วิชาการพูด 54
หนทางแห่งการเป็นนักพูดที่สมบูรณ์แบบ
"การพูด" เพื่อน ๆ ฟังแล้วคงคิดว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมากใช่ไหมคะ เพียงแค่เราเปล่งเสียงออกจากปากก็เท่านั้นเอง แต่ในการพูดแบบนี้จะบรรลุวัตถุประสงค์ของผู้พูด และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังหรือไม่ หากการพูดนั้นมีจุดประสงค์ เพื่อถ่ายทอดความคิดของตัวเรา ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้พูดไปสู่บุคคลอื่น อาจจะเป็นเพียสงบุคคลคนเดียว หรือเป็นกลุ่มบุคคล ก็ได้ ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้ฟัง ดังนั้นการพูดในแต่ละครั้งนั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า "การขยับปากขึ้นลงจะไร้ประโยชน์ทันที ถ้าผู้ฟังไม่ได้รับข้อมูล ที่ถูกต้องตามที่ผู้พูดตั้งใจถ่ายทอด"
การที่เพื่อน ๆ ซึ่งมาจากต่างคณะกัน ต่างชั้นปี ได้มีโอกาสโคจรมาพบกันในห้องเรียนแห่งนี้ ก็เพราะว่า ทุกคนต่าง ก็ต้องการที่จะเป็นนักพูดที่ดี และใช้การพูดนั้นให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดใช่ไหมคะ วันนี้ ดิฉันมีเทคนิคเล็ก ๆน้อย ๆ เพื่อนำเพื่อน ๆ ไปสู่ "หนทางแห่งการเป็นนักพูดที่สมบูรณ์แบบ" มาแนะนำให้เพื่อน ๆได้ฟังกันนะคะ เทคนิคที่ว่านั้น มีดังนี้ค่ะ
๑. ก่อนที่จะเริ่มต้นการพูดนั้น ควรคิดไว้เสมอว่า "พูดคุย พูดกับ สนทนากับ และสื่อสาร"
เพื่อน ๆ คงสงสัยกันนะคะว่า ทำไมเราถึงจะต้องคำนึงถึงคำ ๔ คำนี้ด้วยนะ นั่นก็เพราะว่าการสนทนา คือ รากฐานของการสื่อสารทางปากทั้งมวล จุดหมายของการสื่อสารคือ การปลูกฝังความคิดของผู้พูดไปสู่ความคิดของผู้ฟัง และจะทำได้ดีที่สุดเมื่อเรา "พูด" กับ ผู้ฟัง ภาระของความพยายามอยู่ที่ผู้สื่อสาร อย่าลืมเป็นอันขาดนะคะว่า เพียงการขยับปากปละการกล่าวคำในภาษาเดียวกันไม่เพียงพอ
๒.การเป็นตัวของตัวเอง ในการพูดแต่ละครั้งตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นจะเป็นที่น่าปรารถนาสำหรับผู้ฟัง มากกว่าคนที่ เราควรจะเป็น โดยที่เราไม่ต้องพยายามที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังเลย แต่ผู้ฟังจะเกิดความประทับใจในตัวของ เราเอง เพียงแค่เราพูดอย่างเป็นธรรมชาติในแบบของตัวเอง ใช้สีหน้าที่เปิดเผย และ ยิ้มอย่างจริงใจในเวลาที่เหมาะสม ที่สำคัญเราก็จะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี นั่นคือ มีการเตรียมบทพูด และฝึกฝนการพูดมาเป็นอย่างดี
