35ทินวัฒน์
นักพูดที่ข้าพเจ้าประทับใจ
การพูดเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากในปัจจุบัน เพราะคนเราต้องเข้าสังคม ติดต่อ ประสานงาน ประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการใด โรงพยาบาล หน่วยงานต่าง ๆ ของเอกชน รวมทั้งสังคมในหมู่คณะ หมู่บ้าน และครอบครัว ฉะนั้นการพูดจาก็ต้องมีการเรียนรู้ ฝึกฝนให้เกิดทักษะและความชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือแม้แต่กริยาท่าทาง สังเกตได้ง่าย ๆ คือถ้าเราพูดจาได้ไพเราะ น้ำเสียงชวนฟังใคร ๆ ก็อยากจะเข้าใกล้ แต่ถ้าบุคคลใดที่พูดจาไม่ไพเราะหู ใช้วาจาไม่สุภาพ กริยาไม่ดี เราก็ไม่อยากจะเข้าใกล้ ไม่อยากจะคบหาสมาคมด้วย ฉะนั้นปัจจุบันจึงมีการเปิดสอนหลักสูตรการพูดในโรงเรียนสายอาชีพหรืออาชีวะและในโรงเรียนฝึกพูดของเอกชนโดยทั่วไป จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้เริ่มมีคนเห็นความสำคัญต่อการพูดกันมากขึ้น ถึงแม้การพูดนั้นจะเป็นสิ่งที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันก็ตาม หลาย ๆ คนอาจคิดว่ามันเป็นสิ่งไม่ยากนัก แต่การพูดที่ดีนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องฝึกฝนอยู่เสมอเพราะหากเราพูดไม่ดีแล้ว นอกจากคนจะไม่ชอบแล้ว บางครั้งอาจเกิดภัยมาถึงตัวก็ได้ ฉะนั้นเราจึงควรจะขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวไว้ให้มาก ๆ เมื่อเวลาไปพูดกับใคร เราก็จะมีความเชื่อมั่นในตนเองและรู้จริงในสิ่งที่เราพูดด้วย
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งได้กล่าวถึงหลักการพูดไว้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี้มีชื่อเรื่องว่า ลูกเล่นลูกฮา มุมที่คนไม่มอง ซึ่ง คุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ซึ่งสาเหตุที่ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจในตัวของคุณทินวัฒน์นั้นเนื่องจากเขาเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้านมากไม่ว่าจะเป็นนักพูด นักบรรยาย นักฝึกอบรมที่มีลูกศิษย์ ลูกหาทั่วประเทศหลายหมื่นคน เขาบุกเบิกการพูดในที่ชุมชน จนกลายเป็นต้นตำหรับ “ศิลปะการพูดในที่สาธารณะ” ของเมืองไทย และยังเป็นนักปาฐกถาที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคมีคนเคยฟังปาฐกถาของเขาทั้งจากตัวจริง จากเทป และจากวีดีโอเทป หลายล้านคนทั่วประเทศ และที่สำคัญเขายังสามารถยืนพูดอยู่คนเดียว 3 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งมีคนซื้อตั๋วไปนั่งฟังเขาครั้งละ 2000 คนในรายการที่เรียกว่า “ ไลฟ์ทอล์คโชว์” ที่เขาเริ่มจัดขึ้นเองเป็นคนแรก นอกจากนี้คุณทินวัฒน์ยังมาเป็นนักการเมืองสมัยแรก (2531)จนกลายเป็น “ดาวสภา” ที่แจ้งเกิดในการอภิปรายกรณี “ ถนนควายเดิน “ และครั้งล่าสุดนี้เขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขต 3 สมัยที่ 3 ด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง สังกัดพรรคพลังธรรมอีกด้วย เนื่องจากความสามารถของคุณทินวัฒน์ที่มีมากมายหลายด้านนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ได้เริ่มต้นด้วยการพูดที่ดี ไม่ว่าจะใช้คำพูดโน้มน้าวใจผู้ฟังในการหาเสียง หรือแม้แต่การพูดในที่สาธารณะในสถานที่ต่าง ๆ ข้าพเจ้าจึงขอหยิบยกเอาประเด็นของการพูดที่คุณทินวัฒน์สามารถนำมาใช้ในการเป็นนักพูด นักเขียน หรือแม้แต่นักการเมืองที่ดีได้มากล่าวถึงดังต่อไปนี้
คุณทิวัฒน์ได้กล่าวไว้ว่าก่อนที่เขาจะสามารถมาเป็นนักพูดที่ดีได้นั้นต้องเริ่มจากการฝึกฝนและการที่เขาจะสามารถเป็นนักพูดที่ดี ผู้ฟังไม่รูสึกเบื่อ และประสบผลสำเร็จอยู่ได้เสมอนั้นต้องอาศัยหลักการที่ใช้ประกอบในการพูดอยู่เสมอซึ่งเขามีอยู่ 2 หลักการใหญ่ ๆ คือ ประการแรกการพูดของเขาทุกครั้งจะต้องเป็นการพูดที่เป็นสาระและประโยชน์แก่ผู้ฟังในทุกแง่ทุกมุม
