วิชาการพูด 47
การเตรียมเสนอวาทะต่อชุมชนและการจัดการความประหม่าเวที
ในการสื่อสาร สิ่งแรกที่ผู้พูดต้องการก็คือ ให้ผู้อื่นเข้าใจในตัวผู้พูด เพราะเมื่อเขาเข้าใจในตัวผู้พูดแล้ว ผู้พูดสามารถที่จะสร้างความประทับใจ โน้มน้าวใจ หรืออื่น ๆ แก่ผู้ฟังได้อีกหลายอย่าง ซึ่งปัจจัย สำคัญที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจนั้นมี 3 ประการด้วยกัน คือ
1. มีข้อเท็จจริงและความคิดที่จะถ่ายทอด ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้พูดก็ย่อมไม่มีเนื้อหาที่จะนำมาพูด
2. มีความสามารถที่จะเรียบเรียงเนื้อหาและข้อสนับสนุนในการพุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ฟัง เข้าใจเนื้อหาที่จะพูด
3. สามารถถ่ายทอดเป็นวาทะสู่ผู้ฟังได้ เพราะถ้าผู้พูดเตรียมวาทะมาดี แต่ไม่สามารถถ่ายทอดได้ ก็เท่ากับว่าการพูดในครั้งนั้นล้มเหลว
เมื่อผ่านขั้นตอนของการเตรียมแล้ว ขั้นต่อมาก็คือ การนำเสนอ แต่ปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในช่วงนี้ก็คือ ความประหม่าของผู้พูด อาการประหม่าบนเวที คือความกลัวชนิดหนึ่ง ซึ่งจะลดประสิทธิภาพของระบบ การทำงานของสมองและจิตใจ กลัวว่าสังคมจะไม่เห็นด้วยกับการพูดหรือคำพูดของตน คาดไม่ถูกว่าจะ ได้รับปฏิกิริยาตอบโต้จากผู้ฟังอย่างไร ทำให้ผู้พูดเกิดอาการขาดความมั่นใจ
มีผู้แบ่งอาการประหม่าหรือตื่นเวทีนี้ไว้ 3 ระดับด้วยกัน คือ
1.ความเครียด เป็นความกลัวเพียงเล็กน้อยที่ผู้พูดยังสามารถควบคุมตัวเองได้ อาการในระดับนี้มีผลในทางบวก เพราะทำให้ผู้พูดมีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น
2. ความกลัว ในระดับนี้ ผู้พูดจะเริ่มแสดงอาการอย่างเห็นได้ชัด เช่น พูดตะกุกตะกัก เสียงสั่น หน้าซีด เหงื่อออกมากกว่าปกติ ลืมเรื่องที่จะพูด หรือพูดวกไปวนมา เป็นต้น ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้มากขึ้น
3. ความกลัวสุดขีด เป็นความกลัวที่รุนแรงมากจนทำให้ผู้พูดไม่สามารถควบคุมตนเองได้ อาจถึงขั้น เป็นลมหมดสติได้ ทั้งนี้เป็นเพราะในขณะที่เราตกใจ ร่างกายจะมีการหลั่งสาร Adrenalin ทำให้หัวใจ เต้นเร็ว ระบบย่อยอาหารหยุดทำงาน การหายใจถี่หนักขึ้นเพราะร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น
ดังนั้นในการสร้างความมั่นใจในการพูดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้พูดควรปฏิบัติดังนี้
1. การสร้างลำดับขั้นตอน นั่นคือ ให้พยายามแตกเป้าหมายใหญ่ออกเป็นส่วนย่อย ๆ วิธีนี้เป็นการ ทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าเรื่องที่จะพูดนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากวิธีนี้ ยังอาจใช้วิธีการแบ่งขั้นตอน ตามกลุ่มบุคคล หรือแบ่งตามหัวข้อที่จะพูดโดยอาจพูดในเรื่องที่ง่ายไปสู่เรื่องยากก็ได้
2. ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นวิธีผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย แบ่งได้เป็น 4ส่วนด้วยกันคือ
1. กล้ามเนื้อส่วนมือแขนและโคนแขน
2. กล้ามเนื้อส่วนหน้าและลำคอ
3. กล้ามเนื้อส่วนอกหลังไหล่ และท้อง
4. กล้ามเนื้อส่วนขาน่องและเท้า
โดยการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ แล้วคลายออกให้เร็วที่สุด เป็นวิธีการผ่อนคลายความตึงเครียด ของร่างกายได้ดีที่สุดในช่วงเวลาสั้น ๆ
3. การใช้โสตทัศนูปกรณ์ขณะที่พูด จะช่วยลดความประหม่าบนเวทีได้มาก ทำให้ผู้ฟังมีความเข้าใจมากขึ้น และสนใจการพูดมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้พูดมีความมั่นใจมากขึ้นจนค่อย ๆ ผ่อนคลายความ เครียดหรือความกลัว นอกจากนี้ ยังมีวิธีปฏิบัติตนง่าย ๆ เพื่อลดความประหม่า เช่น