๓.กิริยาท่าทางที่เหมาะสม และรู้สึกสบายที่จะทำเช่นนั้น เมื่อเรามีความเป็นตัวของตัวเองแล้ว ในขณะที่พูด เราก็จะต้องมีการแสดงกิริยาท่าทางประกอบการพูดของเราไปด้วย และจะต้องเป็นไปในลักษณะที่เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะการแสดงกิริยาประกอบนั้น จะทำให้ผู้ฟังเห็นว่ากิริยาทาทางของเรานั้นเป็นการแสดงออกของพลังงานแห่งความคิด ซึ่งมีค่าเท่ากับการโอบกอดผู้สื่อสาร ผู้ฟังจะรู้สึกเป็นกันเองกับเรามากขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรก้าวล่วงระยะทาง ระหว่างผู้ฟังกับผู้พูดได้ดีเท่ากับกิริยาท่าทาง ไม่มีอะไรใช้งานได้ดีไปกว่าการโอบกอดโดยไม่ต้องสัมผัส"ดังนั้น ความเป็นตัวของตัวเอง มีสีหน้าที่เปิดเผย และกิริยาท่าทางที่เหมาะสม เทคนิค ๒ อย่างที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดการ ยอมรับในตัวเราอย่างลึกซึ้ง
๔. พูดด้วยเสียงเรียบ ๆ และเสียงที่ใช้ในการสนทนา ในขณะที่พูด เราจะต้องพยายามทำเสียงให้เสียงของเรา ดูคล้ายกับว่าเรากำลังพูดคุยกับผู้ฟังอย่างเป็นกันเอง เราจะต้องพยายามไม่พูดเสียงดัง เพราะโดยทั่วไปแล้ว เสียงดังมักจะ เป็นเสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญได้ง่าย เราจะต้องพยายามบังคับเสียงของเราให้ดูเป็นธรรมชาติในขณะที่พูด โดยพยายาม ฝึกจนกลายเป็นลักษณะนิสัย ความนุ่มนวลของเสียง เป็นการปลอบประโลม ทำให้สบายใจ และเกิดความพอใจในการฟัง เป็นอย่างดี
๕. เชื่อมั่นในเนื้อหา การเตรียมตัวและทักษะในการพูด เมื่อเรามีความมั่นใจในสิ่งเหล่านี้ ความกลัว ซึ่งเป็นศัตรู สำคัญในการพูดของเราก็จะหมดไป เราจะต้องเชื่อมั่นในเนื้อหาที่ได้ค้นคว้ามา และคิดว่าเราคือผู้ที่ชำนาญที่สุดในเรื่อง ที่เราจะพูดนี้ นอกจากนี้เราจะต้องพยายามใช้ทักษะในการพูดทุกประการที่ได้เรียนรู้มาเพื่อใช้ในการพูดแต่ละครั้ง ในขณะที่ พูดหากเราสบสายตาผู้ฟังจะทำให้เราเกิดความมั่นใจขึ้นมาทันที ทั้งยังเป็นการทำให้ผู้ฟังมั่นใจในตัวของเราอีกด้วย ทั้งนี้เพราะการที่เรามายืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะผู้ฟัง เราต้องพูดกับพวกเขา ทำให้พวกเขามีส่วนร่วม แต่หากเรามองวัตถุแทน ผู้ฟัง ก็จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อขึ้นมาทันที เช่น เมื่อเราพูดไปแล้วเงยหน้ามองเพดานแทนผู้ฟัง ก็จะดูคล้ายกับว่าเรากำลัง วิงวอนพระเจ้าให้ช่วยบอกบทให้ที และสายตาที่ลอกแลกของเรานั้น จะทำให้ผู้ฟังหมดความเชื่อมั่นในตัวเราไปโดย ปริยาย ดังนั้นจงเชื่อมั่นในตัวเอง และสบสายตาผู้ฟังในขณะพูด เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถเป็นผู้ชนะในเวทีการพูดได้แล้ว
๖. ใช้ภาษาง่าย สั้น และพูดให้กระชับมีความชัดเจน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสามารถส่งสารได้ตรงตามที่เราต้องการ สื่อได้เป็นอย่างดี เพื่อที่เราจะได้ไม่รู้สึกว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราจะพูดนี่นา"