แต่นั่นก็ไม่ได้ให้พูดถึงเนื้อหาตลอดเวลา เขาใช้อารมณ์ขันซึ่งเป็นความสามารถที่เขามีอยู่มาใช้ในการพูดด้วยเพื่อไม่ให้คนฟังเกิดความรู้สึกเบื่อ หลักการเบื้องต้นนี้ส่งผลให้นักบรรยายธรรมดาคนหนึ่งนำมาใช้ในการพูดปาฐกถาของตนเอง จนเป็นที่ประทับใจคนนับหมื่นนับแสนคน เขาก้าวมายืนอยู่หัวแถวของนักการพูดเมืองไทย มิใช่เพราะเขาพูดเก่ง พูดคล่อง แต่เพราะเขาพูดดี พูดน่าฟัง พูดได้สาระประโยชน์ฟังเมื่อไรก็ยังใช้ได้อยู่ ไม่ได้ล้าสมัยไปตามกาลเวลา นอกเหนือไปกว่านั้น ความสามารถในการถ่ายทอดของคุณทินวัฒน์เป็นความสามารถเฉพาะตัว มีความเฉียบขาดแหลมคม และเพราะแฝงด้วยอารมณ์ขัน มีลูกเล่น ลูกฮา ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นอารมณ์ขันที่ผสมผสานกับวิชาการ มิใช่เรื่องโปกฮาที่ใคร ๆ ทำได้ทั่วไป ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างการพูดของคุณทินวัฒน์ที่ใช้หลักการนี้ในการพูดต่อที่สาธารณะชนและประสบผลสำเร็จมาแล้วสักหนึ่งเรื่องเพื่อจะได้เห็นภาพพจน์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คุณทินวัฒน์ได้พูดถึง “ ถนนสู่ความสำเร็จ “ คุณทินวัฒน์กล่าวว่า ความสำเร็จของคนเราเป็นเรื่องของการ ” เสาะหา ไม่ใช่เกิดมาเป็น “
เป็นเรื่องของ การฟันฝ่า ไม่ใช่เรื่อง ฟลุค ฟลุค
เป็นเรื่องของ การต่อสู้ ไม่ใช่ นั่งดูดาวอยู่เฉย ๆ
เป็นเรื่องของ ความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่ อาศัยโชคช่วย
เป็นเรื่องของ การฝึกฝน ไม่ใช่ บุญหล่นทับ
เป็นเรื่องของ ความสามารถ ไม่ใช่ วาสนา
เป็นเรื่องของ พรแสวง ไม่ใช่ พรสวรรค์
ที่แท้จริงความสำเร็จของเราไม่ได้มาจากไหนเลย มาจากตัวเราเองทั้งนั้นต้องไปเสาะหามา จะอยู่ ๆ แล้วมีเองไม่ได้ ต้องต่อสู้ ต้องฟันฝ่า จะมาเผื่อโชค เผื่อฟลุค เผื่อราชรถมาเกยไม่ได้ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฝีมือ และความสามารถ ไม่ใช่วาสนา ซึ่งสิ่งที่คุณทินวัฒน์กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังอย่างมาก
นอกจากหลักการพูดประการแรกที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ยังมีหลักการพูดอีกประการหนึ่งที่คุณทินวัฒน์มักเลือกมาใช้ในการพูดเสมอเพื่อให้ผู้ฟังมีความเชื่อถือมากขึ้นคือ คุณทินวัฒน์ยังสามารถยกตัวอย่างสำนวน ภาษา คำคม และคติสอนใจได้ดีอีกด้วยเพื่อเป็นการให้ผู้ฟังจะได้มีส่วนร่วมในการคิดตาม มองเห็นสิ่งที่เขาพูดได้ชัดเจนขึ้น และไม่รู้สึกเบื่อเมื่อได้ฟังเป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งหลักการนี้สามารถใช้ได้และประสบผลสำเร็จในการพูดแทบจะทุกครั้ง และสำนวนที่เขายกมาแต่ละครั้งมักเป็นสำนวนที่ฟังไม่ยาก และง่ายต่อการจดจำ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“มีเพื่อนห้าร้อยคนก็ยังน้อยไป มีศัตรูคนเดียว ก็รับมือไม่ไหว “ คือ มีศัตรูแค่คนเดียวก็ถือว่ามากไปแล้ว แต่ถึงจะมีเพื่อนถึงห้าร้อยคนก็ยังถือว่าน้อยไปอยู่ ฉะนั้นคนเราจึงจำเป็นในการผูกมิตรกับคนให้มาก ๆ ไว้ เพื่อจะได้ไม่มีศัตรูและยังมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกด้วย กับอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ
“ คนไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่เบื้องสูงไม่ได้ “ ซึ่งหมายถึงคนที่จะเป็นผู้นำ เป็นนักบริหาร เป็นผู้นำชุมชน ต้องศึกษาเรื่องคนให้มากเพื่อจะได้เป็นแนวทางในการบริหารงาน เพราะการที่จะบริหารงานให้ได้ดีนั้น จำเป็นจะต้องบริหารคนด้วย เป็นต้น หลักการพูดของคุณทินวัฒน์ ยังให้ข้อคิดเตือนใจได้ดีอีกเช่นกัน เช่นได้พูดถึงบางคนรับราชการจนเกษียณอายุ ได้เงินบำเหน็จมา 2-3 แสนบาท โดนลูกยุสมัคร ส.ส ปรากฏว่าสอบตก หมดไปล้านห้า ขายบ้านใช้หนี้แล้วยังค้างอีกล้านสอง ซึ่งคนอายุ 60 กว่า เป็นหนี้เขาล้านสองนี่ ลูกหลานก็จะหนีหมด ไม่มีใครอยากจะนับญาติด้วยหรอก นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คุณทินวัฒน์ นำมาพูดเตือนผู้ที่กำลังจะเกษียณ หรือเกษียณไปแล้วให้ใช้จ่ายอย่างพอเพียง ไม่ควรฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ทะเยอทะยานควรจะอยู่แบบสงบมากกว่า และไม่ควรนำความเดือดร้อนมาสู่ลูกหลานอีก
นอกจากคุณทินวัฒน์จะเป็นนักพูดแล้ว คุณทินวัฒน์ก็ยังกลายเป็นนักเขียน เป็นนักการเมืองเต็มตัวไปแล้ว จากการที่ได้เป็นส.ส ถึง 2 สมัย จนทำให้เวลาที่จะมาคิดมาเขียนอะไรให้เป็นเรื่องสนุกให้ฟังนั้นมีน้อยลง แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจที่ผู้ฟังหรือผู้อ่านก็ยังรู้สึกประทับใจในการพูดและการเขียนของเขาอยู่เรื่อยมา คุณทินวัฒน์ได้ให้ข้อคิดว่า การพูดไม่เหมือนกับการเขียน การพูดซึ่งเราเห็นกันอยู่ต่อหน้าว่าใครบ้างนั่งฟังเราพูด พูดไม่ถูกใจเราก็ค่อย ๆ ดัดแปลง โดยอ่านปฏิกิริยาท่าที อากัปกิริยาของผู้ฟัง พักเดียวเราก็เข้ากับเขาได้ ถ้าเราพูดให้ฟังคราวละ 400-500 คนหรือ1000-2000คน ในที่ที่จำกัดนั้น ถ้าเราสามารถควบคุมบรรยากาศได้ กำหัวใจของผู้ฟังได้ตั้งแต่ต้น หากมีความผิดก็ยังถือเป็นเรื่องเล็กน้อยให้อภัยได้เพราะเราพูดในกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ได้พูดกับคนทั้งประเทศ คุณทินวัฒน์ยังได้สารภาพต่อไปอีกว่าการพูดนั้นยากกว่าการเขียน เพราะถ้าเขียนผิดแล้วยังสามารถลบแล้วแก้ไขใหม่ได้ แต่ถ้าพูดผิดแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากนั้นการเขียนยังสามารถหยุดได้เป็นระยะ ๆ ไม่ชอบก็พักไว้ก่อน แต่การพูดนั้นต้องพูดต่อเนื่องกันไปจนจบ เพราะฉะนั้นการพูดจึงยากมากในทัศนะของเขา
อย่างไรก็ดีถึงแม้คุณทินวัฒน์จะกล่าวว่าการพูดเป็นสิ่งที่ยากนั้น แต่เขาก็ยังสามารถพูดต่อที่สาธารณะชนได้อย่างประสบผลสำเร็จเสมอเนื่องจากเขาได้นำหลักการที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้มาประยุกต์ใช้ในการพูดในโอกาสต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และยังรู้จักการพูดที่สามารถทำให็ผู้ฟังนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีได้อีกด้วย
ดิฉันได้มีโอกาศอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งได้กล่าวถึงหลักการพูดไว้เป็นอย่างดี ซึ่งหนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า “ลูกเล่นลูกฮา มุมที่คนไม่มอง “ ซึ่งคุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เป็นผู้เขียนไว้ สาเหตุที่ดิฉันประทับใจในตัวคุณทินวัฒน์ก็คือ เขาเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้านมาก เพราะนอกจากเขาจะเป็นนักพูด นักบรรยาย นักบุกเบิกการพูดในที่ชุมชน นักฝึกอบรมที่มีลูกศิทษย์หลายหมื่นคนทั่วประเทศแล้วเขาก็ยังได้เป็นนักปาฐกถาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งด้วย นอกจากนี้เพราะความสามารถในกรพูดของเขายังผลักดันให้เขาเป็นนักการเมืองจนกลายเป็น “ดาวสภา” ที่แจ้งเกิดในการอภิปรายกรณี “ ถนนควายเดิน “ และครั้งล่าสุดยังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคพลังธรรมอีกด้วย และเนื่องจากความสามารถของคุณทินวัฒน์ที่มีมากมายหลายด้านนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ได้เริ่มต้นจากการพูดที่ดี