วิชาการพูด 53
ทีเด็ดเกร็ดการพูด
ทีเด็ดเกรดการพูด
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิต
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
คำกลอนของบรมครูสุนทรภู่ ได้กล่าวถึงการพูดไว้ว่าพูดดีก็มีแต่คนรักคนชอบ หากพูดไม่ดีก็มีแต่สร้างศรัตรูแถมไม่ได้ ประโยชน์อะไรเลยอีกต่างหาก เรื่องของวาจานี่พลาดไม่ได้เลยนะคะ ด้วยสายเลือกของบรรณารักษ์ที่เต็มเปี่ยม หลังจากที่อาจารย์ได้มอบหมายงานดิฉันก็ตรงไปที่ร้านหนังสือเลือกนังสือมาพิจารณาหลายเล่มด้วยกัน ทีแรกกะจะ ดูแค่หัวข้อแล้วนำมาเขียนแล้วท่องซะงานจะได้เรียบร้อย แต่หนังสือเล่มนี้แหละค่ะที่ทำให้ดิฉันเสียเวลาในการอ่าน ถึงครึ่งวันเพราะในเล่มนี้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในเรื่องของการพูดไปหมด อ่านแล้ววางไม่ลงจริง ๆ ค่ะ หนังสือเล่มนี้แต่ง โดย คุณเสน่ห์ ศรีสุวรรณ และ คุณถาวร โชติชื่น ไม่รู้ว่าแต่งยังไงสำนวนคนคนเดียวกันแต่งเลยแยก ไม่ออกเลยค่ะ มีหัวข้อหนึ่งได้กล่าวถึงหัวข้อคุณสมบัตินักพูดที่สะดุดใจดิฉันมาก หัวข้อนี้ก็คือ "กึ๋นของนักพูด" พูดถึงคำว่า "กึ๋น" นี่ดิฉันนึกไปโน่นเลยนะคะ อวัยวะย่อยอาหารของสัตว์ปีกส่วนใหญ่เป็นของเป็ดหรือไก่ แต่คำว่า "กึ๋น" ก็มีอีกความหมาย ที่ใช้ในการแสดงความรู้สึกในหลายโอกาสด้วยกัน เช่นคนที่มีความสามารถทำอะไรได้หลายอย่างเรียกว่าเป็นมิสเตอร์ เอวิรี่ติง นั้นเราก็เรียกว่า "คนมีกึ๋น" แหมลองให้ความหมายมาอย่างนี้แล้วกึ๋นของนักพูดก็คงหมายถึงนักพูดที่เก่งนั่นเอง ในที่นี้ได้ให้ไว้ สี่ ข้อด้วยกันนั่นก็คือปากไว ใจกล้า หน้าด้าน และ ขยันพูด จำง่ายมากเลยนะคะ
1. ปากไว คำว่าปากไว ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนที่ด่าเก่ง แต่หมายถึงคนที่พูดจาคล่องแคล่ว ฉะฉานมีไหวพริบ ปฏิภาณที่ฉับไว สามารถพูดโต้ตอบกับคนอื่นได้อย่างฉับพลันทันที ถึงกระนั้นคำว่าปากไวไม่ได้หมายความว่า พูดมาเป็นชุด จนผู้ฟังรับไม่ทัน ประเภทการขยับปากไวพอ ๆ กับการกระพือปีกของฮัมมิ่งเบิร์ด อันนั้นก็เกินไป เรียกว่าปากมากค่ะ ไม่ใช่ปากไว
การพูดตะกุกตะกัด ยิ่งไปกันใหญ่เลยนะคะเพราะผู้ฟังจะเกิดอารมณ์หงุดหงิดอย่างมาก เพราะฟังแล้วมันไม่รื่นหู ตัวผู้พูด เองก็คงรู้สึกว่าพูดไม่ดีเท่าไหร่นัก "เอ้อ...ค่ะ วันนี้ดิฉันจะเล่า...เล่าถึง...ถึงตัวเองให้ท่านผู้ชม เอ๊ย ผู้ฟังฟัง...คือ คือ แบบว่า ดิฉันเกิดในเดือนมกราคม อ้า ขอโทษค่ะ เดือนมีนาคม ปี 2000 เอ๊ย ไม่ใช่ ปี 8521 ค่ะ"
