ความรัก ๑๐ มิติ 09-02

อาริยบุคคล ๔


ระดับแต่ละระดับ ก็คือ "ความจบ" แต่ละรอบ จบในที่นี้ก็คือ ตัดกิเลสได้เสร็จสิ้น ไม่เวียนวนไปเกิดใน "โลก" นั้นๆ หรือ "กิเลสไม่เกิด" เวียนวนเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ใน "โลก" นั้นๆ อีกแล้ว
"โลก" คือ ความหมุนวนเวียนไปๆ มาๆ หรือต่ำๆ สูงๆ เป็นวงวนวงเวียนไม่หยุดจบ เด็ดขาดลงได้ แน่แท้ เป็นต้นว่า โลกอบาย โลกกาม โลกธรรม โลกอาตมัน
"โลกอบาย" ก็คือ ความหมุนวนของคน ผู้ยังมี "กิเลส" ในจิต กิเลสมันก็จะมีอำนาจ บงการบุคคลผู้นั้นอยู่ ให้วนๆ เวียนๆ อยู่ ใน "อบาย" (ความไม่ดีไม่เจริญที่คนผู้นั้นยังเสพยังติดอยู่) เช่น อบายมุข ที่เป็นความไม่ดีไม่เจริญ หาก "จิต" ผู้ใดยังมีกิเลส ติดในอบายมุขใดอยู่ ถ้าคนผู้นั้นยังตัดไม่ขาด หรือ ละล้างกิเลสออกจากจิต ไม่ได้หมดเกลี้ยงจริง ก็จะยังวนๆ เวียนๆ เสพ วนๆ เวียนๆ สุข ยังจะ ต้องเป็นสุขเป็นทุกข์ อยู่กับอบายมุขนั้น ไม่หยุด ไม่จบอยู่นั่นเอง ซึ่งก็มีพักชั่วคราว ชั่วระยะ อาจจะหยุดไปนานๆ ก็ยังได้ แต่ถ้ากิเลสมันยังไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจาก "จิต" จริง มันก็จะกลับวนมา กำเริบ (กุปป) หรือเวียนมาเสพใหม่ได้อีก หากมีวิธีกดข่มเก่งๆ ก็อาจจะดูเหมือน มันหยุดได้สนิท ไปนานข้ามชาติ ไปโน่นก็เป็นได้ แต่ จะไม่ "ตายสนิท" อย่างเด็ดขาด ชนิดถาวรนิรันดร์ หากไม่มีทฤษฎีที่ดีวิเศษเป็น "สัมมาอาริยมรรค" ที่สามารถจับ "ตัวตน" ของกิเลสได้จริง อย่างแม่นมั่น คมชัดลึก และมีวิธีละล้าง หรือกำจัดมันได้ ถูกตัวของมันจนเกลี้ยงทั้ง หยาบ-กลาง-ละเอียด
"อบาย" ที่เป็นสัจจะสมบูรณ์ ก็หมายถึง "ความไม่เจริญ" ทั้งหมดนั่นเอง ที่ไล่จากหยาบต่ำ ไปหา กลาง หาสูง จนถึงที่สุดทีเดียว แม้จะหมดความหยาบต่ำระดับต้นแล้ว ระดับต่อไป ก็ย่อมเป็น "ความไม่เจริญ" ในขั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจริญสูงสุด ถึงขั้นเป็นคนเจริญ ประเสริฐสุดยอด ก็คือ อรหันต์
"โลกกาม" ก็มีนัยคล้ายกันกับคำว่า"โลก"ที่ชื่อว่า"อบาย" เพียงแต่ว่า เป็นความหมุนวนของคน ผู้ยังมี "กิเลส" ในจิตที่ติด ใน "รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสภายนอก" อันเรียกว่า "กามคุณ " กิเลสมันก็จะมีอำนาจ บงการบุคคลผู้นั้นอยู่ ให้วนๆ เวียนๆ อยู่ใน "กาม" (ความใคร่อยากที่คนผู้นั้นยังเสพยังติดอยู่) เช่น ของสวย ของงามต่างๆ ความไพเราะต่างๆ ความหอมต่างๆ ความอร่อย ต่างๆ ความสัมผัสที่ได้แตะต้อง เสียดสีคลุกคลี