2นักพูดที่ข้าพเจ้าประทับใจ
นักพูดที่ข้าพเจ้าประทับใจ
ในปัจจุบันนี้วงการพูดในเมืองไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่เรียกว่าเป็นยุคทองแห่งการพูดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นทั้งนักพูดที่เกิดขึ้นตามกันมาอย่างมากหรือแม้การเปิดแสดงเกี่ยวกับการพูดก็มีให้ดูอย่างไม่ขาดตา นักพูดที่น่าประทับใจมีหลายท่าน แต่สำหรับข้าพเจ้า สอนราม คือคนที่ข้าพเจ้าประทับใจท่านคือ อ.สุขุม นวลสกุล สอนรามตัวจริงเพราะท่านเป็น บุคลากรหรืออาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมากว่า ๑๐ ปีแล้วนั่นเอง
อ. สุขุม อาจเป็นนักพูดที่มีคนอื่นอีกมากมายมีความประทับใจในตัวของท่านอย่างเช่นข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าความประทับใจของข้าพเจ้าต้องไม่เหมือนคนอื่นๆอย่างแน่นอน การพูดที่น่าประทับใจของท่านที่ข้าพเจ้าสรุปออกมาเป้นหลักในการพูดที่ทำให้ท่านประสบความสำเร็จบนเส้นทางของการพูดได้นั้นมีอยู่ ๕ ข้อใหญ่ๆคือ
๑. คารมที่คมคายเกิดได้เพราะการฝึกฝน ถ้าใครเคยได้ฟังท่านพูดมาแล้วบ้างไม่ว่าจะจากสื่อใดๆก็ตาม จะพบว่าท่านเป็นคนที่มีคารมคมคายมาก ใช้ภาษาได้เชือดเฉือนและโดนใจ แต่เข้าใจง่ายเช่นในช่วงที่เมืองไทยเกิดวิกฤติทางการเมืองในเดือนพฤษภาปี ๒๕๓๗ ท่านได้พูดถึงเหตุการณ์นี้ไว้ได้อย่างน่าฟังว่า ในช่วงนั้นมีการขับไล่นายกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งลงทุนอดข้าวอดน้ำประท้วง เสี่ยงตายนำผู้คนเข้าปะทะกับกองกำลังของนายกคนที่ยอม เสียสัตย์เพื่อชาติ จนถูกจับเสียหลายวัน เมื่อได้ยินแล้วคนฟังก็รู้ได้ทันทีว่าพูดถึงใคร ท่านเชื่อว่าคนที่มีคารมที่ดีนั้นย่อมเป็นต่อในหลายๆเรื่อง ดังคำพังเพยที่ว่า คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง แล้วยิ่งความหล่อของคนไม่เหมือนคอนกรีตที่หล่อแล้วคงทนอยู่เลย แต่คนยิ่งอยู่ไปความหล่อยิ่งจางลงไปตามกาลเวลา หล่อใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม ผิดกับคารมหรือการพูดของคนยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ยิ่งวันดีคืนดีคล่องปากคล่องลิ้น คารมคมคายขึ้นยิ่งเปรียบเทียบได้ชัดว่า อะไรดีกว่ากันระหว่างรูปหล่อกับคารมดี ดังนั้นถ้าใครอยากมีคารมดีๆแล้วต้องฝึกฝนการพูดของตัวเองอยู่เสมอๆ