- พยายามมองตัวเองในแง่อื่นบ้าง เช่น ตนเองสำคัญมากแค่ไหน จนถึงกับต้องตกเป็นเป้าสายตา
- พยายามใช้ภาษาที่เรียบง่าย สั้น ๆ และใช้น้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้มีความมั่นใจในตนเอง ขณะที่พูด
แต่หากเมื่อเริ่มการพูดไปแล้ว ผู้พูดยังคงรู้สึกประหม่าอยู่ให้ตั้งใจพูดช้า ๆ สักครู่ จากนั้นค่อยเพิ่มจังหวะ การพูดให้เร็วขึ้นจนเข้าสู่ภาวะปกติ และหากผู้พูดเกิดอาการสะดุดอย่างฉับพลัน ผู้พูดจะต้องแก้ไขปัญหา เฉพาะหน้าโดยพยายามมิให้เสียบุคลิก เช่น อาจยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้พูดต้องระลึกไว้เสมอว่า เราไม่สามารถทำให้ถูกใจผู้ฟังทุกคนได้ ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ถูกต้อง สมเหตุสมผลตามเกณฑ์ที่วางไว้ก็เพียงพอแล้ว และหากว่าผู้พูดรู้สึกว่า การพูดครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ เท่าที่ควร ขอให้ระลึกว่าความล้ามเหลวในบางโอกาสเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สักวันหนึ่งเขาจะต้องทำ ได้สำเร็จ
เราต้องเข้าใจว่าความประหม่านั้นเกิดขึ้นกับทุกคน มิใช่เฉพาะผู้ที่ฝึกพูดใหม่ ๆ เท่านั้น แม้แต่นักพูดที่เจน เวทีก็มีอาการเช่นกันและเขาพอใจที่จะเกิดอาการเช่นนั้น เพื่อให้เกิดพลังในการพูด การที่ผู้พูดมีความ ชินชา หรือเจนเวทีมากเกินไป จะทำให้ผู้พูดเกิดความมั่นใจในตนเองมากเกินไป จนขาดความกระตือ รือร้นในการทำงาน ขาดพลังที่จะจุดความมีชีวิตชีวาให้แก่ตนเอง และที่สำคัญกว่านั้นก็คือให้แก่ผู้ฟังนั่นเอง.
เก็บความจาก"การเตรียมเสนอวาทะต่อชุมชนและการขจัดความประหม่าบนเวที" ใน การพูดเพื่อธุรกิจ ของ รศ.ดร.อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท, หน้า 281 -317.
ในการสื่อสาร สิ่งแรกที่ผู้พูดต้องการก็คือ ให้ผู้อื่นเข้าใจในตัวผู้พูด เพราะเมื่อเขาเข้าใจในตัวผู้พูดแล้ว ผู้พูดสามารถที่จะสร้างความประทับใจ โน้มน้าวใจ หรืออื่น ๆ แก่ผู้ฟังได้อีกหลายอย่าง ซึ่งปัจจัย สำคัญที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจนั้นมี 3 ประการด้วยกัน คือ
1. มีข้อเท็จจริงและความคิดที่จะถ่ายทอด ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้พูดก็ย่อมไม่มีเนื้อหาที่จะนำมาพูด
2. มีความสามารถที่จะเรียบเรียงเนื้อหาและข้อสนับสนุนในการพุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ฟัง เข้าใจเนื้อหาที่จะพูด
3. สามารถถ่ายทอดเป็นวาทะสู่ผู้ฟังได้ เพราะถ้าผู้พูดเตรียมวาทะมาดี แต่ไม่สามารถถ่ายทอดได้ ก็เท่ากับว่าการพูดในครั้งนั้นล้มเหลว
เมื่อผ่านขั้นตอนของการเตรียมแล้ว ขั้นต่อมาก็คือ การนำเสนอ แต่ปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในช่วงนี้ก็คือ ความประหม่าของผู้พูด อาการประหม่าบนเวที คือความกลัวชนิดหนึ่ง ซึ่งจะลดประสิทธิภาพของระบบ การทำงานของสมองและจิตใจ กลัวว่าสังคมจะไม่เห็นด้วยกับการพูดหรือคำพูดของตน คาดไม่ถูกว่าจะ ได้รับปฏิกิริยาตอบโต้จากผู้ฟังอย่างไร ทำให้ผู้พูดเกิดอาการขาดความมั่นใจ
มีผู้แบ่งอาการประหม่าหรือตื่นเวทีนี้ไว้ 3 ระดับด้วยกัน คือ
1.ความเครียด เป็นความกลัวเพียงเล็กน้อยที่ผู้พูดยังสามารถควบคุมตัวเองได้ อาการในระดับนี้มีผลในทางบวก เพราะทำให้ผู้พูดมีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น
2. ความกลัว ในระดับนี้ ผู้พูดจะเริ่มแสดงอาการอย่างเห็นได้ชัด เช่น พูดตะกุกตะกัก เสียงสั่น หน้าซีด เหงื่อออกมากกว่าปกติ ลืมเรื่องที่จะพูด หรือพูดวกไปวนมา เป็นต้น ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้มากขึ้น
