ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
๑. | ๑.๑ | คำว่าโลก ในพระบาลีว่า “เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ ฯปฯ” หมายถึงอะไร ? |
| ๑.๒ | พระบรมศาสดาทรงชักชวนให้มาดูโลกนี้โดยมีพระประสงค์อย่างไร ? |
๑. | ๑.๑ | คำว่า โลก โดยตรงหมายถึงแผ่นดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย โดยอ้อมหมายถึง หมู่สัตว์ผู้อยู่อาศัย |
| ๑.๒ | ทรงมีพระประสงค์ให้พิจารณาดูให้รู้จักของจริง เพราะในโลกที่กล่าวนี้ย่อมมีพร้อมมูลบริบูรณ์ด้วยสิ่งที่มีคุณและโทษ พระบรมศาสดาทรง ชักชวนให้มาดูโลก เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เป็นจริง จักได้ละสิ่งที่เป็นโทษไม่ข้องติดอยู่ในสิ่งที่เป็นคุณ |
๒. | ๒.๑ | บุคคลเช่นไรชื่อว่าหมกอยู่ในโลก ? |
| ๒.๒ | ผู้หมกอยู่ในโลกได้รับผลอย่างไร ? |
๒. | ๒.๑ | บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอัน ให้โทษ ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่าหมกอยู่ในโลก |
| ๒.๒ | ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียง สามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้ |
๓. | ๓.๑ | นิพพิทาคืออะไร ? |
| ๓.๒ | ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ? |
๓. | ๓.๑ | นิพพิทา คือความหน่ายในทุกข์ |
| ๓.๒ | อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายใน ทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา |
๔. | ๔.๑ | สังขาร ในอธิบายแห่งปฏิปทาของนิพพิทานั้น ได้แก่อะไร ? |
| ๔.๒ | จะพึงกำหนดรู้สังขารนั้นโดยความเป็นอนัตตาด้วยอาการอย่างไร ? |
๔. | ๔.๑ | ได้แก่ สภาพอันธรรมดาแต่งขึ้น โดยตรงได้แก่เบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันธรรมดาคุมกันเข้าเป็นกายกับใจ |
| ๔.๒ | ด้วยอาการอย่างนี้ คือ ๑) ด้วยไม่อยู่ในอำนาจ หรือด้วยฝืนความปรารถนา ๒) ด้วยแย้งต่ออัตตา ๓) ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ๔) ด้วยความเป็นสภาพสูญ คือว่าง หรือหายไป ๕) ด้วยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย |
๕. | ๕.๑ | วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์อย่างไร ? |
| ๕.๒ | อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยหรือไม่ ? ถ้าจัดได้ จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ? |
๕. | ๕.๑ | ได้แก่ วิปฏิสารคือความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์คือถูกลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย |
| ๕.๒ | อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยเหมือนกัน จัดเข้าในหมวดสหคตทุกข์ ทุกข์ไปด้วยกัน |
๖. | ๖.๑ | สมถภาวนา เป็นอุบายสงบระงับจิตอย่างไร ? |
| ๖.๒ | คนที่มีจิตมักลืมหลง สติไม่มั่นคง ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ? |
๖. | ๖.๑ | สมถภาวนา เป็นอุบายเครื่องสำรวมปิดกั้นนีวรณูปกิเลส มิให้เกิด ครอบงำ จิตสันดานได้ ดังบุคคลปิดทำนบกั้นน้ำไว้มิให้ไหลไปได้ฉะนั้น และเป็นอุบายข่มขี่สะกดจิตไว้มิให้ดิ้นรนฟุ้งซ่านได้ ดังนายสารถีฝึกม้าให้เรียบร้อย ควรเป็นราชพาหนะได้ฉะนั้น |
| ๖.๒ | ควรเจริญอานาปานัสสติ เพราะอานาปานัสสติกัมมัฏฐานนี้เป็นที่สบายของคนที่เป็นโมหจริต |
๗. | ๗.๑ | สันติแปลว่าอะไร ? มีปฏิปทาที่จะดำเนินอย่างไร ? |
| ๗.๒ | สันติเป็นโลกิยะ หรือโลกุตตระ ? |
๗. | ๗.๑ | สันติ แปลว่า ความสงบ มีปฏิปทาที่จะดำเนินคือ ปฏิบัติสงบกาย วาจา ใจ จากโทษเวรภัย ละโลกามิส คือเบญจพิธกามคุณ ๕ มีสันติเป็นวิหารธรรม |
| ๗.๒ | สันติเป็นได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ |
๘. | ๘.๑ | ผู้จะเจริญกายคตาสติกัมมัฏฐานพึงกำหนดอะไร ? |
| ๘.๒ | เพราะเหตุใด ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ท่านจึงเรียกว่า มูลกัมมัฏฐาน ? |
๘. | ๘.๑ | พึงกำหนดพิจารณากายเป็นที่ประชุมแห่งส่วนน่าเกลียดข้างบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมา ข้างล่างตั้งแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ให้เห็นว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ |
| ๘.๒ | ที่เรียกว่ามูลกัมมัฏฐานนั้น เพราะเป็นกัมมัฏฐานเดิมที่กุลบุตรผู้มาบรรพชา ย่อมได้รับสอนกัมมัฏฐานนี้ไว้ก่อนจากพระอุปัชฌาย์ เหมือนดังได้รับมอบศัสตราวุธไว้สำหรับต่อสู้กับข้าศึก คือกามฉันท์ อันจะทำอันตรายแก่พรหมจรรย์ |
๙. | ๙.๑ | เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงจะแยบคาย ? |
| ๙.๒ | อะไรเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ? |
๙. | ๙.๑ | เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ สติ ระลึกถึงความตาย ๑ ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน ๑ เกิดสังเวชสลดใจ ๑ เจริญอย่างนี้ จึงจะแยบคาย |
| ๙.๒ | ความกำหนดรู้ว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา |
๑๐. | ๑๐.๑ | สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ? |
| ๑๐.๒ | เมื่อจะเจริญกัมมัฏฐานพึงปฏิบัติอย่างไร ? |
๑๐. | ๑๐.๑ | ให้ผลต่างกันดังนี้ สมถะ ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ระงับนิวรณ์บางอย่างได้ อย่างสูง ทำให้ เข้าถึงฌานต่าง ๆ ได้ ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผล พ้นจากสังสารทุกข์ |
| ๑๐.๒ | พึงปฏิบัติอย่างนี้ ในชั้นต้นพึงศึกษาให้รู้ว่า กัมมัฏฐานชนิดไหนชั้นใด ในกัมมัฏฐานนั้น ๆ มีความมุ่งหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ในที่นี้ควรศึกษาให้รู้กัมมัฏฐาน ๒ อย่างคือ ๑) สมถกัมมัฏฐาน ๒) วิปัสสนากัมมัฏฐาน |