๒. การเตรียมตัวและการวางเนื้อหาของการพูด ก่อนที่จะพูดทุกครั้งท่านจะเตรียมตัว เสมอเพราะท่านเคยพูดไว้ว่า การพูดก็คือเราต้องพูดให้คนอื่นฟัง ถ้าจะมาถือสคริปท์แล้วอ่านด้วยสำเนียงพูดก็ตาม ก็ไม้เป็นธรรมชาติอยู่ดี แถมยังทำให้ขาดรสชาติในการฟังไปอีกด้วยและที่สำคัญจะทำให้ความเชื่อถือต่อตัวเราของผู้ฟังลดลงด้วย แต่การเตรียมตัวจะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนนั่นเอง ส่วนการวางเนื้อหาที่จะพูดในแต่ละครั้ง ต้องไม่มากหรือน้อยเกินไปเพราะถ้ามีเนื้อหามากเกินไปก็จะเหมือนกับการเรียนหนังสือมากกว่าการมาฟังการพูดหรือฟังบรรยายนั่นเอง และยิ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อหรือไม่ก็ง่วงนอนได้ แต่ถ้าเนื้อหาในการพูดน้อยเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะผู้ฟังก็จะรู้สึกภายหลังการบรรยายว่า เสียเวลาฟังอยู่ได้ตั้งนาน ไม่เห็นจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่เลยเสียเงินเปล่าๆ ดังนั้นถ้ารู้ว่าตัวเองต้องขึ้นพูดที่ใดก็ตามต้องมีการเตรียมตัวและวางแผนทุกครั้ง เพื่อกันการล่มของงาน และที่สำคัญกันตัวเองเสียหน้าด้วย
๓. ต้องมีตัวอย่างช่วยอ้างอิง ซึ่งตัวอย่างที่จะนำมาใช้ประกอบการพูดเพี่อให้ผู้ฟังเห็นภาพและเข้าใจง่ายขึ้นนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับลักษณะการพูดมากกว่าว่าจะเป็นการพูดในแบบใด เช่นถ้าเป็นการพูดที่เป็นทางการก็ควรใช้ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นตัวอย่างอ้างอิงประกอบ แต่ถ้าเป็นการพูดทั่วไปที่เน้นความสนุกสนานเฮฮา ก็อาจใช้ตัวอย่างที่เหนือจริงหรือแต่งขึ้นมาใช้ก็ได้ไม่เป็นไร เพราะการพูดแบบดังกล่าวขอให้มีเสียงหัวเราะตามมาเป็นอันใช้ได้ เพราะการพูดแบบหลังนี้เน้นที่ความสนุกสนานสะใจของผู้ฟังเป็นหลัก ถ้าตัวอย่างที่เป้นจริงไม่อาจตอบสนองจุดประสงค์ของความสนุกได้แล้วก็จำเป็นที่จะต้องใช้ตัวอย่างที่เกินจริง เพื่อให้เข้าถึงจุดประสงค์ของการพูดนั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าการพูดที่เป็นทางการจะใช้ตัวอย่างที่เกินจริงไม่ได้เลยแต่อาจใช้ได้ในบางโอกาสเช่น เมื่อต้องการสร้างบรรยากาศให้การพูดดูคึกคักขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ผู้ฟังตื่นจากความง่วงที่ต้องนั่งฟังการบรรยายที่นานแสนนานนั่นเอง ส่วนตัวอย่างที่นำมาใช้อาจเป็นเรื่องจริง ๑๐๐ % หรือไม่ก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม
และอาจแต่งเติมตัดทอนบ้างก็ได้ตามสมควร นอกจากนั้นอาจเป็นตัวอย่างที่คิดขึ้นเองหรือรับฟังมาจากคนอื่นอีกทีก็ได้ไม่เป็นการผิดอะไร