ในหนังสือเล่มนี้คุณทินวัฒน์ก็ได้กล่าวถึงหลักการพูดไว้ว่า การเป็นนักพูดที่ดีได้นั้นจะต้องเริ่มจากการฝึกฝนและการที่เขาจะสามารถเป็นนักพูดที่ดี ผู้ฟังไม่รู้สึกเบื่อ และประสบผลสำเร็จได้อยู่เสมอนั้น เขาต้องอาศัยหลักการที่ใช้ประกอบในการพูดอยู่เสมอ ซึ่งมีอยู่ 2 หลักการใหญ่ ๆ คือ ประการแรก การพูดของเขาทุกครั้งจะต้องเป็นการพูดที่เป็นสาระและประโยชน์แก่ผู้ฟังในทุกแง่ทุกมุม เพื่อผู้พูดจะได้รู้สึกว่าการมาฟังเขาพุดนั้นไม่ได้เสียเปล่า แต่กลับได้แง่คิดและได้นำมุมมองใหม่ ๆ มาใช้ และปรับปรุงในชีวิตประจำวันได้ด้วย ดิฉันจะขอยกตัวอย่างมาหนึ่งเรื่องเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้เห็นภาพพจน์ชัดเจนขึ้นนะคะ ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คุณทินวัฒน์ได้พูดถึง “ ถนนสู่ความสำเร็จ “ และเขาก็ได้กล่าวถึงความสำเร็จของเรานั้น
เป็นเรื่องของการ เสาะหา ไม่ใช่เกิดมาเป็น
เป็นเรื่องของการฟันฝ่า ไม่ใช่ ฟลุค ฟลุค
เป็นเรื่องของการต่อสู้ ไม่ใช่นั่งดูดาวอยู่เฉย ๆ
เป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่อาศัยโชคช่วย
เป็นเรื่องของการฝึกฝน ไม่ใช่บุญหล่นทับ
เป็นเรื่องของความสามารถ ไม่ใช่วาสนา
เป็นเรื่องของพรแสวง ไม่ใช่พรสวรรค์
ซึ่งสิ่งที่เขากล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นแง่คิดให้ผู้ฟังได้ทั้งสิ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องพูดถึงเนื้อหาตลอดเวลา คุณทินวัฒน์ยังใช้อารมณ์ขันซึ่งเป็นความสามารถที่เขามีอยู่มาใช้ด้วยเพื่อไม่ให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อ ซึ่งถือว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวจริง ๆ นะคะ เพราะเขาเป็นนักพุดที่มีอารมณ์ขันที่ผสมกับวิชาการ มิใช่เรื่องโปกฮาที่ใคร ๆ ทำได้ทั่วไป นอกจากการพูดประการแรกแล้วยังมีหลักการพูดอีกอย่างหนึ่งที่คุณทินวัฒน์เลือกมาใช้ในการพูดเสมอเพื่อให้ผู้ฟังมีความเชื่อถือมากขึ้น คือ คุณทินวัฒน์ยังเห็นความสำคัญของการใช้คำถามและสามารถยกตัวอย่าง สำนวน ภาษา และคติสอนใจได้ดี อีกด้วย เพื่อให้ผู้ฟังจะได้มีส่วนร่วมในการคิดถาม มองเห็นสื่งที่เขาพูดได้ชัดเจนขึ้นและไม่รูสึกเบื่อเมื่อได้ฟังเป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งหลักการนี้สามารถใช้ได้และประสบผลสำเร็จในการพูดแทบจะทุกครั้งเพราะสำนวนที่เขายกมาแต่ละครั้งมักเป็นสำนวนที่ฟังไม่ยากและง่ายต่อการจดจำ เช่น “ คนไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่เบ้องสูงไม่ได้ “ นั่นก็หมายถึงคนที่จะเป็นผู้นำหรือนักบริหารงานได้ดีนั้น จำเป็นต้องบริหารคนด้วย เป็นต้น นอกจากนี้หลักการพูดของคุณทินวัฒน์ยังให้ข้อคิดเตือนใจได้ดีอีกด้วย เช่น ได้พูดถึงบางคนที่รับราชการจนเกษียณอายุ ได้นำเงินบำเหน็จมาลงสมัคร ส.ส. เพราะโดนคนยุ ปรากฏว่าสอบตก และยังเป็นหนี้อีก จนทำให้ลูดหลานเดือดร้อน นี่ก็เป็นตัวอย่างที่คุณทินวัฒน์นำมาใช้สอนคนที่กำลังจะเกษียณอายุว่า ไม่ควรฟุ่มเฟือย ทะเยอทะยาน ควรอยู่แบบสงบมากกว่า
จากการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า คุณ ทินวัฒน์ ได้ใช้หลักการพูดให้ประสบผลสำเร็จ โดยใช้หลักการพูดที่ให้แง่คิดแก่ผู้ฟัง เพื่อจะได้ให้ผู้ฟังไม่รู้สึกเบื่อ และยังได้นำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตนได้ ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นหลักการที่ดีมากทีเดียวเลยนะคะ เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ฟังได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้รับประโยชน์อีกด้วย
การพูดเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากในปัจจุบัน เพราะคนเราต้องเข้าสังคม ติดต่อ ประสานงาน ประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการใด โรงพยาบาล หน่วยงานต่าง ๆ ของเอกชน รวมทั้งสังคมในหมู่คณะ หมู่บ้าน และครอบครัว ฉะนั้นการพูดจาก็ต้องมีการเรียนรู้ ฝึกฝนให้เกิดทักษะและความชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือแม้แต่กริยาท่าทาง สังเกตได้ง่าย ๆ คือถ้าเราพูดจาได้ไพเราะ น้ำเสียงชวนฟังใคร ๆ ก็อยากจะเข้าใกล้ แต่ถ้าบุคคลใดที่พูดจาไม่ไพเราะหู ใช้วาจาไม่สุภาพ กริยาไม่ดี เราก็ไม่อยากจะเข้าใกล้ ไม่อยากจะคบหาสมาคมด้วย ฉะนั้นปัจจุบันจึงมีการเปิดสอนหลักสูตรการพูดในโรงเรียนสายอาชีพหรืออาชีวะและในโรงเรียนฝึกพูดของเอกชนโดยทั่วไป จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้เริ่มมีคนเห็นความสำคัญต่อการพูดกันมากขึ้น ถึงแม้การพูดนั้นจะเป็นสิ่งที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันก็ตาม หลาย ๆ คนอาจคิดว่ามันเป็นสิ่งไม่ยากนัก แต่การพูดที่ดีนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องฝึกฝนอยู่เสมอเพราะหากเราพูดไม่ดีแล้ว นอกจากคนจะไม่ชอบแล้ว บางครั้งอาจเกิดภัยมาถึงตัวก็ได้ ฉะนั้นเราจึงควรจะขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวไว้ให้มาก ๆ เมื่อเวลาไปพูดกับใคร เราก็จะมีความเชื่อมั่นในตนเองและรู้จริงในสิ่งที่เราพูดด้วย
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งได้กล่าวถึงหลักการพูดไว้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี้มีชื่อเรื่องว่า ลูกเล่นลูกฮา มุมที่คนไม่มอง ซึ่ง คุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ซึ่งสาเหตุที่ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจในตัวของคุณทินวัฒน์นั้นเนื่องจากเขาเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้านมากไม่ว่าจะเป็นนักพูด นักบรรยาย นักฝึกอบรมที่มีลูกศิษย์ ลูกหาทั่วประเทศหลายหมื่นคน เขาบุกเบิกการพูดในที่ชุมชน จนกลายเป็นต้นตำหรับ “ศิลปะการพูดในที่สาธารณะ” ของเมืองไทย และยังเป็นนักปาฐกถาที่มีชื่อเสียงโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคมีคนเคยฟังปาฐกถาของเขาทั้งจากตัวจริง จากเทป และจากวีดีโอเทป หลายล้านคนทั่วประเทศ และที่สำคัญเขายังสามารถยืนพูดอยู่คนเดียว 3 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งมีคนซื้อตั๋วไปนั่งฟังเขาครั้งละ 2000 คนในรายการที่เรียกว่า “ ไลฟ์ทอล์คโชว์” ที่เขาเริ่มจัดขึ้นเองเป็นคนแรก นอกจากนี้คุณทินวัฒน์ยังมาเป็นนักการเมืองสมัยแรก (2531)จนกลายเป็น “ดาวสภา” ที่แจ้งเกิดในการอภิปรายกรณี “ ถนนควายเดิน “ และครั้งล่าสุดนี้เขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขต 3 สมัยที่ 3 ด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง สังกัดพรรคพลังธรรมอีกด้วย เนื่องจากความสามารถของคุณทินวัฒน์ที่มีมากมายหลายด้านนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ได้เริ่มต้นด้วยการพูดที่ดี ไม่ว่าจะใช้คำพูดโน้มน้าวใจผู้ฟังในการหาเสียง หรือแม้แต่การพูดในที่สาธารณะในสถานที่ต่าง ๆ ข้าพเจ้าจึงขอหยิบยกเอาประเด็นของการพูดที่คุณทินวัฒน์สามารถนำมาใช้ในการเป็นนักพูด นักเขียน หรือแม้แต่นักการเมืองที่ดีได้มากล่าวถึงดังต่อไปนี้
คุณทิวัฒน์ได้กล่าวไว้ว่าก่อนที่เขาจะสามารถมาเป็นนักพูดที่ดีได้นั้นต้องเริ่มจากการฝึกฝนและการที่เขาจะสามารถเป็นนักพูดที่ดี ผู้ฟังไม่รูสึกเบื่อ และประสบผลสำเร็จอยู่ได้เสมอนั้นต้องอาศัยหลักการที่ใช้ประกอบในการพูดอยู่เสมอซึ่งเขามีอยู่ 2 หลักการใหญ่ ๆ คือ ประการแรกการพูดของเขาทุกครั้งจะต้องเป็นการพูดที่เป็นสาระและประโยชน์แก่ผู้ฟังในทุกแง่ทุกมุม