3. ความกลัวสุดขีด เป็นความกลัวที่รุนแรงมากจนทำให้ผู้พูดไม่สามารถควบคุมตนเองได้ อาจถึงขั้น เป็นลมหมดสติได้ ทั้งนี้เป็นเพราะในขณะที่เราตกใจ ร่างกายจะมีการหลั่งสาร Adrenalin ทำให้หัวใจ เต้นเร็ว ระบบย่อยอาหารหยุดทำงาน การหายใจถี่หนักขึ้นเพราะร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น
ดังนั้นในการสร้างความมั่นใจในการพูดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้พูดควรปฏิบัติดังนี้
1. การสร้างลำดับขั้นตอน นั่นคือ ให้พยายามแตกเป้าหมายใหญ่ออกเป็นส่วนย่อย ๆ วิธีนี้เป็นการ ทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าเรื่องที่จะพูดนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากวิธีนี้ ยังอาจใช้วิธีการแบ่งขั้นตอน ตามกลุ่มบุคคล หรือแบ่งตามหัวข้อที่จะพูดโดยอาจพูดในเรื่องที่ง่ายไปสู่เรื่องยากก็ได้
2. ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นวิธีผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย แบ่งได้เป็น 4ส่วนด้วยกันคือ
1. กล้ามเนื้อส่วนมือแขนและโคนแขน
2. กล้ามเนื้อส่วนหน้าและลำคอ
3. กล้ามเนื้อส่วนอกหลังไหล่ และท้อง
4. กล้ามเนื้อส่วนขาน่องและเท้า
โดยการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ แล้วคลายออกให้เร็วที่สุด เป็นวิธีการผ่อนคลายความตึงเครียด ของร่างกายได้ดีที่สุดในช่วงเวลาสั้น ๆ
3. การใช้โสตทัศนูปกรณ์ขณะที่พูด จะช่วยลดความประหม่าบนเวทีได้มาก ทำให้ผู้ฟังมีความเข้าใจมากขึ้น และสนใจการพูดมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้พูดมีความมั่นใจมากขึ้นจนค่อย ๆ ผ่อนคลายความ เครียดหรือความกลัว นอกจากนี้ ยังมีวิธีปฏิบัติตนง่าย ๆ เพื่อลดความประหม่า เช่น
- พยายามมองตัวเองในแง่อื่นบ้าง เช่น ตนเองสำคัญมากแค่ไหน จนถึงกับต้องตกเป็นเป้าสายตา
- พยายามใช้ภาษาที่เรียบง่าย สั้น ๆ และใช้น้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้มีความมั่นใจในตนเอง ขณะที่พูด
แต่หากเมื่อเริ่มการพูดไปแล้ว ผู้พูดยังคงรู้สึกประหม่าอยู่ให้ตั้งใจพูดช้า ๆ สักครู่ จากนั้นค่อยเพิ่มจังหวะ การพูดให้เร็วขึ้นจนเข้าสู่ภาวะปกติ และหากผู้พูดเกิดอาการสะดุดอย่างฉับพลัน ผู้พูดจะต้องแก้ไขปัญหา เฉพาะหน้าโดยพยายามมิให้เสียบุคลิก เช่น อาจยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้พูดต้องระลึกไว้เสมอว่า เราไม่สามารถทำให้ถูกใจผู้ฟังทุกคนได้ ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ถูกต้อง สมเหตุสมผลตามเกณฑ์ที่วางไว้ก็เพียงพอแล้ว และหากว่าผู้พูดรู้สึกว่า การพูดครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ เท่าที่ควร ขอให้ระลึกว่าความล้ามเหลวในบางโอกาสเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สักวันหนึ่งเขาจะต้องทำ ได้สำเร็จ
เราต้องเข้าใจว่าความประหม่านั้นเกิดขึ้นกับทุกคน มิใช่เฉพาะผู้ที่ฝึกพูดใหม่ ๆ เท่านั้น แม้แต่นักพูดที่เจน เวทีก็มีอาการเช่นกันและเขาพอใจที่จะเกิดอาการเช่นนั้น เพื่อให้เกิดพลังในการพูด การที่ผู้พูดมีความ ชินชา หรือเจนเวทีมากเกินไป จะทำให้ผู้พูดเกิดความมั่นใจในตนเองมากเกินไป จนขาดความกระตือ รือร้นในการทำงาน ขาดพลังที่จะจุดความมีชีวิตชีวาให้แก่ตนเอง และที่สำคัญกว่านั้นก็คือให้แก่ผู้ฟังนั่นเอง.
เก็บความจาก"การเตรียมเสนอวาทะต่อชุมชนและการขจัดความประหม่าบนเวที" ใน การพูดเพื่อธุรกิจ ของ รศ.ดร.อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท, หน้า 281 -317.