เฮ้อ เหนื่อยค่ะนักพูดปากอาชีพอย่างดิฉันพูดแล้วเหนื่อยนะคะพูดไม่ค่อยเป็นค่ะ อย่างนี้ การพูดในลักษณะข้างต้นนั้น ขาดความพรั่งพรูค่ะ การพูดที่ดีควรพูดให้ต่อเนื่องเหมือนกับน้ำตกที่ไหลพร่างพรูไม่ขาดสาย แต่ถ้าพูดเหมือนที่ดิฉันยก ตัวอย่างข้างต้นนี่เหมือนน้ำประปาของมอชอ ตอนซัมเมอร์มากกว่านะคะ ปากไวแต่ก็ต้องถูกต้องด้วยนะคะ ลืมไม่ได้เลยการพูดผิดถึงจะเกิดจากความไม่เจตนาหรือไม่รู้ก็ตาม เมื่อพูดออกไปแล้ว ลบล้างลำบากค่ะ ไม่เหมือนกับการเขียน ไม่พอใจก็ลบแล้วเขียนใหม่ได้ ทำยังไงจะปากไว อันนี้ก็ต้องฝึกฝน ฝึกทักษะในการใช้ความคิด จะพูดทุกครั้งต้องเตรียมลำดับการคิด ฝึกคิดบทพูดอยู่เสมอ จะช่วยได้ส่วนหนึ่งค่ะ
2. ใจกล้า ความกล้าก็คือ ความเชื่อมั่นนั่นเอง คนที่ขาดความกล้าย่อมไม่มีโอกาสในการฝึกฝนการพูด เพราะไม่กล้าขึ้นพูดสักทีแถมยังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อย
"เอาไว้คราวหน้าละกัน วันนี้ไม่ว่าจริงๆ"
"ตัวเองวันนี้เขาปวดหัวเข่าจริงๆ คงพูดไม่ได้หรอก"
"คุณพี่ขาวันนี้คุณน้องเจอมีดบาดที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เจ็บมากเลย พูดไม่ได้แล้วละ" หลากหลายคำแก้ตัวนี่ยกให้ผู้ที่เป็นทาสของความกลัว แต่คนที่กล้า ๆ กลัว ๆ ก็มีนะคะที่ทำเป็นปากแข็งประเภทที่ว่า ไม่มีปัญหา "อะไรนะคะ จะให้เจ้าพูด 3 ชั่วโมงหรือคะ ได้ค่ะเจ้ทำได้ แหมคุณน้องขาน่าจะให้เจ้าพูดสัก 3 วันนะคะ เจ้ว่า 3 ชั่วโมงเนี่ยน้อยไป" อันนี้น่ากลัวค่ะ เพราะไม่ได้ถามอะไรเลย พอให้พูดจริง ๆ แล้วจะกลาวเป็นท่าดีทีเหลวซะเปล่า ๆ นะคะ ทุกคนคงเคยมีความรู้สึกตื่นเต้น เวลาที่ต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนถ้าจะให้มีความกล้า อย่างแรกต้องให้กำลังใจ ตัวเองก่อนว่าเราทำได้ จากนั้นก็ต้องเตรียมให้พร้อม เรียบเรียงความคิด ประเด็นไหนก่อน หลัง คิให้เป็นกระบวนการ จาก 1 ไป 2 และ 3 เป็นเหตุเป็นผลนะคะ จากนั้นก็หายใจลึก ๆ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ ช่วงสำคัญที่สุดก็คือ ช่วงก่อนที่จะ ขึ้นพูดนี่แหละค่ะ ถ้าทำใจสู้ได้ก็ไปได้ดี เรียกว่าเริ่มต้นดีก็ไปได้ดีไงคะ แต่ไม่ขอแนะนำให้เพิ่มความกล้าด้วยการเพิ่ม แอลกอฮอล์ในเลือดนะคะ เดี๋ยวจะกลายเป็นเลอะเทอะซะเปล่าๆ