แต่นั่นก็ไม่ได้ให้พูดถึงเนื้อหาตลอดเวลา เขาใช้อารมณ์ขันซึ่งเป็นความสามารถที่เขามีอยู่มาใช้ในการพูดด้วยเพื่อไม่ให้คนฟังเกิดความรู้สึกเบื่อ หลักการเบื้องต้นนี้ส่งผลให้นักบรรยายธรรมดาคนหนึ่งนำมาใช้ในการพูดปาฐกถาของตนเอง จนเป็นที่ประทับใจคนนับหมื่นนับแสนคน เขาก้าวมายืนอยู่หัวแถวของนักการพูดเมืองไทย มิใช่เพราะเขาพูดเก่ง พูดคล่อง แต่เพราะเขาพูดดี พูดน่าฟัง พูดได้สาระประโยชน์ฟังเมื่อไรก็ยังใช้ได้อยู่ ไม่ได้ล้าสมัยไปตามกาลเวลา นอกเหนือไปกว่านั้น ความสามารถในการถ่ายทอดของคุณทินวัฒน์เป็นความสามารถเฉพาะตัว มีความเฉียบขาดแหลมคม และเพราะแฝงด้วยอารมณ์ขัน มีลูกเล่น ลูกฮา ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นอารมณ์ขันที่ผสมผสานกับวิชาการ มิใช่เรื่องโปกฮาที่ใคร ๆ ทำได้ทั่วไป ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างการพูดของคุณทินวัฒน์ที่ใช้หลักการนี้ในการพูดต่อที่สาธารณะชนและประสบผลสำเร็จมาแล้วสักหนึ่งเรื่องเพื่อจะได้เห็นภาพพจน์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คุณทินวัฒน์ได้พูดถึง “ ถนนสู่ความสำเร็จ “ คุณทินวัฒน์กล่าวว่า ความสำเร็จของคนเราเป็นเรื่องของการ ” เสาะหา ไม่ใช่เกิดมาเป็น “
เป็นเรื่องของ การฟันฝ่า ไม่ใช่เรื่อง ฟลุค ฟลุค
เป็นเรื่องของ การต่อสู้ ไม่ใช่ นั่งดูดาวอยู่เฉย ๆ
เป็นเรื่องของ ความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่ อาศัยโชคช่วย
เป็นเรื่องของ การฝึกฝน ไม่ใช่ บุญหล่นทับ
เป็นเรื่องของ ความสามารถ ไม่ใช่ วาสนา
เป็นเรื่องของ พรแสวง ไม่ใช่ พรสวรรค์
ที่แท้จริงความสำเร็จของเราไม่ได้มาจากไหนเลย มาจากตัวเราเองทั้งนั้นต้องไปเสาะหามา จะอยู่ ๆ แล้วมีเองไม่ได้ ต้องต่อสู้ ต้องฟันฝ่า จะมาเผื่อโชค เผื่อฟลุค เผื่อราชรถมาเกยไม่ได้ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฝีมือ และความสามารถ ไม่ใช่วาสนา ซึ่งสิ่งที่คุณทินวัฒน์กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังอย่างมาก
นอกจากหลักการพูดประการแรกที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ยังมีหลักการพูดอีกประการหนึ่งที่คุณทินวัฒน์มักเลือกมาใช้ในการพูดเสมอเพื่อให้ผู้ฟังมีความเชื่อถือมากขึ้นคือ คุณทินวัฒน์ยังสามารถยกตัวอย่างสำนวน ภาษา คำคม และคติสอนใจได้ดีอีกด้วยเพื่อเป็นการให้ผู้ฟังจะได้มีส่วนร่วมในการคิดตาม มองเห็นสิ่งที่เขาพูดได้ชัดเจนขึ้น และไม่รู้สึกเบื่อเมื่อได้ฟังเป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งหลักการนี้สามารถใช้ได้และประสบผลสำเร็จในการพูดแทบจะทุกครั้ง และสำนวนที่เขายกมาแต่ละครั้งมักเป็นสำนวนที่ฟังไม่ยาก และง่ายต่อการจดจำ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“มีเพื่อนห้าร้อยคนก็ยังน้อยไป มีศัตรูคนเดียว ก็รับมือไม่ไหว “ คือ มีศัตรูแค่คนเดียวก็ถือว่ามากไปแล้ว แต่ถึงจะมีเพื่อนถึงห้าร้อยคนก็ยังถือว่าน้อยไปอยู่ ฉะนั้นคนเราจึงจำเป็นในการผูกมิตรกับคนให้มาก ๆ ไว้ เพื่อจะได้ไม่มีศัตรูและยังมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกด้วย กับอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ
“ คนไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่เบื้องสูงไม่ได้ “ ซึ่งหมายถึงคนที่จะเป็นผู้นำ เป็นนักบริหาร เป็นผู้นำชุมชน ต้องศึกษาเรื่องคนให้มากเพื่อจะได้เป็นแนวทางในการบริหารงาน เพราะการที่จะบริหารงานให้ได้ดีนั้น จำเป็นจะต้องบริหารคนด้วย เป็นต้น หลักการพูดของคุณทินวัฒน์ ยังให้ข้อคิดเตือนใจได้ดีอีกเช่นกัน เช่นได้พูดถึงบางคนรับราชการจนเกษียณอายุ ได้เงินบำเหน็จมา 2-3 แสนบาท โดนลูกยุสมัคร ส.ส ปรากฏว่าสอบตก หมดไปล้านห้า ขายบ้านใช้หนี้แล้วยังค้างอีกล้านสอง ซึ่งคนอายุ 60 กว่า เป็นหนี้เขาล้านสองนี่ ลูกหลานก็จะหนีหมด ไม่มีใครอยากจะนับญาติด้วยหรอก นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คุณทินวัฒน์ นำมาพูดเตือนผู้ที่กำลังจะเกษียณ หรือเกษียณไปแล้วให้ใช้จ่ายอย่างพอเพียง ไม่ควรฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ทะเยอทะยานควรจะอยู่แบบสงบมากกว่า และไม่ควรนำความเดือดร้อนมาสู่ลูกหลานอีก
นอกจากคุณทินวัฒน์จะเป็นนักพูดแล้ว คุณทินวัฒน์ก็ยังกลายเป็นนักเขียน เป็นนักการเมืองเต็มตัวไปแล้ว จากการที่ได้เป็นส.ส ถึง 2 สมัย จนทำให้เวลาที่จะมาคิดมาเขียนอะไรให้เป็นเรื่องสนุกให้ฟังนั้นมีน้อยลง แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจที่ผู้ฟังหรือผู้อ่านก็ยังรู้สึกประทับใจในการพูดและการเขียนของเขาอยู่เรื่อยมา คุณทินวัฒน์ได้ให้ข้อคิดว่า การพูดไม่เหมือนกับการเขียน การพูดซึ่งเราเห็นกันอยู่ต่อหน้าว่าใครบ้างนั่งฟังเราพูด พูดไม่ถูกใจเราก็ค่อย ๆ ดัดแปลง โดยอ่านปฏิกิริยาท่าที อากัปกิริยาของผู้ฟัง พักเดียวเราก็เข้ากับเขาได้ ถ้าเราพูดให้ฟังคราวละ 400-500 คนหรือ1000-2000คน ในที่ที่จำกัดนั้น ถ้าเราสามารถควบคุมบรรยากาศได้ กำหัวใจของผู้ฟังได้ตั้งแต่ต้น หากมีความผิดก็ยังถือเป็นเรื่องเล็กน้อยให้อภัยได้เพราะเราพูดในกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ได้พูดกับคนทั้งประเทศ คุณทินวัฒน์ยังได้สารภาพต่อไปอีกว่าการพูดนั้นยากกว่าการเขียน เพราะถ้าเขียนผิดแล้วยังสามารถลบแล้วแก้ไขใหม่ได้ แต่ถ้าพูดผิดแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากนั้นการเขียนยังสามารถหยุดได้เป็นระยะ ๆ ไม่ชอบก็พักไว้ก่อน แต่การพูดนั้นต้องพูดต่อเนื่องกันไปจนจบ เพราะฉะนั้นการพูดจึงยากมากในทัศนะของเขา
อย่างไรก็ดีถึงแม้คุณทินวัฒน์จะกล่าวว่าการพูดเป็นสิ่งที่ยากนั้น แต่เขาก็ยังสามารถพูดต่อที่สาธารณะชนได้อย่างประสบผลสำเร็จเสมอเนื่องจากเขาได้นำหลักการที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้มาประยุกต์ใช้ในการพูดในโอกาสต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และยังรู้จักการพูดที่สามารถทำให็ผู้ฟังนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีได้อีกด้วย
ดิฉันได้มีโอกาศอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งได้กล่าวถึงหลักการพูดไว้เป็นอย่างดี ซึ่งหนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า “ลูกเล่นลูกฮา มุมที่คนไม่มอง “ ซึ่งคุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เป็นผู้เขียนไว้ สาเหตุที่ดิฉันประทับใจในตัวคุณทินวัฒน์ก็คือ เขาเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้านมาก เพราะนอกจากเขาจะเป็นนักพูด นักบรรยาย นักบุกเบิกการพูดในที่ชุมชน นักฝึกอบรมที่มีลูกศิทษย์หลายหมื่นคนทั่วประเทศแล้วเขาก็ยังได้เป็นนักปาฐกถาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งด้วย นอกจากนี้เพราะความสามารถในกรพูดของเขายังผลักดันให้เขาเป็นนักการเมืองจนกลายเป็น “ดาวสภา” ที่แจ้งเกิดในการอภิปรายกรณี “ ถนนควายเดิน “ และครั้งล่าสุดยังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคพลังธรรมอีกด้วย และเนื่องจากความสามารถของคุณทินวัฒน์ที่มีมากมายหลายด้านนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ได้เริ่มต้นจากการพูดที่ดี