วิชาการพูด 57
ศิลปะการพูด
คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะคะว่า การพูดคุยกันอย่างไม่มีเนื้อหาสาระนั้นใคร ๆ ก็ทำได้ เช่น การพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ถ้าจะให้ไปพูดต่อหน้าชุมชนแล้ว ก็จะมีอาการประหม่า พูดไม่ออกทันที หรือแค่รู้ตัวว่าจะต้องออกมาพูดเท่านั้นแหละ ก็มีอาการเหงื่อออกตามมือตามเท้าเลย เช่น พวกเราที่เรียนกันในชั้นนี้ก็คงยังมีอาการเหล่านี้อยู่ใช่ไหมคะ ทุกคนมาที่นี่ เพื่อจุดประสงค์เดียวกันก็คือ ต่างต้องการที่จะเป็นนักพูดที่ดี ไม่มีอาการประหม่าต่อเวทีี ต้องการความมั่นใจ เมื่อพูดต่อหน้าชุมนุมชน ดังนั้นดิฉันจึงมีวิธีที่จะมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ในเรื่องของการพูดซึ่งได้อ่านหนังสือของ อาจารย์ปรีชา ช้างขวัญยืน ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในวงการภาษาไทย ท่านได้แนะนำการพัฒนาทักษะไปสู่การเป็น นักพูดที่ดีไว้ การพูดที่ดีนั้นผู้พูดต้องปฏิบัติตามนี้ค่ะ
๑.มีแรงจูงใจ จะเห็นได้ว่าคนเราจะมีพลังบางอย่างผลักดันให้มาพูด เช่น พูดเพื่อเร้าใจ เพื่อให้ข้อเท็จจริง ผู้พูดต้อง สร้างแรงจูงใจในการพูดแต่ละครั้ง เราต้องคิดว่าพูดเพื่อต้องการจะพูดจะบอกอะไรบางอย่างกับผู้ฟัง เราต้องสร้างแรงจูงใจ ที่จะพูดไปในทางสร้างสรรค์ มิใช่ในทางทำลาย คือพูดเพื่อจะให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์จริง ๆ สุจริตใจไม่หลอกลวงผู้ฟัง แรงจูงใจนั้นจะทำให้ผู้ฟังฟังเราอย่างตั้งใจที่สุด แม้ว่าเรื่องนั้นจะยากหรือไม่เพลิดเพลิน แต่ถ้าผู้พูดมีแรงจูงใจมาเป็นแรง ผลักดันให้พูด เรื่องก็จะมีความน่าสนใจ มีพลัง การสร้างแรงจูงใจที่ดีที่สุด คือ บอกสาระประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับ จากการฟัง เพื่อให้ผู้ฟังตั้งใจฟังสาระที่เราจะนำมาเสนอให้ฟังตั้งแต่ต้น แรงจูงใจ นั้นจะต้องเป็นไปในลักษณะที่ไม่เป็น การหลอกลวงผู้ฟัง เช่น ถ้าวันนี้ดิฉันจะมาบอกเพื่อน ๆ ว่ามีวิธีการที่จะทำให้เพื่อน ๆ สามารถพัฒนาตนเองสู่การเป็น นักพูดที่ดี แต่ดิฉันไม่ได้เชื่อหรือไม่แม้แต่จะคิดปฏิบัติ การออกมาพูดในวันนี้ก็จะดูเหมือนเป้นการทำแบบเสแสร้งใช่ไหมคะ
๒.ความเป็นกลาง ผู้พูดต้องมองเรื่องที่จะพูดอย่างเป็นกลางไม่เอาแต่ความคิดของตนเป็นที่ตั้ง ควรมองตามเหตุผล และผู้พูดจะต้องมีความเป็นกลางเมื่อผู้ฟังวิจารณ์ เพื่อน ๆ อาจจะสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นกลางหรือไม่เป็น เราจะวัด ความเป็นกลางได้จากการดูว่า เราสามารถรับฟังคำวิจารณ์ของผู้ฟังได้หรือไม่ เราตกเป็นทาสอารมณ์ ไม่ยอมรับฟังความเห็น ที่ขัดแย้งกับตนได้ถ้าความเห็นนั้นมีเหตุมีผล แต่โดยทั่วไปแล้วเราก็คงไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์ว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พุดไม่ได้เรื่องเลย แต่หากมองในทางกลับกันเราจะเห็นว่าผู้ฟังนั่นแหละค่ะคือ กระจกเงาอย่างดีที่สะท้อนภาพรวมของเรา หากเราไม่มีกระจกเงาที่คอยสะท้อนให้เราแล้วล่ะก็ การพูดแต่ละครั้งก็แทบจะไม่มีความหมายเลย เราก็จะมัวแต่คิดว่า เราพูดได้แค่นี้ก็ดีแล้ว อยู่ร่ำไป แล้วเราก็จะไม่ได้พัฒนาทักษะการพูดเลยล่ะค่ะ
๓.ความเจนเวที ผู้พูดที่ผ่านเวทีการพูดมาบ่อย ๆ ย่อมมีอาการประหม่าน้อยกว่าผู้ที่ผ่านเวทีมาน้อย ผู้ที่เจนเวทีจะ ปรับตัวให้เข้ากับผู้ฟังได้เร็วค่ะ และการพูดที่ผู้พูดปรับตัวเข้ากับผู้ฟังได้เร็วนั้นจะนำไปสู่การเข้าใจเนื้อหาที่จะพูด แต่หสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ผ่านเวทีบ่อย ๆ ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เราจะใช้วิธี การฝึกฝน นี่แหละค่ะฝึกฝนอย่างตั้งใจจริง พูดกับโต๊ะ เก้าอี้ ต้นไม้ ได้ทั้งนั้นนะคะทำตามวิธีที่เพื่อน ๆ ของเราเคยแนะนำไว้นั่นแหละค่ะดีที่สุด แรก ๆ อาจจะรู้สึก แปลก ๆ พิกลว่าเอ ทำไมฉันต้องมาพูดกับโต๊ะ เก้าอี้ ด้วย แต่ต่อ ๆ ไปก็จะชินไปเองแหละค่ะ อย่าเพิ่งละความพยายาม นะคะ
๔ความมั่นใจ นักพูดหน้าใหม่มักจะประสบกับปัญหาการขาดความมั่นใจ กล้วว่าจะพูดได้ไม่ดี กลัวจะสื่อสารกับคนฟัง ไม่รู้เรื่อง จำทำให้ไม่กล้าพูด ถ้ามีอาการอย่างนี้แล้วล่ะก็การพูดของเราก็จะขาดอิสระ รู้สึกเหมือนกับว่ามันมีกรอบอะไร บางอย่างมากั้นเราขณะพูดค่ะ ดังนั้นวิธีการที่จะเรียกความมั่นใจ ทำให้เรามีความมั่นใจนั้นคือ เราต้องพึงระลึกเสมอว่า ในวันนี้เราจะออกมาหพูด เราเป็นคนที่สำคัญที่ผู้ฟังให้ความสนใจ มีคนจำนวนมากที่มาฟังเราในวันนี้ และเราก็มี อิสระที่จะพูดได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ควรพึงระลึกว่าอย่าทำให้ความมั่นใจนั้นกลายเป็นความโอ้อวด เพราะจะทำให้ผู้ฟังเกิด ความรู้สึกที่ติดลบได้ เรียกว่าพกความมั่นใจมาเต็มร้อยได้แต่อย่าให้เกินร้อยนะคะ
๕.ลีลาท่าทางของผู้พูด ลีลาท่าทางนี้จะทำให้การพูดดูมีสีสัน และไม่น่าเบื่อ สังเกตดูง่าย ๆ เลยนะคะว่าถ้าเราเรียน วิชาไหนที่เป็น lecture ถ้าอาจารย์ที่สอนพูดด้วยน้ำเสียงแบบ monotone ราบเรียบแบบทะเลไร้คลื่น มันจะน่าเบื่อและ น่าง่วงนอนขนาดไหนคะ เพื่อน ๆ ระหว่างการพูดผู้พูดก็จะต้องมีการเคลื่อนไหว มีการขยับเขยื้อนบ้าง ใช้ภาษาทาวทาง ภาษากาย เพื่อไม่ให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย นอกจากนี้ การประสานสายตา ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะ ถ้าผู้พูดพูดไปก้ม หน้าไปไม่สบตาผู้ฟังเลย ผู้ฟังก็จะไม่ฟัง เราจึงต้องสบสายตากับผู้ฟังเป็นระยะ ๆ เพราะผู้ฟังจะได้รู้สึกว่าผู้พูดกำลังพูดอยู่ กับตน เป็นการดึงความสนใจจากผู้ฟัง ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาพูด ๆ ไปหันมามองอีกทีคนฟังหลับกันหมด อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ เหมือนกันค่ะ
๖.ผู้พูดต้องมีการเตรียมตัวก่อนพูด แม้ว่าจะเป็นนักพูดที่ผ่านเวทีมามาก หรือจะเป็นนักพูดที่ฝึกหัดก็ย่อมต้องมี การเตรียมตัว ข้อนี้สำคัญมากค่ะ ลองนึกภาพดูนะคะว่าถ้าเราออกไปพูดแล้ว ไปยืนอยู่หน้าฝูงชนแล้วเรายืนอยู่นาน เพื่อใช้เวลานึกคำพูดเนี่ย ผู้ฟังจะรู้สึกอย่างไร ผู้ฟังก็คงจะรู้สึกว่าผู้พูด ไม่น่าเชื่อถือใช่ไหมคะ ผู้ฟังจะรู้สึกติดลบตั้งแต่ผู้พูด ยังไม่ได้เริ่มพูดเลย กาารเตรียมตัวนั้นเราต้องลำดับความคิด นึกถึงประโยคสำคัญที่จะพูด การที่เราจำประโยคสำคัญ ๆ ได้จะทำให้เราประหม่าน้อยลง ตื่นเต้นน้อยลงเพราะอย่างน้อยก็รู้สึกว่าตนเองจำเรื่อง จำเนื้อหาที่จะออกมาพูดได้ นอกจากนี้แล้วเพื่อไม่ให้สับสนก็ควรเตรียมโน้ตจ่อไว้ป้องกันการลืม การเตรียมโต้ตย่อนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย เพราะ จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่จะอ่านแต่โน้ตที่เตรียมมาโดยไม่สนใจผู้ฟังเลย การเตรียมโน้ตนั้นควรจด แต่หัวข้อสำคัญที่จะพูดส่วนรายละเอียดนั้นเราต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ถ้าลืมประเด็นก็สามารถดูโน้ตได้ แต่ถ้าเตรียมโน้ตแล้ว ยังมีการลืมระหว่างพูดเราก็ควรพูดส่วนอื่นต่อไปดีกว่าอย่าหยุดพูดเพราะจะขาดการสื่อสารระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง
จากวิธีทั้งหกข้อที่ได้พูดมา เพื่อน ๆ ก็คงจะนึกภาพออกนะคะว่าการพูดนั้นหากเราไม่ใส่ใจ ไม่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะก้าวไปไม่ถึงการเป็นนักพูดที่ดีได้เลย ฉะนั้นก็อยากจะให้เพื่อน ๆ นำวิธีการพูดเหล่านี้ไปปรับให้เข้ากับการพูด ของเพื่อน ๆ ดูนะคะ ที่สำคัญต้องมุ่งมั่น ฝึกอย่างสม่ำเสมอค่ะแล้วการพูดของเราก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เหมือนกับที่ อาจารย์ท่านได้นำข้อความอ้างอิงมาจากหนังสือ "จดหมายจางวางหร่ำ" ที่เกี่ยวกับการพูดว่า หนึ่ง มีเรื่องจะพูด สอง พูดออกไป สาม หยุดพูด ค่ะ นั่นก็หมายถึงว่าการพูดของเราจะไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ.
คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะคะว่า การพูดคุยกันอย่างไม่มีเนื้อหาสาระนั้นใคร ๆ ก็ทำได้ เช่น การพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ถ้าจะให้ไปพูดต่อหน้าชุมชนแล้ว ก็จะมีอาการประหม่า พูดไม่ออกทันที หรือแค่รู้ตัวว่าจะต้องออกมาพูดเท่านั้นแหละ ก็มีอาการเหงื่อออกตามมือตามเท้าเลย เช่น พวกเราที่เรียนกันในชั้นนี้ก็คงยังมีอาการเหล่านี้อยู่ใช่ไหมคะ ทุกคนมาที่นี่ เพื่อจุดประสงค์เดียวกันก็คือ ต่างต้องการที่จะเป็นนักพูดที่ดี ไม่มีอาการประหม่าต่อเวทีี ต้องการความมั่นใจ เมื่อพูดต่อหน้าชุมนุมชน ดังนั้นดิฉันจึงมีวิธีที่จะมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ในเรื่องของการพูดซึ่งได้อ่านหนังสือของ อาจารย์ปรีชา ช้างขวัญยืน ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในวงการภาษาไทย ท่านได้แนะนำการพัฒนาทักษะไปสู่การเป็น นักพูดที่ดีไว้ การพูดที่ดีนั้นผู้พูดต้องปฏิบัติตามนี้ค่ะ
๑.มีแรงจูงใจ จะเห็นได้ว่าคนเราจะมีพลังบางอย่างผลักดันให้มาพูด เช่น พูดเพื่อเร้าใจ เพื่อให้ข้อเท็จจริง ผู้พูดต้อง สร้างแรงจูงใจในการพูดแต่ละครั้ง เราต้องคิดว่าพูดเพื่อต้องการจะพูดจะบอกอะไรบางอย่างกับผู้ฟัง เราต้องสร้างแรงจูงใจ ที่จะพูดไปในทางสร้างสรรค์ มิใช่ในทางทำลาย คือพูดเพื่อจะให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์จริง ๆ สุจริตใจไม่หลอกลวงผู้ฟัง แรงจูงใจนั้นจะทำให้ผู้ฟังฟังเราอย่างตั้งใจที่สุด แม้ว่าเรื่องนั้นจะยากหรือไม่เพลิดเพลิน แต่ถ้าผู้พูดมีแรงจูงใจมาเป็นแรง ผลักดันให้พูด เรื่องก็จะมีความน่าสนใจ มีพลัง การสร้างแรงจูงใจที่ดีที่สุด คือ บอกสาระประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับ จากการฟัง เพื่อให้ผู้ฟังตั้งใจฟังสาระที่เราจะนำมาเสนอให้ฟังตั้งแต่ต้น แรงจูงใจ นั้นจะต้องเป็นไปในลักษณะที่ไม่เป็น การหลอกลวงผู้ฟัง เช่น ถ้าวันนี้ดิฉันจะมาบอกเพื่อน ๆ ว่ามีวิธีการที่จะทำให้เพื่อน ๆ สามารถพัฒนาตนเองสู่การเป็น นักพูดที่ดี แต่ดิฉันไม่ได้เชื่อหรือไม่แม้แต่จะคิดปฏิบัติ การออกมาพูดในวันนี้ก็จะดูเหมือนเป้นการทำแบบเสแสร้งใช่ไหมคะ
๒.ความเป็นกลาง ผู้พูดต้องมองเรื่องที่จะพูดอย่างเป็นกลางไม่เอาแต่ความคิดของตนเป็นที่ตั้ง ควรมองตามเหตุผล และผู้พูดจะต้องมีความเป็นกลางเมื่อผู้ฟังวิจารณ์ เพื่อน ๆ อาจจะสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นกลางหรือไม่เป็น เราจะวัด ความเป็นกลางได้จากการดูว่า เราสามารถรับฟังคำวิจารณ์ของผู้ฟังได้หรือไม่ เราตกเป็นทาสอารมณ์ ไม่ยอมรับฟังความเห็น