3. หน้าด้าน คำว่าหน้าด้านนี้อาจจะฟังแล้วแรงไปสักนิดนึง แต่โดยความหมายก็คือคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลวและ
อุปสรรคง่าย ๆ การพูดต่อหน้าสาธารณชนนี่ย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้ง่ายแต่ต้องวงเล็บไว้นะคะว่าอย่าบ่อยนัก พึงระลึกไว้ เสมอว่าคนที่ไม่เคยทำอะไรผิด คือ คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย ฉะนั้น คนที่ไม่เคยพูดผิดมาก่อนนั้นไม่มี ยกเว้นคนใบ้ กรณีนี้ถือเป็นข้อยกเว้น บางครั้งที่เราพูดแล้วเกิดความล้มเหลวบางคนเกิดความขยาดไม่ยอมพูดนั่นก็ขาดกึ๋นของนักพูดนะคะ นักพูดที่พีต้องหน้าด้านเป็น วิเคราะห์ให้ได้ว่าความล้มเหลวนั้นเกิดจากอะไร และต้องถือว่าความผิดนั้นเป็นครู ครั้งต่อไปก็พยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่ยังไงก็ตามนักพูดที่ดีต้องหน้าด้านตามความเหมาะสม ไม่ใช่ด้านไม่ดูตาม้าตาเรือ ขนาดคนเขาโห่ให้ลงจากเวที ก็ไม่ลง ยังไม่รู้ตัว อันนั้นเรียกว่าประเภทหลงตัวเองและถ้าถึงขนาดต้องให้เพื่อน ๆ มาช่วยกันลากลงจากเวที อันนั้นก็เรียกว่า หน้าด้านเกินขอบเขต แหม...แต่คนอย่างนี้หายากนหะยกเว้นในสภาค่ะ
4. ขยันพูด คำว่าขยันพูดในที่นี้คงต้องมามองหาความหมายกันใหม่นะคะ ขยันพูดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพูดครั้งละมาก ๆ อันนั้นเรียกว่าพูดมาก ขยันพูด คือ การพูดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ร้างจากการพูดในที่ชุมชนเป็นเวลานาน และประโยคต้องห้ามก็คือ "ไม่เอาละขี้เกียจพูด" ขนาดนึกจะพูดยังขี้เกียจนี่ก็คงเป็นนักพูดที่ดีไม่ได้แล้วนะคะ เมื่อคิดจะเป็น นักพูดแล้วก็ควรจะเป็นโรคจิตพิศวาสไมโครโฟนหรือเวทีหน่อย ๆ เห็นแล้วอยากขึ้นไปพูดเพื่อทดสอบความมั่นใจ แต่ไม่ต้อง ถึงกับขนาดบ้าไมโครโฟนหรือบ้าเวที ขนาดคนอื่นจัดงานไม่ยอมบอกกล่าวเพราะว่าจะเจอท่านขึ้นพูด คนที่ขยันพูดย่อม มีโอกาสในการที่จะเป็นนักพูดที่มีความสามารถในอนาคต ส่วนขยายที่จะพูด ย่อมเสียโอกาสนั้นไป แถมจะต้องเป็น คนฟังตลอดไปอีกต่างหาก
สี่ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ นะคะ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเราที่จะฝึกฝน หากเราฝึกหัดอยู่ สม่ำเสมอ เราจะสามารถเป็นนักพูดที่มีกึ๋นได้ มาฝึกฝนการเป็นนักพุดเถอะนะคะ เพราะมีแต่ผลดี ไม่มีผลเสียหรอกค่ะ สวัสดีค่ะ.
ทีเด็ดเกรดการพูด
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิต
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
คำกลอนของบรมครูสุนทรภู่ ได้กล่าวถึงการพูดไว้ว่าพูดดีก็มีแต่คนรักคนชอบ หากพูดไม่ดีก็มีแต่สร้างศรัตรูแถมไม่ได้ ประโยชน์อะไรเลยอีกต่างหาก เรื่องของวาจานี่พลาดไม่ได้เลยนะคะ ด้วยสายเลือกของบรรณารักษ์ที่เต็มเปี่ยม หลังจากที่อาจารย์ได้มอบหมายงานดิฉันก็ตรงไปที่ร้านหนังสือเลือกนังสือมาพิจารณาหลายเล่มด้วยกัน ทีแรกกะจะ ดูแค่หัวข้อแล้วนำมาเขียนแล้วท่องซะงานจะได้เรียบร้อย แต่หนังสือเล่มนี้แหละค่ะที่ทำให้ดิฉันเสียเวลาในการอ่าน ถึงครึ่งวันเพราะในเล่มนี้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในเรื่องของการพูดไปหมด อ่านแล้ววางไม่ลงจริง ๆ ค่ะ หนังสือเล่มนี้แต่ง โดย คุณเสน่ห์ ศรีสุวรรณ และ คุณถาวร โชติชื่น ไม่รู้ว่าแต่งยังไงสำนวนคนคนเดียวกันแต่งเลยแยก ไม่ออกเลยค่ะ มีหัวข้อหนึ่งได้กล่าวถึงหัวข้อคุณสมบัตินักพูดที่สะดุดใจดิฉันมาก หัวข้อนี้ก็คือ "กึ๋นของนักพูด" พูดถึงคำว่า "กึ๋น" นี่ดิฉันนึกไปโน่นเลยนะคะ อวัยวะย่อยอาหารของสัตว์ปีกส่วนใหญ่เป็นของเป็ดหรือไก่ แต่คำว่า "กึ๋น" ก็มีอีกความหมาย ที่ใช้ในการแสดงความรู้สึกในหลายโอกาสด้วยกัน เช่นคนที่มีความสามารถทำอะไรได้หลายอย่างเรียกว่าเป็นมิสเตอร์ เอวิรี่ติง นั้นเราก็เรียกว่า "คนมีกึ๋น" แหมลองให้ความหมายมาอย่างนี้แล้วกึ๋นของนักพูดก็คงหมายถึงนักพูดที่เก่งนั่นเอง ในที่นี้ได้ให้ไว้ สี่ ข้อด้วยกันนั่นก็คือปากไว ใจกล้า หน้าด้าน และ ขยันพูด จำง่ายมากเลยนะคะ
1. ปากไว คำว่าปากไว ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนที่ด่าเก่ง แต่หมายถึงคนที่พูดจาคล่องแคล่ว ฉะฉานมีไหวพริบ ปฏิภาณที่ฉับไว สามารถพูดโต้ตอบกับคนอื่นได้อย่างฉับพลันทันที ถึงกระนั้นคำว่าปากไวไม่ได้หมายความว่า พูดมาเป็นชุด จนผู้ฟังรับไม่ทัน ประเภทการขยับปากไวพอ ๆ กับการกระพือปีกของฮัมมิ่งเบิร์ด อันนั้นก็เกินไป เรียกว่าปากมากค่ะ ไม่ใช่ปากไว
การพูดตะกุกตะกัด ยิ่งไปกันใหญ่เลยนะคะเพราะผู้ฟังจะเกิดอารมณ์หงุดหงิดอย่างมาก เพราะฟังแล้วมันไม่รื่นหู ตัวผู้พูด เองก็คงรู้สึกว่าพูดไม่ดีเท่าไหร่นัก "เอ้อ...ค่ะ วันนี้ดิฉันจะเล่า...เล่าถึง...ถึงตัวเองให้ท่านผู้ชม เอ๊ย ผู้ฟังฟัง...คือ คือ แบบว่า ดิฉันเกิดในเดือนมกราคม อ้า ขอโทษค่ะ เดือนมีนาคม ปี 2000 เอ๊ย ไม่ใช่ ปี 8521 ค่ะ"