๗. สื่อสารความคิด ข้อนี้นับว่าเป็นกับดักที่ร้ายกาจที่สุดทีเดียวล่ะค่ะสำหรับการพูดเพื่อสื่อสาร ทั้งนี้เพราะว่า เราต้องการสื่อสารความคิดของเราไปสู่ผู้ฟัง มิใช่การอ่านข้อความจากกระดาษให้ผู้ฟังได้รับรู้ เราควรหยุดอ่านข้อความ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผู้ฟังต้องการสิ่งที่อยู่ในความคิดของเราเท่านั้น ดังนั้นเราจึงควรที่จะจะจำเรื่องที่จะพูดแต่เพียง เค้าโครงเท่านั้น แล้วนำมาพูดในแบบของตัวเราเอง โดยที่พยายามสื่อความคิดของเราไปสู่ผู้ฟังให้มากที่สุด เป็นอย่างไรบ้างคะเทคนิคเหล่านี้ เพื่อน ๆ คิดว่ายากเกินไปไหมคะที่เราจะนำไปฝึกฝนเพื่อการเป็นนักพูดที่ดี และเป็นนักพูดที่สมบูรณ์แบบ เพียงเทคนิค ๗ ข้อนี้ก็สามารถทำได้ เพื่อน ๆ ได้พบแสงสว่างแห่งหนทางการเป็นนักพูด ที่สมบูรณ์แบบได้แล้วล่ะค่ะ แต่เพื่อน ๆ อาจจะไม่ต้องปฏิบัติตามทุกข้อก็ได้นะคะ ถ้าจะให้ดี เพื่อน ๆ ควรที่จะทิ้ง และลืมเทคนิคทุกอย่างที่ดิฉันได้เสนอมาในข้อที่เพื่อน ๆ คิดว่าไม่เข้ากับตัวเอง เพราะเพื่อน ๆ อย่าลืมนะคะว่า สิ่งที่ผู้ฟังปรารถนา คาดหวัง และต้องการจากผู้พูด ก็คือการเป็นตัวตนที่แท้จริงของ ผู้พูด ดังนั้น เทคนิคที่สำคัญที่สุดในการพูด คือ จงเป็นตัวของตัวเองนี่แหละค่ะดีที่สุด
"การพูด" เพื่อน ๆ ฟังแล้วคงคิดว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมากใช่ไหมคะ เพียงแค่เราเปล่งเสียงออกจากปากก็เท่านั้นเอง แต่ในการพูดแบบนี้จะบรรลุวัตถุประสงค์ของผู้พูด และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังหรือไม่ หากการพูดนั้นมีจุดประสงค์ เพื่อถ่ายทอดความคิดของตัวเรา ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้พูดไปสู่บุคคลอื่น อาจจะเป็นเพียสงบุคคลคนเดียว หรือเป็นกลุ่มบุคคล ก็ได้ ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้ฟัง ดังนั้นการพูดในแต่ละครั้งนั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า "การขยับปากขึ้นลงจะไร้ประโยชน์ทันที ถ้าผู้ฟังไม่ได้รับข้อมูล ที่ถูกต้องตามที่ผู้พูดตั้งใจถ่ายทอด"
การที่เพื่อน ๆ ซึ่งมาจากต่างคณะกัน ต่างชั้นปี ได้มีโอกาสโคจรมาพบกันในห้องเรียนแห่งนี้ ก็เพราะว่า ทุกคนต่าง ก็ต้องการที่จะเป็นนักพูดที่ดี และใช้การพูดนั้นให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดใช่ไหมคะ วันนี้ ดิฉันมีเทคนิคเล็ก ๆน้อย ๆ เพื่อนำเพื่อน ๆ ไปสู่ "หนทางแห่งการเป็นนักพูดที่สมบูรณ์แบบ" มาแนะนำให้เพื่อน ๆได้ฟังกันนะคะ เทคนิคที่ว่านั้น มีดังนี้ค่ะ