ในหนังสือเล่มนี้คุณทินวัฒน์ก็ได้กล่าวถึงหลักการพูดไว้ว่า การเป็นนักพูดที่ดีได้นั้นจะต้องเริ่มจากการฝึกฝนและการที่เขาจะสามารถเป็นนักพูดที่ดี ผู้ฟังไม่รู้สึกเบื่อ และประสบผลสำเร็จได้อยู่เสมอนั้น เขาต้องอาศัยหลักการที่ใช้ประกอบในการพูดอยู่เสมอ ซึ่งมีอยู่ 2 หลักการใหญ่ ๆ คือ ประการแรก การพูดของเขาทุกครั้งจะต้องเป็นการพูดที่เป็นสาระและประโยชน์แก่ผู้ฟังในทุกแง่ทุกมุม เพื่อผู้พูดจะได้รู้สึกว่าการมาฟังเขาพุดนั้นไม่ได้เสียเปล่า แต่กลับได้แง่คิดและได้นำมุมมองใหม่ ๆ มาใช้ และปรับปรุงในชีวิตประจำวันได้ด้วย ดิฉันจะขอยกตัวอย่างมาหนึ่งเรื่องเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้เห็นภาพพจน์ชัดเจนขึ้นนะคะ ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คุณทินวัฒน์ได้พูดถึง “ ถนนสู่ความสำเร็จ “ และเขาก็ได้กล่าวถึงความสำเร็จของเรานั้น
เป็นเรื่องของการ เสาะหา ไม่ใช่เกิดมาเป็น
เป็นเรื่องของการฟันฝ่า ไม่ใช่ ฟลุค ฟลุค
เป็นเรื่องของการต่อสู้ ไม่ใช่นั่งดูดาวอยู่เฉย ๆ
เป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่อาศัยโชคช่วย
เป็นเรื่องของการฝึกฝน ไม่ใช่บุญหล่นทับ
เป็นเรื่องของความสามารถ ไม่ใช่วาสนา
เป็นเรื่องของพรแสวง ไม่ใช่พรสวรรค์
ซึ่งสิ่งที่เขากล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นแง่คิดให้ผู้ฟังได้ทั้งสิ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องพูดถึงเนื้อหาตลอดเวลา คุณทินวัฒน์ยังใช้อารมณ์ขันซึ่งเป็นความสามารถที่เขามีอยู่มาใช้ด้วยเพื่อไม่ให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อ ซึ่งถือว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวจริง ๆ นะคะ เพราะเขาเป็นนักพุดที่มีอารมณ์ขันที่ผสมกับวิชาการ มิใช่เรื่องโปกฮาที่ใคร ๆ ทำได้ทั่วไป นอกจากการพูดประการแรกแล้วยังมีหลักการพูดอีกอย่างหนึ่งที่คุณทินวัฒน์เลือกมาใช้ในการพูดเสมอเพื่อให้ผู้ฟังมีความเชื่อถือมากขึ้น คือ คุณทินวัฒน์ยังเห็นความสำคัญของการใช้คำถามและสามารถยกตัวอย่าง สำนวน ภาษา และคติสอนใจได้ดี อีกด้วย เพื่อให้ผู้ฟังจะได้มีส่วนร่วมในการคิดถาม มองเห็นสื่งที่เขาพูดได้ชัดเจนขึ้นและไม่รูสึกเบื่อเมื่อได้ฟังเป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งหลักการนี้สามารถใช้ได้และประสบผลสำเร็จในการพูดแทบจะทุกครั้งเพราะสำนวนที่เขายกมาแต่ละครั้งมักเป็นสำนวนที่ฟังไม่ยากและง่ายต่อการจดจำ เช่น “ คนไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นสู่เบ้องสูงไม่ได้ “ นั่นก็หมายถึงคนที่จะเป็นผู้นำหรือนักบริหารงานได้ดีนั้น จำเป็นต้องบริหารคนด้วย เป็นต้น นอกจากนี้หลักการพูดของคุณทินวัฒน์ยังให้ข้อคิดเตือนใจได้ดีอีกด้วย เช่น ได้พูดถึงบางคนที่รับราชการจนเกษียณอายุ ได้นำเงินบำเหน็จมาลงสมัคร ส.ส. เพราะโดนคนยุ ปรากฏว่าสอบตก และยังเป็นหนี้อีก จนทำให้ลูดหลานเดือดร้อน นี่ก็เป็นตัวอย่างที่คุณทินวัฒน์นำมาใช้สอนคนที่กำลังจะเกษียณอายุว่า ไม่ควรฟุ่มเฟือย ทะเยอทะยาน ควรอยู่แบบสงบมากกว่า
จากการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า คุณ ทินวัฒน์ ได้ใช้หลักการพูดให้ประสบผลสำเร็จ โดยใช้หลักการพูดที่ให้แง่คิดแก่ผู้ฟัง เพื่อจะได้ให้ผู้ฟังไม่รู้สึกเบื่อ และยังได้นำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตนได้ ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นหลักการที่ดีมากทีเดียวเลยนะคะ เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ฟังได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้รับประโยชน์อีกด้วย