เฮ้อ เหนื่อยค่ะนักพูดปากอาชีพอย่างดิฉันพูดแล้วเหนื่อยนะคะพูดไม่ค่อยเป็นค่ะ อย่างนี้ การพูดในลักษณะข้างต้นนั้น ขาดความพรั่งพรูค่ะ การพูดที่ดีควรพูดให้ต่อเนื่องเหมือนกับน้ำตกที่ไหลพร่างพรูไม่ขาดสาย แต่ถ้าพูดเหมือนที่ดิฉันยก ตัวอย่างข้างต้นนี่เหมือนน้ำประปาของมอชอ ตอนซัมเมอร์มากกว่านะคะ ปากไวแต่ก็ต้องถูกต้องด้วยนะคะ ลืมไม่ได้เลยการพูดผิดถึงจะเกิดจากความไม่เจตนาหรือไม่รู้ก็ตาม เมื่อพูดออกไปแล้ว ลบล้างลำบากค่ะ ไม่เหมือนกับการเขียน ไม่พอใจก็ลบแล้วเขียนใหม่ได้ ทำยังไงจะปากไว อันนี้ก็ต้องฝึกฝน ฝึกทักษะในการใช้ความคิด จะพูดทุกครั้งต้องเตรียมลำดับการคิด ฝึกคิดบทพูดอยู่เสมอ จะช่วยได้ส่วนหนึ่งค่ะ
2. ใจกล้า ความกล้าก็คือ ความเชื่อมั่นนั่นเอง คนที่ขาดความกล้าย่อมไม่มีโอกาสในการฝึกฝนการพูด เพราะไม่กล้าขึ้นพูดสักทีแถมยังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อย
"เอาไว้คราวหน้าละกัน วันนี้ไม่ว่าจริงๆ"
"ตัวเองวันนี้เขาปวดหัวเข่าจริงๆ คงพูดไม่ได้หรอก"
"คุณพี่ขาวันนี้คุณน้องเจอมีดบาดที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เจ็บมากเลย พูดไม่ได้แล้วละ" หลากหลายคำแก้ตัวนี่ยกให้ผู้ที่เป็นทาสของความกลัว แต่คนที่กล้า ๆ กลัว ๆ ก็มีนะคะที่ทำเป็นปากแข็งประเภทที่ว่า ไม่มีปัญหา "อะไรนะคะ จะให้เจ้าพูด 3 ชั่วโมงหรือคะ ได้ค่ะเจ้ทำได้ แหมคุณน้องขาน่าจะให้เจ้าพูดสัก 3 วันนะคะ เจ้ว่า 3 ชั่วโมงเนี่ยน้อยไป" อันนี้น่ากลัวค่ะ เพราะไม่ได้ถามอะไรเลย พอให้พูดจริง ๆ แล้วจะกลาวเป็นท่าดีทีเหลวซะเปล่า ๆ นะคะ ทุกคนคงเคยมีความรู้สึกตื่นเต้น เวลาที่ต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนถ้าจะให้มีความกล้า อย่างแรกต้องให้กำลังใจ ตัวเองก่อนว่าเราทำได้ จากนั้นก็ต้องเตรียมให้พร้อม เรียบเรียงความคิด ประเด็นไหนก่อน หลัง คิให้เป็นกระบวนการ จาก 1 ไป 2 และ 3 เป็นเหตุเป็นผลนะคะ จากนั้นก็หายใจลึก ๆ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ ช่วงสำคัญที่สุดก็คือ ช่วงก่อนที่จะ ขึ้นพูดนี่แหละค่ะ ถ้าทำใจสู้ได้ก็ไปได้ดี เรียกว่าเริ่มต้นดีก็ไปได้ดีไงคะ แต่ไม่ขอแนะนำให้เพิ่มความกล้าด้วยการเพิ่ม แอลกอฮอล์ในเลือดนะคะ เดี๋ยวจะกลายเป็นเลอะเทอะซะเปล่าๆ
