ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน

ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน ( Ludwig Van Beethoven )
แท้ม แท้ม แท้ม แถ่ม แท้ม แท้ม แท้ม แถ่ม
ลำนำแห่งบทเพลงอมตะที่แสนยิ่งใหญ่นี้ได้โลดแล่นอยู่อยู่ในวงดนตรี ออเครสตา มานานแสนนาน และผมก็เชื่อว่าเพื่อนๆทุกคนต้องเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแล้ว แม้จะไม่รู้จักชื่อเพลง หรือชื่อนักประพันธ์ก็ตาม แต่ชื่อนั้นจะสำคัญไรเล่ากับการที่เราจะเข้าถึงและสัมผัสรสอมตะแห่งท่วงทำนองและภาษาแห่งสุนทรียสักชิ้นหนึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าเหล่าตัวโน้ตดนตรีที่ต่างก็มีลักษณะเฉพาะเหล่านี้เมื่อมาผสมกลมกลืนกันอย่างได้ดุลยภาพแห่งเสียง จะสามารถสร้างสรรค์บทเพลงที่จรรโลงและขับกล่อมโลกมาได้นับแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน และที่น่าทึ่งเหนือยิ่งไปกว่านั้น อยู่ที่ความน่าอัศจรรย์ในอัจฉริยภาพของมนุษย์ที่สามารถเรียงร้อยให้ความแตกต่างเหล่านั้นมาอยู่รวมกันได้อย่างลงตัว บุรุษนาม ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน เป็นเหมือนบทพิสูจน์หนึ่งที่ทำให้ผู้คนทั้งโลกได้ประจักษ์แท้ถึงความจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี
“ บีโธเฟน ” เมื่อเอ่ยชื่อของท่านผู้นี้ แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้จักท่านในแง่ของบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านดนตรีอย่างสูงสุด แต่จะมีใครสักกี่คนเล่าที่จะล่วงรู้ว่า เบื้องหลังความสำเร็จและชัยชนะเหล่านั้นบุรุษท่านนี้ต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายมามากน้อยเพียงไดและต้องสูญเสียอะไรมาบ้าง ในวันนี้ผมจึงขอเป็นผู้ทำหน้าที่เผยแผ่ในอีกแง่มุมชีวิตของท่าน ว่าจริงๆแล้วชีวิตของท่านนั้นยิ่งใหญ่เหนือกว่าชื่อเสียงที่ท่านได้รับเพียงใด มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่าชีวิตของคนเรานั้นมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือความสว่างและอีกด้านหนึ่งคือความมืด แต่สำหรับชายที่ชื่อ บีโธเฟนแล้ว ชีวิตของเขาในด้านสว่างดูเหมือนจะเป็นเพียงแสงหิ่งห้อยท่ามกลางคืนที่ไร้ดวงดาวและจันทรา บีโธเฟนเติบโตมาในครอบครัวที่เปรียบเสมือนแพแตก เขาต้องทนทุกข์กับบิดาที่มีอารมณ์ร้ายและขี้เหล้าเมายาใช้จ่ายเงินในการซื้อเหล้าหมดไม่เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของของครอบครัว บีโธเฟนเป็นเด็กที่มีรูปลักษณ์ขี้เหร่ เงียบขรึมและขี้อาย พ่อเริ่มสอนเขาเล่นไวโอลินและเปียโนก่อนที่เขาจะมีอายุ 4 ขวบ แต่เขาเล่นไม่ได้ดั่งใจหวังของบิดา จึงทำให้พ่อโมโหและทำโทษเขาด้วยวิธีการเอาไม่เคาะที่ตาตุ่มบ่อยๆ บิดาของเขามีความหวังอยากจะให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังในทางดนตรีเยี่ยง โมสาร์ท จึงพยายามบังคับเคี่ยวเข็ญให้บีโธเฟนฝึกฝนเล่นดนตรีอย่างเข้มงวดกวดขันที่สุด แต่กระนั้นก็ดี อัจฉริยภาพทางดนตรีของบีโธเฟนก็ยังไม่ปรากฏออกมา แต่ในเวลาต่อมา ดูเหมือนว่าความพยายามของผู้เป็นพ่อจะสัมฤทธิ์ผล เมื่อบีโธเฟนเริ่มที่จะรักและชอบเสียงดนตรีขึ้นมาบ้าง