๑. ก่อนที่จะเริ่มต้นการพูดนั้น ควรคิดไว้เสมอว่า "พูดคุย พูดกับ สนทนากับ และสื่อสาร"
เพื่อน ๆ คงสงสัยกันนะคะว่า ทำไมเราถึงจะต้องคำนึงถึงคำ ๔ คำนี้ด้วยนะ นั่นก็เพราะว่าการสนทนา คือ รากฐานของการสื่อสารทางปากทั้งมวล จุดหมายของการสื่อสารคือ การปลูกฝังความคิดของผู้พูดไปสู่ความคิดของผู้ฟัง และจะทำได้ดีที่สุดเมื่อเรา "พูด" กับ ผู้ฟัง ภาระของความพยายามอยู่ที่ผู้สื่อสาร อย่าลืมเป็นอันขาดนะคะว่า เพียงการขยับปากปละการกล่าวคำในภาษาเดียวกันไม่เพียงพอ
๒.การเป็นตัวของตัวเอง ในการพูดแต่ละครั้งตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นจะเป็นที่น่าปรารถนาสำหรับผู้ฟัง มากกว่าคนที่ เราควรจะเป็น โดยที่เราไม่ต้องพยายามที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังเลย แต่ผู้ฟังจะเกิดความประทับใจในตัวของ เราเอง เพียงแค่เราพูดอย่างเป็นธรรมชาติในแบบของตัวเอง ใช้สีหน้าที่เปิดเผย และ ยิ้มอย่างจริงใจในเวลาที่เหมาะสม ที่สำคัญเราก็จะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี นั่นคือ มีการเตรียมบทพูด และฝึกฝนการพูดมาเป็นอย่างดี
๓.กิริยาท่าทางที่เหมาะสม และรู้สึกสบายที่จะทำเช่นนั้น เมื่อเรามีความเป็นตัวของตัวเองแล้ว ในขณะที่พูด เราก็จะต้องมีการแสดงกิริยาท่าทางประกอบการพูดของเราไปด้วย และจะต้องเป็นไปในลักษณะที่เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะการแสดงกิริยาประกอบนั้น จะทำให้ผู้ฟังเห็นว่ากิริยาทาทางของเรานั้นเป็นการแสดงออกของพลังงานแห่งความคิด ซึ่งมีค่าเท่ากับการโอบกอดผู้สื่อสาร ผู้ฟังจะรู้สึกเป็นกันเองกับเรามากขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรก้าวล่วงระยะทาง ระหว่างผู้ฟังกับผู้พูดได้ดีเท่ากับกิริยาท่าทาง ไม่มีอะไรใช้งานได้ดีไปกว่าการโอบกอดโดยไม่ต้องสัมผัส"ดังนั้น ความเป็นตัวของตัวเอง มีสีหน้าที่เปิดเผย และกิริยาท่าทางที่เหมาะสม เทคนิค ๒ อย่างที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดการ ยอมรับในตัวเราอย่างลึกซึ้ง
๔. พูดด้วยเสียงเรียบ ๆ และเสียงที่ใช้ในการสนทนา ในขณะที่พูด เราจะต้องพยายามทำเสียงให้เสียงของเรา ดูคล้ายกับว่าเรากำลังพูดคุยกับผู้ฟังอย่างเป็นกันเอง เราจะต้องพยายามไม่พูดเสียงดัง เพราะโดยทั่วไปแล้ว เสียงดังมักจะ เป็นเสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญได้ง่าย เราจะต้องพยายามบังคับเสียงของเราให้ดูเป็นธรรมชาติในขณะที่พูด โดยพยายาม ฝึกจนกลายเป็นลักษณะนิสัย ความนุ่มนวลของเสียง เป็นการปลอบประโลม ทำให้สบายใจ และเกิดความพอใจในการฟัง เป็นอย่างดี