3. หน้าด้าน คำว่าหน้าด้านนี้อาจจะฟังแล้วแรงไปสักนิดนึง แต่โดยความหมายก็คือคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลวและ
อุปสรรคง่าย ๆ การพูดต่อหน้าสาธารณชนนี่ย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้ง่ายแต่ต้องวงเล็บไว้นะคะว่าอย่าบ่อยนัก พึงระลึกไว้ เสมอว่าคนที่ไม่เคยทำอะไรผิด คือ คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย ฉะนั้น คนที่ไม่เคยพูดผิดมาก่อนนั้นไม่มี ยกเว้นคนใบ้ กรณีนี้ถือเป็นข้อยกเว้น บางครั้งที่เราพูดแล้วเกิดความล้มเหลวบางคนเกิดความขยาดไม่ยอมพูดนั่นก็ขาดกึ๋นของนักพูดนะคะ นักพูดที่พีต้องหน้าด้านเป็น วิเคราะห์ให้ได้ว่าความล้มเหลวนั้นเกิดจากอะไร และต้องถือว่าความผิดนั้นเป็นครู ครั้งต่อไปก็พยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่ยังไงก็ตามนักพูดที่ดีต้องหน้าด้านตามความเหมาะสม ไม่ใช่ด้านไม่ดูตาม้าตาเรือ ขนาดคนเขาโห่ให้ลงจากเวที ก็ไม่ลง ยังไม่รู้ตัว อันนั้นเรียกว่าประเภทหลงตัวเองและถ้าถึงขนาดต้องให้เพื่อน ๆ มาช่วยกันลากลงจากเวที อันนั้นก็เรียกว่า หน้าด้านเกินขอบเขต แหม...แต่คนอย่างนี้หายากนหะยกเว้นในสภาค่ะ
4. ขยันพูด คำว่าขยันพูดในที่นี้คงต้องมามองหาความหมายกันใหม่นะคะ ขยันพูดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพูดครั้งละมาก ๆ อันนั้นเรียกว่าพูดมาก ขยันพูด คือ การพูดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ร้างจากการพูดในที่ชุมชนเป็นเวลานาน และประโยคต้องห้ามก็คือ "ไม่เอาละขี้เกียจพูด" ขนาดนึกจะพูดยังขี้เกียจนี่ก็คงเป็นนักพูดที่ดีไม่ได้แล้วนะคะ เมื่อคิดจะเป็น นักพูดแล้วก็ควรจะเป็นโรคจิตพิศวาสไมโครโฟนหรือเวทีหน่อย ๆ เห็นแล้วอยากขึ้นไปพูดเพื่อทดสอบความมั่นใจ แต่ไม่ต้อง ถึงกับขนาดบ้าไมโครโฟนหรือบ้าเวที ขนาดคนอื่นจัดงานไม่ยอมบอกกล่าวเพราะว่าจะเจอท่านขึ้นพูด คนที่ขยันพูดย่อม มีโอกาสในการที่จะเป็นนักพูดที่มีความสามารถในอนาคต ส่วนขยายที่จะพูด ย่อมเสียโอกาสนั้นไป แถมจะต้องเป็น คนฟังตลอดไปอีกต่างหาก
สี่ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ นะคะ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเราที่จะฝึกฝน หากเราฝึกหัดอยู่ สม่ำเสมอ เราจะสามารถเป็นนักพูดที่มีกึ๋นได้ มาฝึกฝนการเป็นนักพุดเถอะนะคะ เพราะมีแต่ผลดี ไม่มีผลเสียหรอกค่ะ สวัสดีค่ะ.