ทางพฤติกรรม ภายนอก แล้วก็ยังเป็นสุขเป็น "รสอร่อยเพลิดเพลิน สนุกสนาน" ที่เรียกว่า "อัสสาทะ" ทั้งหลายอยู่ หาก "จิต" ผู้ใดยังมีกิเลสติดใน "กามคุณ " ใดอยู่ ถ้าคนผู้นั้นยังตัดไม่ขาด หรือละล้างกิเลสออกจากจิตไม่ได้ หมดเกลี้ยงจริง ก็จะยังวนๆ เวียนๆ เสพ วนๆ เวียนๆ สุข ยังจะต้องเป็นสุข เป็นทุกข์อยู่กับ "กามคุณ" นั้น ไม่หยุด ไม่จบ อยู่นั่นเอง ซึ่งก็มีพักชั่วคราว ชั่วระยะ อาจจะหยุดไปนานๆ ก็ยังได้ แต่ถ้ากิเลสกาม มันยังไม่ได้ถูกกำจัด ออกไปจาก "จิต" จริง มันก็จะกลับวนมากำเริบ (กุปป) หรือ เวียนมาเสพใหม่ได้อีก
"กาม" ที่เป็นสัจจะสมบูรณ์ ก็หมายถึง "ความใคร่อยากได้มาเสพบำเรออารมณ์ตน" ทั้งหมดนั่นเอง ที่ไล่จากหยาบต่ำ ไปหากลาง หาสูง จนถึงที่สุดทีเดียว แม้จะหมดความหยาบต่ำ ระดับต้นแล้ว ระดับต่อไป ก็ย่อมเป็น "ความใคร่อยาก" ในขั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจริญสูงสุด ถึงขั้นเป็นคนเจริญ ประเสริฐสุดยอด ก็คือ อรหันต์ เช่นกัน
"โลกธรรม" ก็มีนัยคล้ายกันกับคำว่า "โลก" ที่ชื่อว่า "กาม" นั่นแหละ เพียงแต่ว่า เป็นความหมุนวนของคน ผู้ยังมี "กิเลส" ในจิตที่ติดใน "ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-โลกียสุข" กิเลสมันก็จะมีอำนาจ บงการบุคคลผู้นั้นอยู่ ให้วนๆ เวียนๆ อยู่ใน "โลกธรรม" (ความยังติดยึดลาภ-ยศ-สรรเสริญ-โลกียสุขอยู่) เช่น ได้ลาภมาก็เป็นสุข ไม่ได้ลาภนั้นก็ทุกข์ ยศ, สรรเสริญ, โลกียสุข ก็นัยเดียวกันกับลาภ แล้วก็ยังเป็นสุขเป็น "รสอร่อย ลิงโลดใจชื่นใจ" ที่เรียกว่า "อัสสาทะ" ทั้งหลายอยู่ หาก "จิต" ผู้ใดยังมีกิเลสติดใน "โลกธรรม" ใดอยู่ ถ้าคนผู้นั้นยังตัดไม่ขาด หรือละล้างกิเลส ออกจากจิตไม่ได้ หมดเกลี้ยงจริง ก็จะยังวนๆ เวียนๆ เสพ วนๆ เวียนๆ สุข ยังจะต้อง เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่กับ "โลกธรรม" นั้น ไม่หยุด ไม่จบ อยู่นั่นเอง ซึ่งก็มีพักชั่วคราว ชั่วระยะ อาจจะหยุดไปนานๆ ก็ยังได้ แต่ถ้ากิเลสมันยังไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจาก "จิต" จริง มันก็จะกลับวน มากำเริบ (กุปป) หรือเวียนมาเสพใหม่ได้อีก
"โลกธรรม" ที่เป็นสัจจะสมบูรณ์ ก็หมายถึง "ความติดยึดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข" ทั้งหมดนั่นเอง ที่ไล่จากหยาบต่ำ ไปหากลาง หาสูง จนถึงที่สุดทีเดียว แม้จะหมดความหยาบต่ำ ระดับต้นแล้ว ระดับต่อไป ก็ย่อมเป็น "ความติดยึด" ในขั้นต่อไป เรื่อยๆ จนกว่าจะเจริญสูงสุด ถึงขั้นเป็นคนเจริญ ประเสริฐ สุดยอด ก็คือ อรหันต์ นัยเดียวกันอีก