๔. ต้องมีการประเมินทั้งคนฟังและตัวเอง ทำอย่างไรถึงจะพูดเก่ง ถ้าจะถามว่านักพูดดังๆหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่อย่างในปัจจุบันนั้นเป็นเพราะพวกเขามีพรสวรรค์กันรึเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่ใช่แต่เป็นพรแสวงต่างหาก เพราะว่าไม่มีนักพูดคนใดพูดเก่งมาแต่เกิด กว่าที่พวกเขาจะมีวันนี้ได้การพูดในครั้งแรกๆก็มีคนฟังลุกหนีพวกเขาไปขณะที่พูดก็มี สิ่งที่ช่วยทำให้การพูดสามารถพัฒนาและปรับปรุงให้ดีขึ้นได้จนถึงขั้นพูดดีพูดเก่งนั้นคือ การรู้จัก การประเมิน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฟังหรือตัวเองในการพูดทุกครั้ง การรู้จักประเมินผู้ฟังคือ ต้องรู้ว่าผู้ฟังเป็นใคร มีตำแหน่งอะไร เป็นเพศใดมากกว่ากัน มีพื้นเพความรู้เป็นอย่างไร ฯลฯ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้อย่างละเอียดแต่ก็ให้ได้รู้ไว้บ้างก็ดีกว่าไม่รูอะไรเลย
ส่วนการประเมินตัวเองนั้น เราต้องรู้จักประเมินในสิ่งที่เราพูดออกไปทุกครั้งว่าเป็นอย่างไร เพราะไม่ใช่ว่าเมื่อเราพูดจบทุกอย่างก็จะจบตามไปด้วยแต่พึ่งเป็นการเริ่มต้นต่างหาก นั่นคือการเริ่มต้นบนเส้นทางการพูดของเราในครั้งต่อไปว่าจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นอีกเลย เราต้องรู้จักติดตามผลตอบรับจากผู้ฟังหรือฟิตแบ็กนั่นเอง ถ้าเราได้รับคำชมเชยกลับมาก็จงภูมิใจในความภาคภูมินั่นแต่อย่าเหลิง แต่ถ้าได้รับคำติก็อย่าท้อเพราะคำตินี่เองที่เราจะนำมันมาเป็นข้อคิดในการปรับปรุงตัวเองเพื่อพัฒนาการพูดในครั้งต่อๆไป
๕. ต้องมีคุณธรรมนักพูด คือต้องทำตามข้อปฏิบัติทั้ง ๕ ดังต่อไปนี้
-เตรียมการที่ดี ถ้ารู้ว่าต้องไปพูดที่ใดต้องไม่ประมาทต้องมีการทำการบ้าน ต้องเตรียมการพูด
ไม่ใช่ไปที่ไหนก็เอาไปแต่ปากเพียงอย่างเดียวลืมเอาสมองกับชีวิตชีวาไปด้วย และการเตรียมการก่อนไปพูดนี้ถือว่าเป็นการให้ เกียรติคนฟังด้วย
-ต้องมีความรับผิดชอบ คือถ้ารับปากว่าจะไปพูดในเรื่องใดแล้วต้องพูดให้ตรงเรื่องที่ได้รับปากไว้ จะพูดผิดเรื่องหรือออกนอกเรื่องไม่ได้ และที่สำคัญถ้ารับปากว่าจะไปพูดที่ใดแล้วห้ามเบี้ยวเด็ดขาด ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลไปนอนให้หมอหยอดน้ำเกลือแล้วล่ะก็ให้หอบสังขารไปพูดให้ผู้ฟังๆให้ได้ แต่ถ้าเบี้ยวเพราะว่ามีคนให้ค่าตอบแทนให้ไปพูดอีกงานหนึ่งมากกว่านั่นถือว่าเป็นเรื่องเสียมารยาทและขาดคุณธรรมอย่างรุนแรงที่สุดเลยทีเดียว
-ตอบสนองเต็มที่ คือเมื่อขึ้นไปยีนต่อหน้าผู้ฟังแล้วต้องแสดงให้เต็มที่ เตรียมอะไรมาอย่างไรต้องนำเสนอออกไปให้ดีอย่างนั้น ต้องนึก เสมอว่าผู้ฟังตั้งใจมาฟังเราๆจะทำให้เขาผิดหวังไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องร้ายๆมาจากที่ไหนก็ตามก่อนขึ้นพูดเราต้องทิ้งทุกอย่างไว้หลังเวทีเหมือนดังคำที่ว่า THE SHOW MUST GO ON.
