วิชาการพูด 48
พูดอย่างไรให้ผู้ฟังไม่เบื่อ
เพื่อน ๆ เคยนึกเบื่อไหมคะที่ต้องทนนั่งฟังผู้พูดบางคนที่มีแต่สาระพรั่งพรูออกจากปากโดยไม่ได้ใยดีว่าสาระเหล่านั้น ผู้ฟังจะเข้าในหรือได้ยินหรือไม่ ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายทอด เนื้อหาหรือประเด็นที่หนักอึ้ง ดิฉันเป็นคนหนึ่งนะคะ ที่อยากจะวิ่งหนีหรือลุกเดินออกมาซะดื้อ ๆลำพังเนื้อหาอย่างเดียวล้วน ไม่สามารถจูงใจดิฉันให้คล้อยตามได้หรอกนะคะ
มีนักพูดหลายคนที่ถูกจัดอยู่ในประเภทภายใต้ "กรอบข้อมูล" ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับตัวเลข พวกเขาจะพูดตามโน้ตย่อ ที่เตรียมมาอย่างดี และสนใจอย่างเดียวคือเนื้อหาสาระ แต่สิ่งที่เขามองข้ามไปและสำคัญที่สุดในการนำเสนอ คือ ผู้ฟังการพูด การนำเสนอที่เปรียบเสมือนกับเสียงปรบมือ มีใครปรบมือข้างเดียวดังบ้างล่ะคะ เมื่อการปรบมือต้องใช้มือทั้งสอง ข้าง ก็เปรียบเสมือนการนำเสนอ คือต้องใช้ทั้งเนื้อหา สาระ และวิธีการถ่ายทอดเชื่อมโยงเนื้อหาสาระควบคู่กันไป วันนี้ ดิฉันมีเคล็ดลับที่ไม่ลับในความสำเร็จในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระตามวิธีของสานี อาเร ดอนโด มาบอก เพื่อที่เราจะได้ปรบ มือ ในใจดัง ๆ และได้รับเสียงปรบมือที่ดังสนั่นกันนะคะ
องค์ประกอบก็มีอยู่ ๔ ประการง่าย ๆ คือ
องค์ประกอบแรก คือ การคาดหวัง ก่อนที่เพื่อน ๆ จะมาพูดหรือเมื่อใดก็ตามที่ผู้ฟังเริ่มฟัง พวกเขาต้องการทราบว่า จะได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องอะไร และนี่ก็เป็นภาระของผู้พูดที่ต้องเตรียมการมาอย่างดี ลองนึกดูซิคะว่า ถ้าหากหนังสือที่เรากำลัง อ่านอยู่ไม่มีสารบัญ ไม่มีชื่อของแต่ละบท ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละบทก็ไม่ชัดเจนว่ากล่าวถึงเรื่องอะไร การอ่านหนังสือ เล่มนี้ก็คงเป็นไปด้วยความยากลำบาก งง หรือ หงุดหงิด ฉันใดก็ฉันนั้นค่ะ ผู้ฟังก็คือผู้อ่าน ซึ่งต้องการแนวทางบ้างพอ สมควร แล้วเราจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร ผู้พูดก็ต้องการอารัมภบทหรือแจ้งวัตถุประสงค์นั่นเอง ดังนั้น ก่อนพูดสิ่งที่ควร ตรวจสอบเสมอก็คือ โครงร่างเรื่องที่จะนำเสนอ ตรวจสอบบุคลิก หน้าตาที่จะปรากฎแก่ผู้ฟังและถามตัวเองเสมอว่า ผู้ฟังเขาคาดหวังจะได้ฟัง และได้เห็นอะไรบ้างจากการพูดของเรา
องค์ประกอบที่ ๒ คือ การให้เกียรติ "มนุษย์" ทุกคนต้องการความสนใจ ผู้พูดก็ต้องแสดงความสนใจต่อผู้ฟัง ด้วยการ แสดงว่าเราให้เกียรติเขา โดยเริ่มต้นจากรู้จักผู้ฟังว่าเป็นใคร ซึ่งจะช่วยให้เข้าสู่การนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเชื่อมตัวเราและเนื้อหาเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างกลมกลืนด้วย
การพูดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต้องยึดเอามุมมองของผู้ฟังเป็นหลัก เราต้องทำการบ้านเพื่อศึกษาองค์ประกอบสำคัญ ๆ ให้ชัดเจนก่อนเสมอ และจากจุดนี้เราก็สามารถกำหนดประเด็นหลักที่ จะนำเสนอให้มีผลกระทบตรงหรือโดนใจผู้ฟังมาก ที่สุด เมื่อไรก็ตามที่เรานำเสนอเนื้อหา สาระที่มีความหมายต่อพวกเขา นั่นก็คือเรากำลังทำให้ผู้ฟังรู้สึกมีความมั่นใจ อยู่ไม่น้อย ผู้ฟังเองก็จะรู้สึกว่าเขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากเรา เมื่อเราอาทรผู้ฟังมากกว่าตัวเราเอง
องค์ประกอบที่ ๓ คือ การมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมของผู้ฟังเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยเมื่อไรก็ตาม ที่ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการ นำเสนอด้วยก็เชื่อแน่ว่า เขาไม่เพียงแต่จะฟังอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขาพร้อมที่จะมีการตอบสนองด้วยอย่างแน่นอน วิธีที่จะ ให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมกับเราก็คือ
- วิธีแรก คือ ถามคำถาม การใช้คำถามเป็นเครื่องช่วยดึงให้ผู้ฟังตามติดกับผู้พูดได้ตลอดเวลา ในการตอบก็ต้องเว้นช่วง เวลาให้ผู้ฟังได้คิดด้วย ไม่ใช่ถามไปแล้วเร่งให้ผู้ฟัง ตอบทันที ผู้ฟังไม่ใช่คอมพิวเตอร์นี่คะ ถามปุ๊บจะได้ตอบปั๊บ นอกจากนี้ตัวคำถามเองก็ต้องเป็นคำถามเปิด ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบเพียง "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เท่านั้น คำถาม เปิดก็จะเป็นคำถามที่เริ่มด้วยคำว่า ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร เป็นต้น
- วิธีที่ ๒ คือ ให้ผู้ฟังลองระลึกถึงบางสิ่งบางอย่าง เหตุการณ์นั้นจะต้องเป็นเหตุการณ์ที่คุ้นเคยกับผู้ฟัง แล้วก็ควรเป็น เหตุการณ์ที่ร่วมสมัยและสมวัยกับผู้ฟังพอสมควร เช่น กลุ่มผู้ฟังที่มีอายุช่วง ๒๐- ๒๕ ปี เราคงไม่ยกเหตุการณ์ "ท่านผู้ฟัง จำได้ไหมคะ สมัยที่กองทัพสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์มังดี สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒" ถ้าแบบนี้ก็หมดกัน ใครจะไปนึกออกใช่มั้ยคะ คงต้องโทรศัพท์ไปถามคุณยายที่บ้านก่อนแล้วกระมัง
องค์ประกอบที่ ๔ คือการนำไปใช้ เราคงเคยพบกับตนเองกันแล้วนะคะว่า สถานีวิทยุบางแห่งที่มีคนนิยมฟังมากเหลือเกิน เพราะเนื้อหามีประโยชน์หรือมีความหมายต่อผู้ฟังโดยตรง และถ้าหากลองไปถามผู้ฟังเหล่านั้นว่าทำไมเขาฟังรายการจาก สถานีวิทยุแห่งนี้ ก็คงจะได้รับคำตอบคล้ายคลึงกันว่า "เนื้อหาสาระของรายการนั้น ๆ ตรงกับความต้องการของพวกเขา" ผู้พูดต้องถามตัวเองด้วยนะคะว่า อะไรที่จะช่วยหว่านล้อมและทำให้ผู้ฟังสนใจเนื้อหาของการนำเสนอ? หรือ อะไรจะช่วย กระตุ้นผู้ฟังตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของการนำเสนอ? คำตอบก็คือ "คุณค่า" นั่นเองค่ะ เพราะเป็นธรรมดาของปุถุชน ที่จะซื้อหาสิ่งใดก็ต่อเมื่อเขามองเห็นว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า คุ้มแก่เงินที่ต้องจ่ายไป ทำนองเดียวกันถ้าผู้ฟังเห็นว่า เนื้อหาสาระ ที่เขาได้ยินนั้น มีคุณค่ามีความหมายต่อเขา แน่นอนคะที่เขาก็จะรับเอาและปฏิบัติตามการเน้นให้ผู้ฟังมองเห็น คุณค่าของเนื้อหาสาระ ที่เรานำเสนอต่อพวกเขา จะช่วยให้ผู้ฟังพร้อมที่จะฟัง และรับเนื้อหาสาระของเรามากขึ้น
เห็นไหมคะไม่ยากเลยใช่ไหมคะแค่เรารู้จัก การคาดหวัง การให้เกียรติ การมีส่วนร่วม และการนำไปใช้ ลองนำไป ประยุกต์ใช้ดูสิคะ แล้วจะพบกับความมหัศจรรย์ว่ามันช่วยในการนำเสนอ การพูดของเราน่าสนใจยิ่งขึ้น หากผู้ที่จะ พูดไม่ว่ามีอาชีพอะไร หรือพูดเรื่องอะไร หากใช้หลัก ๔ อย่างนี้แล้วล่ะก็รับรองคะ ดิฉันจะไปนั่งฟังแถวหน้าแน่นอน จองบัตรล่วงหน้าอีกต่างหากค่ะ.