"โลกอาตมัน" หรือ "โลกอัตตา" ก็มีนัยคล้ายกันกับ "โลก" ต่างๆ ที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของ "จิตวิญญาณ" โดยตรง และเป็นเรื่องละเอียดลึกล้ำ ที่ศาสนาพุทธรู้แจ้งเห็นจริงโดยเฉพาะ อันจะได้ศึกษา ในคำอธิบาย "ความรัก มิติที่ ๘--๑๐" อย่างละเอียด
สำหรับผู้มี"ความหลุดพ้น"โลกต่างๆ ดังกล่าวมานั้นได้ ก็จะเป็นผู้ได้ล้างจิตอย่างถูก "ตัวตน" (อัตตาหรืออาตมัน) อย่างจริงจัง แม่นมั่นคมชัดลึกล้ำ เป็น "อาริยบุคคล" ไปตามลำดับ อันมีขั้นต้นก็คือ "โสดาบัน" ต่อไปก็ "สกทาคามี" แล้วก็ "อนาคามี" สูงสุดก็ "อรหันต์"
"โสดาบัน" ก็คือ ผู้ที่ไม่ต้องเกิดเวียนวนเป็นสุขๆ ทุกข์ๆ อยู่ใน "โลกอบาย" [โลกอบายมุขคือโลกที่ต่ำที่สุด] "อบาย" คือ ความต่ำหยาบความจัดจ้านร้ายแรง หรือความไม่ดีไม่งาม ขั้นเลวระดับพื้นฐาน หรือความทุจริต ที่รู้กันเป็นสัจจะ ชัดๆ โต้งๆ
"สกทาคามี" หรือ "สกิทาคามี" ก็คือ ผู้ที่ยังต้องเกิดเวียนวนเป็นสุขๆ ทุกข์ๆ อยู่ใน "โลกกาม-โลกธรรม-โลกอาตมัน" ที่เหลือ "โลก" คือ ความวนเวียนใด ที่ยังหลงเสพหลงติดอยู่ ในโลกดังกล่าวก็ถือว่า ยังไม่เจริญ ยังติดในเรื่องของกามคุณ ก็ดี โลกธรรม ก็ดี และโลกอาตมัน หรืออัตตาก็ดี ซึ่งยังเป็นความติดยึด ขั้นต่อมา จากระดับพื้นฐาน หรือความไม่เจริญ ที่รู้กันเป็นสัจจะสูงขึ้นๆ ตามลำดับ เมื่อถึงขั้นนี้ ก็สูงขึ้นจากขั้นต่ำ ที่หลุดพ้นมาได้แล้ว ละเอียดขึ้นไป เป็นขั้นเป็นตอน
"อนาคามี" ก็คือ ผู้ที่ไม่ต้องเกิดเวียนวนเป็นสุขๆทุกข์ อยู่ใน "โลกกาม-โลกธรรม" ยังเหลือแต่ ส่วนละเอียด ของ "สังโยชน์ เบื้องสูง" (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) "โลก" คือ ความวนเวียนใด ที่ยังหลงเสพ หลงติดอยู่ใน "โลกอาตมัน หรืออัตตา" ก็ถือว่า ยังไม่เจริญ ยังติดในเรื่องของ "รูปราคะ" ก็ดี "อรูปราคะ" ก็ดี "มานะ" ก็ดี "อุทธัจจกุกกุจจะ" ก็ดี "อวิชชา" ก็ดี ซึ่งยังเป็นความติดยึด ขั้นต่อมาจากระดับพื้นฐาน หรือ ความไม่เจริญ ที่รู้กันเป็นสัจจะ สูงขึ้นๆ ตามลำดับ เมื่อถึงขั้นนี้ ก็สูงขึ้นจากขั้นต้น ขั้นกลางที่ หลุดพ้นมาได้แล้ว ละเอียดขึ้นไปๆ สุดท้ายยังเหลือเป็นขั้นปลาย
"อรหันต์" ก็คือ ผู้ที่ไม่ต้องเกิดเวียนวนเป็นสุขๆทุกข์ๆอยู่ใน "โลก" ที่เรียกว่า "โลกียภูมิ" ใดๆ อีกแล้ว พ้น "สังโยชน์ เบื้องสูง" (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) "โลก" คือ ความวนเวียนใด ที่ยังหลงเสพ หลงติดอยู่ใน "โลกอาตมันหรืออัตตา" ก็ถือว่า รู้แจ้งเห็นจริง และได้ปฏิบัติ จนกระทั่งไม่เหลือความติด ความเสพใดอีก มี "วิมุติญาณทัสสนะ" หมดสิ้น "อวิชชา" มี "วิชชา " ถึงขั้นบรรลุสุดยอด "อาสวักขยญาณ" บริบูรณ์ อย่างเป็นสัจจะ หมด "ความวน" ได้ทำการ "ดับโลก" ต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ครบสมบูรณ์ไม่ต้อง วกเวียนลงไปสู่ "โลก" ต่ำใดๆ อีกแล้วเด็ดขาด (absolute)
ผู้ที่ต้องเวียนวนลงไปสู่ที่ต่ำที่เลวนั้นอีก หรือต้องเสพต้องติด ต้องเป็นอยู่กับความวน ไปๆ มาๆ เพื่อตนเองจะได้รับสุข รับทุกข์อยู่กับสภาพอย่างนั้นๆ ขาดสภาพนั้นไม่ได้ หรือละสภาพนั้นๆ ไม่เสร็จเด็ดขาด ก็เพราะ "ไม่รู้" (อวิชชา)
ไม่รู้ใน "จิต" ของตนว่า ตนมี "กิเลส" นั้นๆ ไม่รู้ "ความจริง อันประเสริฐ" (อาริยสัจ) ว่า "สุข" เพราะได้เสพ สมใจกิเลสนั้น "คน" สามารถเรียนรู้ฝึกฝน จนดับเหตุแห่ง "สุข" นั้นๆ ได้ หากดับได้จริง ผู้นั้นก็จะ "สุขสงบ" (วูปสมสุข) ซึ่ง "สุขเลิศวิเศษ" ยิ่งกว่าได้ "เสพสมใจกิเลส" อันเป็น "รสสุข" (อัสสาทะ) ที่โลกโลกีย์ หลงเสพ กันอยู่เสียอีก
"รสสุข" (อัสสาทะ) ที่ว่านี้ แท้ๆ แล้ว มันเป็นแค่อามิสที่ล่อให้คนหลงติดเท่านั้น มันไม่ใช่ของจริง มันเป็น "ของไม่จริง" (อลิกะ) เช่น สุขเพราะได้เสพกาม ดังนี้ ก็เรียกว่า"กามสุขัลลิกะ" ซึ่งล้างให้หายไป จากจิตของคน ได้ สิ้นรสกามได้ หรือปฏิบัติ ละล้างเหตุคือ "กามตัณหา" ให้กามตายหายไปจากจิตได้
หากปฏิบัติได้ผลจริงก็จะ "สุขสงบ" (วุปสมสุข) เพราะสิ้น "การหมุนวน" กล่าวคือ ไม่ต้องเสพกาม แล้วก็ต้องพัก แล้วก็ต้องกลับวนเวียน ไปเสพใหม่อีก ซึ่งไม่หยุดเด็ดขาดลงได้จริง แม้ชาตินี้ จะหยุดไปได้ ชั่วคราว แต่กิเลสโดยเฉพาะ "ปริยุฏฐานกิเลส และอนุสัยกิเลส" ไม่ได้ละล้างจนหมดสิ้น ก็ต้องวนเวียน เกิดมาเสพ เป็นภาระไม่จบสิ้น อยู่นั่นเอง ต้องเดือดร้อน ต้องเหน็ดเหนื่อย บำเรอตนอยู่ เพราะยังดับกิเลส ไม่ได้สิ้นเกลี้ยง หมดสนิทจริง ยังมีกิเลสหลงเหลือ กิเลสที่ซ่อนลึกยังมีอยู่ จึงไม่หยุด หมุนวน
จึงเรียกว่า "ยังมีโลกชนิดนี้" อยู่
"โลก" ที่ต้อง "ดับ" หรือที่ต้อง "หยุดหมุนให้ได้" นั้น ก็คือ "โลกีย์" ต้องไม่เป็นทาส "โลกีย์" นั้นๆ ต้องไม่ให้เกิด การหมุนวน หมุนเวียน เสพสุขเสพทุกข์ เพราะมัน ตามนัยที่อธิบาย มานี้ จน "ไม่มีกิเลส" หรือ "ไม่มีโลก - ไม่ต้องหมุนวน อีกเด็ดขาด" จึงจะชื่อว่า "นิพพาน"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