ที่ขัดแย้งกับตนได้ถ้าความเห็นนั้นมีเหตุมีผล แต่โดยทั่วไปแล้วเราก็คงไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์ว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พุดไม่ได้เรื่องเลย แต่หากมองในทางกลับกันเราจะเห็นว่าผู้ฟังนั่นแหละค่ะคือ กระจกเงาอย่างดีที่สะท้อนภาพรวมของเรา หากเราไม่มีกระจกเงาที่คอยสะท้อนให้เราแล้วล่ะก็ การพูดแต่ละครั้งก็แทบจะไม่มีความหมายเลย เราก็จะมัวแต่คิดว่า เราพูดได้แค่นี้ก็ดีแล้ว อยู่ร่ำไป แล้วเราก็จะไม่ได้พัฒนาทักษะการพูดเลยล่ะค่ะ
๓.ความเจนเวที ผู้พูดที่ผ่านเวทีการพูดมาบ่อย ๆ ย่อมมีอาการประหม่าน้อยกว่าผู้ที่ผ่านเวทีมาน้อย ผู้ที่เจนเวทีจะ ปรับตัวให้เข้ากับผู้ฟังได้เร็วค่ะ และการพูดที่ผู้พูดปรับตัวเข้ากับผู้ฟังได้เร็วนั้นจะนำไปสู่การเข้าใจเนื้อหาที่จะพูด แต่หสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ผ่านเวทีบ่อย ๆ ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เราจะใช้วิธี การฝึกฝน นี่แหละค่ะฝึกฝนอย่างตั้งใจจริง พูดกับโต๊ะ เก้าอี้ ต้นไม้ ได้ทั้งนั้นนะคะทำตามวิธีที่เพื่อน ๆ ของเราเคยแนะนำไว้นั่นแหละค่ะดีที่สุด แรก ๆ อาจจะรู้สึก แปลก ๆ พิกลว่าเอ ทำไมฉันต้องมาพูดกับโต๊ะ เก้าอี้ ด้วย แต่ต่อ ๆ ไปก็จะชินไปเองแหละค่ะ อย่าเพิ่งละความพยายาม นะคะ
๔ความมั่นใจ นักพูดหน้าใหม่มักจะประสบกับปัญหาการขาดความมั่นใจ กล้วว่าจะพูดได้ไม่ดี กลัวจะสื่อสารกับคนฟัง ไม่รู้เรื่อง จำทำให้ไม่กล้าพูด ถ้ามีอาการอย่างนี้แล้วล่ะก็การพูดของเราก็จะขาดอิสระ รู้สึกเหมือนกับว่ามันมีกรอบอะไร บางอย่างมากั้นเราขณะพูดค่ะ ดังนั้นวิธีการที่จะเรียกความมั่นใจ ทำให้เรามีความมั่นใจนั้นคือ เราต้องพึงระลึกเสมอว่า ในวันนี้เราจะออกมาหพูด เราเป็นคนที่สำคัญที่ผู้ฟังให้ความสนใจ มีคนจำนวนมากที่มาฟังเราในวันนี้ และเราก็มี อิสระที่จะพูดได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ควรพึงระลึกว่าอย่าทำให้ความมั่นใจนั้นกลายเป็นความโอ้อวด เพราะจะทำให้ผู้ฟังเกิด ความรู้สึกที่ติดลบได้ เรียกว่าพกความมั่นใจมาเต็มร้อยได้แต่อย่าให้เกินร้อยนะคะ
๕.ลีลาท่าทางของผู้พูด ลีลาท่าทางนี้จะทำให้การพูดดูมีสีสัน และไม่น่าเบื่อ สังเกตดูง่าย ๆ เลยนะคะว่าถ้าเราเรียน วิชาไหนที่เป็น lecture ถ้าอาจารย์ที่สอนพูดด้วยน้ำเสียงแบบ monotone ราบเรียบแบบทะเลไร้คลื่น มันจะน่าเบื่อและ น่าง่วงนอนขนาดไหนคะ เพื่อน ๆ ระหว่างการพูดผู้พูดก็จะต้องมีการเคลื่อนไหว มีการขยับเขยื้อนบ้าง ใช้ภาษาทาวทาง ภาษากาย เพื่อไม่ให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย นอกจากนี้ การประสานสายตา ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะ ถ้าผู้พูดพูดไปก้ม หน้าไปไม่สบตาผู้ฟังเลย ผู้ฟังก็จะไม่ฟัง เราจึงต้องสบสายตากับผู้ฟังเป็นระยะ ๆ เพราะผู้ฟังจะได้รู้สึกว่าผู้พูดกำลังพูดอยู่ กับตน เป็นการดึงความสนใจจากผู้ฟัง ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาพูด ๆ ไปหันมามองอีกทีคนฟังหลับกันหมด อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ เหมือนกันค่ะ
๖.ผู้พูดต้องมีการเตรียมตัวก่อนพูด แม้ว่าจะเป็นนักพูดที่ผ่านเวทีมามาก หรือจะเป็นนักพูดที่ฝึกหัดก็ย่อมต้องมี การเตรียมตัว ข้อนี้สำคัญมากค่ะ ลองนึกภาพดูนะคะว่าถ้าเราออกไปพูดแล้ว ไปยืนอยู่หน้าฝูงชนแล้วเรายืนอยู่นาน เพื่อใช้เวลานึกคำพูดเนี่ย ผู้ฟังจะรู้สึกอย่างไร ผู้ฟังก็คงจะรู้สึกว่าผู้พูด ไม่น่าเชื่อถือใช่ไหมคะ ผู้ฟังจะรู้สึกติดลบตั้งแต่ผู้พูด ยังไม่ได้เริ่มพูดเลย กาารเตรียมตัวนั้นเราต้องลำดับความคิด นึกถึงประโยคสำคัญที่จะพูด การที่เราจำประโยคสำคัญ ๆ ได้จะทำให้เราประหม่าน้อยลง ตื่นเต้นน้อยลงเพราะอย่างน้อยก็รู้สึกว่าตนเองจำเรื่อง จำเนื้อหาที่จะออกมาพูดได้ นอกจากนี้แล้วเพื่อไม่ให้สับสนก็ควรเตรียมโน้ตจ่อไว้ป้องกันการลืม การเตรียมโต้ตย่อนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย เพราะ จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่จะอ่านแต่โน้ตที่เตรียมมาโดยไม่สนใจผู้ฟังเลย การเตรียมโน้ตนั้นควรจด แต่หัวข้อสำคัญที่จะพูดส่วนรายละเอียดนั้นเราต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ถ้าลืมประเด็นก็สามารถดูโน้ตได้ แต่ถ้าเตรียมโน้ตแล้ว ยังมีการลืมระหว่างพูดเราก็ควรพูดส่วนอื่นต่อไปดีกว่าอย่าหยุดพูดเพราะจะขาดการสื่อสารระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง
จากวิธีทั้งหกข้อที่ได้พูดมา เพื่อน ๆ ก็คงจะนึกภาพออกนะคะว่าการพูดนั้นหากเราไม่ใส่ใจ ไม่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะก้าวไปไม่ถึงการเป็นนักพูดที่ดีได้เลย ฉะนั้นก็อยากจะให้เพื่อน ๆ นำวิธีการพูดเหล่านี้ไปปรับให้เข้ากับการพูด ของเพื่อน ๆ ดูนะคะ ที่สำคัญต้องมุ่งมั่น ฝึกอย่างสม่ำเสมอค่ะแล้วการพูดของเราก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เหมือนกับที่ อาจารย์ท่านได้นำข้อความอ้างอิงมาจากหนังสือ "จดหมายจางวางหร่ำ" ที่เกี่ยวกับการพูดว่า หนึ่ง มีเรื่องจะพูด สอง พูดออกไป สาม หยุดพูด ค่ะ นั่นก็หมายถึงว่าการพูดของเราจะไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ.