนัย คือ "อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ”
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงรู้แจ้งโลก คือ ปฐพี พร้อมด้วยสัตว์ผู้อาศัย และสังขารอันปรุงแต่งแผ่นดินและสัตว์เหล่านั้น ว่ามีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จึงเจริญในกาลบางครั้ง เสื่อมในกาลบางคราว สุดแต่เหตุปัจจัย อนึ่ง ในโลกนี้ ย่อมมีสิ่งต่าง ๆ อันจะล่อจิตให้รักให้ชังให้หลงให้กลัว คนไม่รู้เท่า ย่อมจะวุ่นไปตามด้วยความทะเยอทะยานบ้าง ด้วยความตกใจกลัวบ้าง แล้วและเฉไปประพฤติจากทางอันชอบอันถูก นี้เป็นเหตุแห่งความเสื่อมของโลกได้อย่างหนึ่ง ความมีกำลังสามารถต้านทานแต่มาร ๒ ประเภทนั้น เป็นปัจจัยแห่งความเจริญของโลกได้อย่างหนึ่ง พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกโดยนัยนี้เป็นอาทิ บัณฑิตจึงได้ถวายพระนามตามพระคุณว่า “โลกวิทู” แปลว่าท่านผู้รู้แจ้งโลก เมื่อพระองค์ทรงรู้แจ้งโลกอย่างนั้นแล้ว จึงไม่รักไม่หลงไม่มัวเมาในอารมณ์อันยวนจิต ไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เพราะอารมณ์อันคุกคามให้ตกใจกลัว ทรงมั่นอยู่ในปฏิปทาอันชอบ ยังความเป็นไปของพระองค์ให้ลุล่วงมาโดยสวัสดี ตลอดพระชนมายุกาล บัณฑิตจึงได้ขนานพระนามถวายว่า “สุคโต” แปลว่าท่านผู้ไปดีแล้ว หรือท่านผู้ดำเนินดีแล้ว.
ปฏิปทาของท่านผู้ดำเนินดีแล้ว เรียกว่า จรณะ เพราะเป็นเครื่องก้าวไปหาวิชชา คือ ความรู้พิเศษ พระองค์ทรงมั่นในปฏิปทานั้นอยู่ จึงได้บรรลุวิชชาความรู้อย่างสูง อันทำจิตให้พ้นจากหมู่มาร คือ กิเลสอันคอยนำสัตว์โลกลงในที่ต่ำ จึงได้พระนามโดยพระคุณธรรมว่า “วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน” แปลว่าท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาคือความรู้ และจรณะคือปฏิปทา วิชชานั้นเป็นความรู้อันชอบ เป็นประโยชน์แก่พระองค์แก่ผู้อื่นทั้ง ๒ ฝ่าย พระองค์เสาะหาได้เอง ไม่ได้มาแต่สำนักผู้อื่น พระปัญญาอย่างสูงนี้ยังพระองค์ให้ได้รับพระนามว่า “สมฺมาสมฺพุทฺโธ” แปลว่าท่านผู้รู้ชอบเอง พระปัญญานั้นย่อมยังผลอย่างสูงสุดให้สำเร็จแก่พระองค์ คือ ทรงบริสุทธิ์ด้วยประการทั้งปวง ควรแก่ความนับถือของประชาชนทุกหมู่เหล่า บัณฑิตจึงถือเอาพระคุณนี้เป็นที่ตั้งถวายพระนามว่า “อรหํ” แปลว่าท่านผู้ไกลกิเลสบ้าง ท่านผู้ควรได้รับความนับถือบ้าง คุณบทว่า “อรหํ” นี้เป็นนามเรียกได้ทั้งพระศาสดาทั้งพระสาวก แต่มีบทอื่นต่อท้ายให้แปลกกัน พระนามพระศาสดาว่า “อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ” แปลไว้แล้วข้างต้น นามสาวกว่า “อรหํ ขีณาสโว” แปลว่า พระอรหันต์สิ้นอาสวะ พระคุณเหล่านี้จัดเป็นอัตตสมบัติ คือ ความดีส่วนพระองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระคุณที่เป็นอัตตสมบัติเช่นนั้นแล้ว จัดว่ามีภัคยะ คือ สมบัติอันชักจูงคนอื่นเข้ามาคบหา ผู้ใดเข้ามาคบพระองค์ย่อมทรงสั่งสอนผู้นั้น แจกอรรถแจกธรรมให้เข้าใจชัด บัณฑิตหมายเอาพระคุณสมบัตินี้ ขนานพระนามไว้ว่า “ภควา” แปลว่า ท่านผู้มีภัคยะหรือว่าท่านผู้มีภาค