เพื่อน ๆ เคยนึกเบื่อไหมคะที่ต้องทนนั่งฟังผู้พูดบางคนที่มีแต่สาระพรั่งพรูออกจากปากโดยไม่ได้ใยดีว่าสาระเหล่านั้น ผู้ฟังจะเข้าในหรือได้ยินหรือไม่ ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายทอด เนื้อหาหรือประเด็นที่หนักอึ้ง ดิฉันเป็นคนหนึ่งนะคะ ที่อยากจะวิ่งหนีหรือลุกเดินออกมาซะดื้อ ๆลำพังเนื้อหาอย่างเดียวล้วน ไม่สามารถจูงใจดิฉันให้คล้อยตามได้หรอกนะคะ
มีนักพูดหลายคนที่ถูกจัดอยู่ในประเภทภายใต้ "กรอบข้อมูล" ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับตัวเลข พวกเขาจะพูดตามโน้ตย่อ ที่เตรียมมาอย่างดี และสนใจอย่างเดียวคือเนื้อหาสาระ แต่สิ่งที่เขามองข้ามไปและสำคัญที่สุดในการนำเสนอ คือ ผู้ฟังการพูด การนำเสนอที่เปรียบเสมือนกับเสียงปรบมือ มีใครปรบมือข้างเดียวดังบ้างล่ะคะ เมื่อการปรบมือต้องใช้มือทั้งสอง ข้าง ก็เปรียบเสมือนการนำเสนอ คือต้องใช้ทั้งเนื้อหา สาระ และวิธีการถ่ายทอดเชื่อมโยงเนื้อหาสาระควบคู่กันไป วันนี้ ดิฉันมีเคล็ดลับที่ไม่ลับในความสำเร็จในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระตามวิธีของสานี อาเร ดอนโด มาบอก เพื่อที่เราจะได้ปรบ มือ ในใจดัง ๆ และได้รับเสียงปรบมือที่ดังสนั่นกันนะคะ
องค์ประกอบก็มีอยู่ ๔ ประการง่าย ๆ คือ
องค์ประกอบแรก คือ การคาดหวัง ก่อนที่เพื่อน ๆ จะมาพูดหรือเมื่อใดก็ตามที่ผู้ฟังเริ่มฟัง พวกเขาต้องการทราบว่า จะได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องอะไร และนี่ก็เป็นภาระของผู้พูดที่ต้องเตรียมการมาอย่างดี ลองนึกดูซิคะว่า ถ้าหากหนังสือที่เรากำลัง อ่านอยู่ไม่มีสารบัญ ไม่มีชื่อของแต่ละบท ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละบทก็ไม่ชัดเจนว่ากล่าวถึงเรื่องอะไร การอ่านหนังสือ เล่มนี้ก็คงเป็นไปด้วยความยากลำบาก งง หรือ หงุดหงิด ฉันใดก็ฉันนั้นค่ะ ผู้ฟังก็คือผู้อ่าน ซึ่งต้องการแนวทางบ้างพอ สมควร แล้วเราจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร ผู้พูดก็ต้องการอารัมภบทหรือแจ้งวัตถุประสงค์นั่นเอง ดังนั้น ก่อนพูดสิ่งที่ควร ตรวจสอบเสมอก็คือ โครงร่างเรื่องที่จะนำเสนอ ตรวจสอบบุคลิก หน้าตาที่จะปรากฎแก่ผู้ฟังและถามตัวเองเสมอว่า ผู้ฟังเขาคาดหวังจะได้ฟัง และได้เห็นอะไรบ้างจากการพูดของเรา
องค์ประกอบที่ ๒ คือ การให้เกียรติ "มนุษย์" ทุกคนต้องการความสนใจ ผู้พูดก็ต้องแสดงความสนใจต่อผู้ฟัง ด้วยการ แสดงว่าเราให้เกียรติเขา โดยเริ่มต้นจากรู้จักผู้ฟังว่าเป็นใคร ซึ่งจะช่วยให้เข้าสู่การนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเชื่อมตัวเราและเนื้อหาเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างกลมกลืนด้วย
การพูดเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต้องยึดเอามุมมองของผู้ฟังเป็นหลัก เราต้องทำการบ้านเพื่อศึกษาองค์ประกอบสำคัญ ๆ ให้ชัดเจนก่อนเสมอ และจากจุดนี้เราก็สามารถกำหนดประเด็นหลักที่ จะนำเสนอให้มีผลกระทบตรงหรือโดนใจผู้ฟังมาก ที่สุด เมื่อไรก็ตามที่เรานำเสนอเนื้อหา สาระที่มีความหมายต่อพวกเขา นั่นก็คือเรากำลังทำให้ผู้ฟังรู้สึกมีความมั่นใจ อยู่ไม่น้อย ผู้ฟังเองก็จะรู้สึกว่าเขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากเรา เมื่อเราอาทรผู้ฟังมากกว่าตัวเราเอง