๕. เชื่อมั่นในเนื้อหา การเตรียมตัวและทักษะในการพูด เมื่อเรามีความมั่นใจในสิ่งเหล่านี้ ความกลัว ซึ่งเป็นศัตรู สำคัญในการพูดของเราก็จะหมดไป เราจะต้องเชื่อมั่นในเนื้อหาที่ได้ค้นคว้ามา และคิดว่าเราคือผู้ที่ชำนาญที่สุดในเรื่อง ที่เราจะพูดนี้ นอกจากนี้เราจะต้องพยายามใช้ทักษะในการพูดทุกประการที่ได้เรียนรู้มาเพื่อใช้ในการพูดแต่ละครั้ง ในขณะที่ พูดหากเราสบสายตาผู้ฟังจะทำให้เราเกิดความมั่นใจขึ้นมาทันที ทั้งยังเป็นการทำให้ผู้ฟังมั่นใจในตัวของเราอีกด้วย ทั้งนี้เพราะการที่เรามายืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะผู้ฟัง เราต้องพูดกับพวกเขา ทำให้พวกเขามีส่วนร่วม แต่หากเรามองวัตถุแทน ผู้ฟัง ก็จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อขึ้นมาทันที เช่น เมื่อเราพูดไปแล้วเงยหน้ามองเพดานแทนผู้ฟัง ก็จะดูคล้ายกับว่าเรากำลัง วิงวอนพระเจ้าให้ช่วยบอกบทให้ที และสายตาที่ลอกแลกของเรานั้น จะทำให้ผู้ฟังหมดความเชื่อมั่นในตัวเราไปโดย ปริยาย ดังนั้นจงเชื่อมั่นในตัวเอง และสบสายตาผู้ฟังในขณะพูด เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถเป็นผู้ชนะในเวทีการพูดได้แล้ว
๖. ใช้ภาษาง่าย สั้น และพูดให้กระชับมีความชัดเจน สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสามารถส่งสารได้ตรงตามที่เราต้องการ สื่อได้เป็นอย่างดี เพื่อที่เราจะได้ไม่รู้สึกว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราจะพูดนี่นา"
๗. สื่อสารความคิด ข้อนี้นับว่าเป็นกับดักที่ร้ายกาจที่สุดทีเดียวล่ะค่ะสำหรับการพูดเพื่อสื่อสาร ทั้งนี้เพราะว่า เราต้องการสื่อสารความคิดของเราไปสู่ผู้ฟัง มิใช่การอ่านข้อความจากกระดาษให้ผู้ฟังได้รับรู้ เราควรหยุดอ่านข้อความ ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผู้ฟังต้องการสิ่งที่อยู่ในความคิดของเราเท่านั้น ดังนั้นเราจึงควรที่จะจะจำเรื่องที่จะพูดแต่เพียง เค้าโครงเท่านั้น แล้วนำมาพูดในแบบของตัวเราเอง โดยที่พยายามสื่อความคิดของเราไปสู่ผู้ฟังให้มากที่สุด เป็นอย่างไรบ้างคะเทคนิคเหล่านี้ เพื่อน ๆ คิดว่ายากเกินไปไหมคะที่เราจะนำไปฝึกฝนเพื่อการเป็นนักพูดที่ดี และเป็นนักพูดที่สมบูรณ์แบบ เพียงเทคนิค ๗ ข้อนี้ก็สามารถทำได้ เพื่อน ๆ ได้พบแสงสว่างแห่งหนทางการเป็นนักพูด ที่สมบูรณ์แบบได้แล้วล่ะค่ะ แต่เพื่อน ๆ อาจจะไม่ต้องปฏิบัติตามทุกข้อก็ได้นะคะ ถ้าจะให้ดี เพื่อน ๆ ควรที่จะทิ้ง และลืมเทคนิคทุกอย่างที่ดิฉันได้เสนอมาในข้อที่เพื่อน ๆ คิดว่าไม่เข้ากับตัวเอง เพราะเพื่อน ๆ อย่าลืมนะคะว่า สิ่งที่ผู้ฟังปรารถนา คาดหวัง และต้องการจากผู้พูด ก็คือการเป็นตัวตนที่แท้จริงของ ผู้พูด ดังนั้น เทคนิคที่สำคัญที่สุดในการพูด คือ จงเป็นตัวของตัวเองนี่แหละค่ะดีที่สุด