พระองค์ทรงแจกธรรมสั่งสอนประชาชน ให้ได้บรรลุผลอันดีงามทั้งส่วนโลกิยะทั้งส่วนโลกุตร ยังคนผู้ไม่เคยเข้าใจให้เข้าใจ ยังคนผู้เคยเข้าใจมาบ้างแล้ว ให้เข้าใจกว้างขวาง นำความหลงอันเป็นเหตุตื่นเต้นและหวาดหวั่นเสีย จึงได้พระนามว่า “พุทฺโธ” แปลว่า ท่านผู้ปลุกให้ตื่น หรือว่าท่านผู้ปลุกใจ พระองค์ทรงสั่งสอนอย่างนี้ แก่พุทธเวไนยทุกชั้น ตามสมควรแก่ภูมิของเขา ยกขึ้นในปฏิปทาที่สูงกว่าโดยลำดับ จึงได้รับพระนามว่า “สตฺถา เทวมนุสฺสานํ” แปลว่า ท่านผู้เป็นครูสอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ ของคนทั้งเจ้าทั้งสามัญ พระองค์ทรงสั่งสอนคนเป็นอันมากเช่นนั้น ย่อมทรงรู้จักฉันทอัธยาศัย เข้าพระหฤทัยในอุบาย ชักจูงน้อมตัดเข้าหาทางดีทางงาม ไม่ต้องใช้บังคับขู่เข็ญ เป็นแต่เพียงใช้พระวาจาก็สำเร็จ ถ้าจะเทียบด้วยนายสารถีผู้ฝึกม้า ก็จัดว่าเป็นเอกอุไม่มีคนสู้ บัณฑิตจึงได้ถวายพระนามว่า “อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ” แปลว่า ท่านผู้เป็นสารถีฝึกบุรุษควรทรมานได้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า พระคุณนี้จัดเป็นปรหิตปฏิบัติคือ ประพฤติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น พระคุณทั้งสองส่วนนี้ มีในพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้สำเร็จพระนาม ๙ ประการ เรียกว่า นวรหคุณ แปลว่า คุณของพระอรหันต์ ๙ ประการ แต่เรียกกลับกันมาเป็นนวหรคุณ บัณฑิตผูกเป็นบทตั้งไว้สำหรับระลึกตาม ในเวลาเจริญพุทธานุสสติ ท่านเรียงบทที่เป็นผลไว้ข้างหน้า เรียงบทที่เป็นเหตุไว้ข้างหลัง เพื่อจะให้เข้าใจง่าย ในที่นี้ จึงได้อธิบายความแห่งบทอันเป็นเหตุถอยหลังเข้ามา
สาธุชนผู้เจริญพุทธานุสสติ ได้อ่านหนังสือแสดงพระพุทธจรรยามามากแล้ว พบแต่บทแสดงความไว้สั้น ๆ ก็จะพึงเข้าใจได้โดยกว้างขวาง ฝ่ายชนผู้ไม่ได้อ่านหนังสือเช่นนั้นมาก คงจะเห็นความแต่เฉพาะบทเช่นเดียวกับได้เห็นด้วยตาเอง หรือเห็นแต่รูปถ่าย ความกว้างแคบย่อมผิดกัน เมื่อจะเจริญพึงยังศรัทธาเลื่อมใสและเคารพให้เกิดในพระพุทธเจ้าแล้ว พึงบริกรรมนึกบทพระคุณนามเหล่านี้แต่เพียงลำพังหรือพร้อมทั้งอธิบาย เลื่อนไปโดยลำดับ หรือเลื่อมใสมากในพระคุณบทใดจะจับเฉพาะพระคุณบทนั้นขึ้นนึกก็ได้ เช่น เคยบริกรรมกันมาว่า “อรหํ ๆ” หรือ “พุทฺโธ ๆ” ดังนี้ แต่พึงรู้จักว่ากัมมัฏฐานนี้เป็นคู่ปรับแก่มิทธะ คือ ความง่วงงุน ต้องการนึกยาว ๆ ในสมัยใดมิทธะครองงำ ควรนึกไปโดยลำดับแม้พร้อมด้วยอธิบาย ในสมัยใดจิตปลอดโปร่ง จะนึกแต่บทที่ขึ้นใจก็ได้ หรือในเวลาไข้หนัก ความนึกสั้น จำต้องนึกเฉพาะบทแท้ ในสมัยใด พระคุณของพระพุทธเจ้าปรากฏแก่จิต เกิดอุตสาหะจะประพฤติตาม และห้ามมิทธะเสียได้ ในสมัยนั้น เป็นอันสำเร็จผลมุ่งหมายแห่งกัมมัฏฐานนี้ เพราะต้องใช้ความนึกเป็นเบื้องหน้า กัมมัฏฐานนี้เจริญได้ดี ก็เป็นเพียงอุปจารสมาธิ
กัมมัฏฐานนี้เป็นสบายแก่ชนมีถีนมิทธะเป็นเจ้าเรือน และแก่คนเป็นสัทธาจริต มีอานิสงส์ให้ตั้งใจไม่ย่อท้อต่อเหตุขัดข้อง เพื่อประพฤติความดีความงาม