ดนตรีต่างๆที่เคยถูกพ่อบังคับให้เล่นจนเอือมระอาและไม่ชอบมันเลย แต่บัดนี้กลับชอบมันขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด เขาเต็มใจที่จะเล่นดนตรี จนเมื่อเขามีอายุ 8 ขวบก็ได้แสดงออกโรงต่อหน้าประชาชนมากมายเป็นครั้งแรกซึ่งปรากฏว่าได้รับการปรบมือจากผู้ฟังอย่างเกรียวกราว และนั่นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการก้าวเข้าสู่เส้นทางสายนี้อย่างเต็มตัว ความมีอัจฉริยภาพของเขาเริ่มเฉิดฉายขึ้นเรื่อยๆ เขาได้เป็นหัวหน้าวงแทนครูของเขาด้วยวัยเพียง 12 ขวบ เจ้าเมืองที่เขาอยู่เห็นความสามารถจึงให้ทุนในการเล่าเรียนต่อ เขาได้ไปเรียนดนตรีกับโมสาร์ท ซึ่งทำให้โมสาร์ทพอใจในฝีมือของเขามากถึงกับกล่าวว่า “ จงคอยดูเด็กน้อยคนนี้ให้ดี สักวันหนึ่งเพลงของเขาจะดังก้องไปทั่วโลก ”
ในชีวิตของชายผู้นี้เขามีความตั้งใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ เขามุ่งมั่นที่จะหาชื่อเสียงในการเล่นดนตรีและการแต่งเพลงต่างๆตามความนึกคิดของเขาเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได่ และเขาก็มีความมั่นใจในตัวเองสูง การเล่นดนตรีของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยลีลาและความรู้สึกที่ระบายออกมาอย่างรุนแรงแต่งดงามทำให้มีคนชอบการเล่นของเขามาก มีลูกศิษย์ลูกหาและชนชั้นสูงมาเรียนดนตรีกับเขามากมาย เพลงที่บีโธเฟนแต่งนั้นเป็นเพลงที่แสดงออกมาอย่างเสรี แหวกแนวไม่เป็นไปตามแบบแผนอันเก่าแก่ งานของเขาถูกต่อต้านจากนักดนตรีที่เป็นพวกหัวอนุรักษ์แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพอใจที่จะทำงานที่เขารักต่อไป และในที่สุดคนส่วนมากก็หันมานิยมในงานของเขา
ความไม่แน่นอนคือความแน่นอนของชีวิต ในขณะที่เขากำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักแต่งเพลงเอกอยู่นั้น หูของเขาก็เริ่มมีอาการปวดและอื้อ ความเจ็บปวดร้าวรานทรมานใจของเขาเป็นอย่างยิ่ง หมอได้แนะนำให้เขาไปพักผ่อนแถบชานเมือง เขาจึงไปใช้ชีวิตแยู่ในย่านชนบทของเมืองไฮลิเกนสตัดท์ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเวียนนาไปเล็กน้อย เป็นเมืองที่สงบเงียบและมีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ที่นั่นเขาพยายามที่จะรักษาหูของเขาแต่ก็ไร้ผล หูของเขาหนวกสนิทเสียแล้ว มันไม่สามารถที่จะรับฟังเสียงใดได้เลย การที่เขาจะสนทนากับใครต้องใช้การเขียนหนังสือเท่านั้น เขาเริ่มคิดมากและเริ่มท้อแท้ในชีวิต เขาต้องเผชิญกับความเงียบสงัดอันน่าสะพรึงกลัว มันเป็นเรื่องเลวร้ายมากสำหรับนักดนตรีอย่างเขาที่มีหูให้ฟังเสียงดนตรีไม่ได้ แต่แล้วเขาก็คิดได้และปลงตกในเรื่องความพิการ เขาจะต้องเอาชนะโชคชะตาของตัวเองให้ได้จึงตั้งปณิธานว่า “ ฉันจะไม่ยอมสยบให้กับความเคราะห์ร้ายเป็นอันขาด และความพิการจะดึงตัวฉันให้ตกต่ำไปไม่ได้ ” จากแรงบันดาลใจนี้เองทำให้เขายืนหยัดและลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง
จากเหตุการณ์นั้น บีโธเฟนได้กลับมาผงาดอีกครั้ง เขาแต่งบทเพลงอีกมากมายโดยแต่ละบทเพลงนั้นได้แฝงไว้ด้วยอดีต เรื่องราว ประสบการณ์ และความรู้สึกของเขาอย่างลึกซึ้งและเต็มเปี่ยม เขาได้แต่งบทเพลงซิมโฟนีมากมาย กระทั่งซิมโฟนีอันดับที่ 9 ซึ่งเป็นซิมโฟนีอันดับสุดท้ายและนับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาได้ออกแสดง เขาลงมือกำกับเพลงด้วยตนเองท่ามกลางวงดนตรีมหึมา มีผู้เข้าฟังอย่างล้นหลาม เมื่อการเล่นกระบวนที่หนึ่งได้เริ่มขึ้น เสียงเพลงจากชีวิตของเขาก็กระหึ่มไปทั่วบริเวณพาผู้ฟังให้เคลิบเคลิ้มไปสู่อีกโลกหนึ่ง ทุกคนนั่งนิ่งประหนึ่งต้องมนต์สะกด เมื่อกระบวนที่ 1 จบลง เสียงปรบมือและโห่ร้องแสดงความชื่นชมก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว มีเพียงบีโธเฟนเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเลยเขานิ่งเฉย เพลงกระบวนที่ 2 ก็เริ่มขึ้นและตามด้วยกระบวนที่3และ4จนจบเพลง ผู้ฟังนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเสียงตะโกนโห่ร้องและเสียงปรบมือแสดงความชื่นชมยินดีต่อความสำเร็จอย่างงดงามนี้ก็ได้ดังขึ้นเป็นเวลานาน แต่บีโธเฟนก็ยังคงยืนหันหลังให้แก่ผู้ฟังสายตาจับจ้องอยู่ที่กระดาษเนื้อเพลงหน้าสุดท้าย นักร้องคนหนึ่งสังเกตเห็นจึงสะกิดเขา เมื่อเขาหันมาทางผู้ฟัง เขาจึงได้เห็นมือและใบหน้าที่แสดงถึงความยินดีต่องานชิ้นนี้ของเขา เขารู้สึกตื้นตันมากจนน้ำตาไหลอาบสองแก้ม เขาโค้งศีรษะรับด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นที่สุดและนี่ก็เป็นการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายของเขา
หลังจากงานแสดงนั้นสุขภาพของเขาก็ทรุดโทรมอย่างหนัก เขาป่วยเป็นหวัดอย่างแรงและเป็นนิวมอเนียในที่สุด พอหายจากนิวมอเนียก็เป็นดีซ่านและโรคท้องมานติดต่อกัน เขานอนซมอยู่หลายเดือน กระทั่งในบ่ายวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ.1827 ขณะที่บีโธเฟนป่วยหนักไม่ได้สติ อากาศก็กำลังปั่นป่วน พายุฝนโหมอย่างหนักลูกเห็บร่วงกราวจากฟากฟ้า แล้วทันใดนั้นเอง เสียงฟ้าคำรามลั่นเปรี้ยงกัมปนาทหวั่นไหว ทำให้บ้านสะเทือนไปทั้งหลัง แสงสว่างวาบของสายฟ้าแลบได้พุ่งวูบวาบมาถึงห้องนอนของบีโธเฟนทำให้เขาลุกพรวดพราดขึ้นนั่ง พร้อมกับยกมือข้างขวาไขว่คว้าไปมาแล้วก็ผงะหงายหลังลงกับพื้นเตียงสิ้นใจทันที วิญญาณของเขาได้ลอยออกจากร่างไปพร้อมๆกับสายฟ้านั่น ในขณะที่เขามีอายุได้เพียง 57 ปีเท่านั้น
บีโธเฟนได้ตายจากไปนานแสนนาน แต่เสียงเพลงอมตะของเขายังคงกระหึ่มก้องกังวานไปทั่วทุกมุมโลกอย่างไม่มีวันที่จะเสื่อมสูญลงไปได้เลย แน่นอน! เขายังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีและในหัวใจของคนทั้งโลกตลอดไป และนี่ก็คือเรื่องราวชีวิตของนักดนตรีและนักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ เพื่อนๆครับ แม้จะถูกโชคชะตาเล่นตลกและต้องพบกับความสูญเสียมากเพียงใด แต่บีโธเฟนก็ยังสามารถลุกขึ้นสู้ได้ใหม่อย่างไม่ย่อท้อ เพราะหัวใจที่ไม่เคยตายจากความสิ้นหวัง จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดบทเพลงของเขาจึงไม่เคยตายไปจากใจของคนทั้งโลก เมื่อชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นไปอย่าพ่ายแพ้ต่อความสิ้นหวังและเมื่อทำได้ดังนั้น ผมเชื่อว่า เพื่อนๆจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกเช่นกัน

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