องค์ประกอบที่ ๓ คือ การมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมของผู้ฟังเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยเมื่อไรก็ตาม ที่ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการ นำเสนอด้วยก็เชื่อแน่ว่า เขาไม่เพียงแต่จะฟังอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขาพร้อมที่จะมีการตอบสนองด้วยอย่างแน่นอน วิธีที่จะ ให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมกับเราก็คือ
- วิธีแรก คือ ถามคำถาม การใช้คำถามเป็นเครื่องช่วยดึงให้ผู้ฟังตามติดกับผู้พูดได้ตลอดเวลา ในการตอบก็ต้องเว้นช่วง เวลาให้ผู้ฟังได้คิดด้วย ไม่ใช่ถามไปแล้วเร่งให้ผู้ฟัง ตอบทันที ผู้ฟังไม่ใช่คอมพิวเตอร์นี่คะ ถามปุ๊บจะได้ตอบปั๊บ นอกจากนี้ตัวคำถามเองก็ต้องเป็นคำถามเปิด ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบเพียง "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เท่านั้น คำถาม เปิดก็จะเป็นคำถามที่เริ่มด้วยคำว่า ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร เป็นต้น
- วิธีที่ ๒ คือ ให้ผู้ฟังลองระลึกถึงบางสิ่งบางอย่าง เหตุการณ์นั้นจะต้องเป็นเหตุการณ์ที่คุ้นเคยกับผู้ฟัง แล้วก็ควรเป็น เหตุการณ์ที่ร่วมสมัยและสมวัยกับผู้ฟังพอสมควร เช่น กลุ่มผู้ฟังที่มีอายุช่วง ๒๐- ๒๕ ปี เราคงไม่ยกเหตุการณ์ "ท่านผู้ฟัง จำได้ไหมคะ สมัยที่กองทัพสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์มังดี สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒" ถ้าแบบนี้ก็หมดกัน ใครจะไปนึกออกใช่มั้ยคะ คงต้องโทรศัพท์ไปถามคุณยายที่บ้านก่อนแล้วกระมัง
องค์ประกอบที่ ๔ คือการนำไปใช้ เราคงเคยพบกับตนเองกันแล้วนะคะว่า สถานีวิทยุบางแห่งที่มีคนนิยมฟังมากเหลือเกิน เพราะเนื้อหามีประโยชน์หรือมีความหมายต่อผู้ฟังโดยตรง และถ้าหากลองไปถามผู้ฟังเหล่านั้นว่าทำไมเขาฟังรายการจาก สถานีวิทยุแห่งนี้ ก็คงจะได้รับคำตอบคล้ายคลึงกันว่า "เนื้อหาสาระของรายการนั้น ๆ ตรงกับความต้องการของพวกเขา" ผู้พูดต้องถามตัวเองด้วยนะคะว่า อะไรที่จะช่วยหว่านล้อมและทำให้ผู้ฟังสนใจเนื้อหาของการนำเสนอ? หรือ อะไรจะช่วย กระตุ้นผู้ฟังตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของการนำเสนอ? คำตอบก็คือ "คุณค่า" นั่นเองค่ะ เพราะเป็นธรรมดาของปุถุชน ที่จะซื้อหาสิ่งใดก็ต่อเมื่อเขามองเห็นว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า คุ้มแก่เงินที่ต้องจ่ายไป ทำนองเดียวกันถ้าผู้ฟังเห็นว่า เนื้อหาสาระ ที่เขาได้ยินนั้น มีคุณค่ามีความหมายต่อเขา แน่นอนคะที่เขาก็จะรับเอาและปฏิบัติตามการเน้นให้ผู้ฟังมองเห็น คุณค่าของเนื้อหาสาระ ที่เรานำเสนอต่อพวกเขา จะช่วยให้ผู้ฟังพร้อมที่จะฟัง และรับเนื้อหาสาระของเรามากขึ้น
เห็นไหมคะไม่ยากเลยใช่ไหมคะแค่เรารู้จัก การคาดหวัง การให้เกียรติ การมีส่วนร่วม และการนำไปใช้ ลองนำไป ประยุกต์ใช้ดูสิคะ แล้วจะพบกับความมหัศจรรย์ว่ามันช่วยในการนำเสนอ การพูดของเราน่าสนใจยิ่งขึ้น หากผู้ที่จะ พูดไม่ว่ามีอาชีพอะไร หรือพูดเรื่องอะไร หากใช้หลัก ๔ อย่างนี้แล้วล่ะก็รับรองคะ ดิฉันจะไปนั่งฟังแถวหน้าแน่นอน จองบัตรล่วงหน้าอีกต่างหากค่ะ.