-ต้องไม่บิดเบือน ต้องทั้งไม่พูดโกหกและต้องไม่พูดความจริงไม่หมด เพราะว่าการกระทำทั้งสองอย่างถือว่าเป็นการดูถูกคนฟัง และถ้าคนฟังจับได้ความน่าเชื่อถือของตัวผู้พูดที่มีต่อผู้ฟังก้จะลดลงไปด้วย
- ข้อคิดสร้างสรรค์ ต้องไม่ใช้คำที่หยาบคายหรือไม่สุภาพ เพราะเป็นทั้งการไม่ให้เกียรติคนฟังและตัวเองด้วย ต้องคิดเสมอว่าอาจมีคนฟังเลียนแบบพฤติกรรมของเราด้วยดังนั้นกิริยาท่าทางของเราที่แสดงออกไปต้องสำรวม และการพูดทุกครั้งไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ความเฮฮาเท่านั้นต้องมีสาระประโยชน์แฝงไปด้วย
และนี่คือข้อสรุปทั้งหมดของการพูดให้ประสบความสำเร็จของ อ.สุขุม ดูแล้วไม่ยากเกินไปสำหรับการนำไปปฏิบัติเลยถ้าใครๆลองทำดูในการพูดในครั้งต่ดๆไปรับรองได้ว่าการพูดจะต้องมีการพัฒนาขึ้นอย่างมากแน่นอน การพูดให้เก่งไม่ใช่เรื่องยากแต่เป็นเรื่องที่ต้องหมั่นฝึกฝน เพราะกว่าเราจะพูดคำๆแรกในชีวิตของเราได้นั้นต้องก็ต้องใช้เวลาไปไม่น้อยเหมือนกันกว่าจะทำสำเร็จ.
ในปัจจุบันนี้วงการพูดในเมืองไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่เรียกว่าเป็นยุคทองแห่งการพูดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นทั้งนักพูดที่เกิดขึ้นตามกันมาอย่างมากหรือแม้การเปิดแสดงเกี่ยวกับการพูดก็มีให้ดูอย่างไม่ขาดตา นักพูดที่น่าประทับใจมีหลายท่าน แต่สำหรับข้าพเจ้า สอนราม คือคนที่ข้าพเจ้าประทับใจท่านคือ อ.สุขุม นวลสกุล สอนรามตัวจริงเพราะท่านเป็น บุคลากรหรืออาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมากว่า ๑๐ ปีแล้วนั่นเอง
อ. สุขุม อาจเป็นนักพูดที่มีคนอื่นอีกมากมายมีความประทับใจในตัวของท่านอย่างเช่นข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าความประทับใจของข้าพเจ้าต้องไม่เหมือนคนอื่นๆอย่างแน่นอน การพูดที่น่าประทับใจของท่านที่ข้าพเจ้าสรุปออกมาเป้นหลักในการพูดที่ทำให้ท่านประสบความสำเร็จบนเส้นทางของการพูดได้นั้นมีอยู่ ๕ ข้อใหญ่ๆคือ
๑. คารมที่คมคายเกิดได้เพราะการฝึกฝน ถ้าใครเคยได้ฟังท่านพูดมาแล้วบ้างไม่ว่าจะจากสื่อใดๆก็ตาม จะพบว่าท่านเป็นคนที่มีคารมคมคายมาก ใช้ภาษาได้เชือดเฉือนและโดนใจ แต่เข้าใจง่ายเช่นในช่วงที่เมืองไทยเกิดวิกฤติทางการเมืองในเดือนพฤษภาปี ๒๕๓๗ ท่านได้พูดถึงเหตุการณ์นี้ไว้ได้อย่างน่าฟังว่า ในช่วงนั้นมีการขับไล่นายกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งลงทุนอดข้าวอดน้ำประท้วง เสี่ยงตายนำผู้คนเข้าปะทะกับกองกำลังของนายกคนที่ยอม เสียสัตย์เพื่อชาติ จนถูกจับเสียหลายวัน เมื่อได้ยินแล้วคนฟังก็รู้ได้ทันทีว่าพูดถึงใคร ท่านเชื่อว่าคนที่มีคารมที่ดีนั้นย่อมเป็นต่อในหลายๆเรื่อง ดังคำพังเพยที่ว่า คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง แล้วยิ่งความหล่อของคนไม่เหมือนคอนกรีตที่หล่อแล้วคงทนอยู่เลย แต่คนยิ่งอยู่ไปความหล่อยิ่งจางลงไปตามกาลเวลา หล่อใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม ผิดกับคารมหรือการพูดของคนยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ยิ่งวันดีคืนดีคล่องปากคล่องลิ้น คารมคมคายขึ้นยิ่งเปรียบเทียบได้ชัดว่า อะไรดีกว่ากันระหว่างรูปหล่อกับคารมดี ดังนั้นถ้าใครอยากมีคารมดีๆแล้วต้องฝึกฝนการพูดของตัวเองอยู่เสมอๆ
๒. การเตรียมตัวและการวางเนื้อหาของการพูด ก่อนที่จะพูดทุกครั้งท่านจะเตรียมตัว เสมอเพราะท่านเคยพูดไว้ว่า การพูดก็คือเราต้องพูดให้คนอื่นฟัง ถ้าจะมาถือสคริปท์แล้วอ่านด้วยสำเนียงพูดก็ตาม ก็ไม้เป็นธรรมชาติอยู่ดี แถมยังทำให้ขาดรสชาติในการฟังไปอีกด้วยและที่สำคัญจะทำให้ความเชื่อถือต่อตัวเราของผู้ฟังลดลงด้วย แต่การเตรียมตัวจะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนนั่นเอง ส่วนการวางเนื้อหาที่จะพูดในแต่ละครั้ง ต้องไม่มากหรือน้อยเกินไปเพราะถ้ามีเนื้อหามากเกินไปก็จะเหมือนกับการเรียนหนังสือมากกว่าการมาฟังการพูดหรือฟังบรรยายนั่นเอง และยิ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อหรือไม่ก็ง่วงนอนได้ แต่ถ้าเนื้อหาในการพูดน้อยเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะผู้ฟังก็จะรู้สึกภายหลังการบรรยายว่า เสียเวลาฟังอยู่ได้ตั้งนาน ไม่เห็นจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่เลยเสียเงินเปล่าๆ ดังนั้นถ้ารู้ว่าตัวเองต้องขึ้นพูดที่ใดก็ตามต้องมีการเตรียมตัวและวางแผนทุกครั้ง เพื่อกันการล่มของงาน และที่สำคัญกันตัวเองเสียหน้าด้วย
๓. ต้องมีตัวอย่างช่วยอ้างอิง ซึ่งตัวอย่างที่จะนำมาใช้ประกอบการพูดเพี่อให้ผู้ฟังเห็นภาพและเข้าใจง่ายขึ้นนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับลักษณะการพูดมากกว่าว่าจะเป็นการพูดในแบบใด เช่นถ้าเป็นการพูดที่เป็นทางการก็ควรใช้ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นตัวอย่างอ้างอิงประกอบ แต่ถ้าเป็นการพูดทั่วไปที่เน้นความสนุกสนานเฮฮา ก็อาจใช้ตัวอย่างที่เหนือจริงหรือแต่งขึ้นมาใช้ก็ได้ไม่เป็นไร เพราะการพูดแบบดังกล่าวขอให้มีเสียงหัวเราะตามมาเป็นอันใช้ได้ เพราะการพูดแบบหลังนี้เน้นที่ความสนุกสนานสะใจของผู้ฟังเป็นหลัก ถ้าตัวอย่างที่เป้นจริงไม่อาจตอบสนองจุดประสงค์ของความสนุกได้แล้วก็จำเป็นที่จะต้องใช้ตัวอย่างที่เกินจริง เพื่อให้เข้าถึงจุดประสงค์ของการพูดนั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าการพูดที่เป็นทางการจะใช้ตัวอย่างที่เกินจริงไม่ได้เลยแต่อาจใช้ได้ในบางโอกาสเช่น เมื่อต้องการสร้างบรรยากาศให้การพูดดูคึกคักขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ผู้ฟังตื่นจากความง่วงที่ต้องนั่งฟังการบรรยายที่นานแสนนานนั่นเอง ส่วนตัวอย่างที่นำมาใช้อาจเป็นเรื่องจริง ๑๐๐ % หรือไม่ก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม
และอาจแต่งเติมตัดทอนบ้างก็ได้ตามสมควร นอกจากนั้นอาจเป็นตัวอย่างที่คิดขึ้นเองหรือรับฟังมาจากคนอื่นอีกทีก็ได้ไม่เป็นการผิดอะไร
๔. ต้องมีการประเมินทั้งคนฟังและตัวเอง ทำอย่างไรถึงจะพูดเก่ง ถ้าจะถามว่านักพูดดังๆหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่อย่างในปัจจุบันนั้นเป็นเพราะพวกเขามีพรสวรรค์กันรึเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่ใช่แต่เป็นพรแสวงต่างหาก เพราะว่าไม่มีนักพูดคนใดพูดเก่งมาแต่เกิด กว่าที่พวกเขาจะมีวันนี้ได้การพูดในครั้งแรกๆก็มีคนฟังลุกหนีพวกเขาไปขณะที่พูดก็มี สิ่งที่ช่วยทำให้การพูดสามารถพัฒนาและปรับปรุงให้ดีขึ้นได้จนถึงขั้นพูดดีพูดเก่งนั้นคือ การรู้จัก การประเมิน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฟังหรือตัวเองในการพูดทุกครั้ง การรู้จักประเมินผู้ฟังคือ ต้องรู้ว่าผู้ฟังเป็นใคร มีตำแหน่งอะไร เป็นเพศใดมากกว่ากัน มีพื้นเพความรู้เป็นอย่างไร ฯลฯ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้อย่างละเอียดแต่ก็ให้ได้รู้ไว้บ้างก็ดีกว่าไม่รูอะไรเลย
ส่วนการประเมินตัวเองนั้น เราต้องรู้จักประเมินในสิ่งที่เราพูดออกไปทุกครั้งว่าเป็นอย่างไร เพราะไม่ใช่ว่าเมื่อเราพูดจบทุกอย่างก็จะจบตามไปด้วยแต่พึ่งเป็นการเริ่มต้นต่างหาก นั่นคือการเริ่มต้นบนเส้นทางการพูดของเราในครั้งต่อไปว่าจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นอีกเลย เราต้องรู้จักติดตามผลตอบรับจากผู้ฟังหรือฟิตแบ็กนั่นเอง ถ้าเราได้รับคำชมเชยกลับมาก็จงภูมิใจในความภาคภูมินั่นแต่อย่าเหลิง แต่ถ้าได้รับคำติก็อย่าท้อเพราะคำตินี่เองที่เราจะนำมันมาเป็นข้อคิดในการปรับปรุงตัวเองเพื่อพัฒนาการพูดในครั้งต่อๆไป
๕. ต้องมีคุณธรรมนักพูด คือต้องทำตามข้อปฏิบัติทั้ง ๕ ดังต่อไปนี้
-เตรียมการที่ดี ถ้ารู้ว่าต้องไปพูดที่ใดต้องไม่ประมาทต้องมีการทำการบ้าน ต้องเตรียมการพูด
ไม่ใช่ไปที่ไหนก็เอาไปแต่ปากเพียงอย่างเดียวลืมเอาสมองกับชีวิตชีวาไปด้วย และการเตรียมการก่อนไปพูดนี้ถือว่าเป็นการให้ เกียรติคนฟังด้วย
-ต้องมีความรับผิดชอบ คือถ้ารับปากว่าจะไปพูดในเรื่องใดแล้วต้องพูดให้ตรงเรื่องที่ได้รับปากไว้ จะพูดผิดเรื่องหรือออกนอกเรื่องไม่ได้ และที่สำคัญถ้ารับปากว่าจะไปพูดที่ใดแล้วห้ามเบี้ยวเด็ดขาด ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลไปนอนให้หมอหยอดน้ำเกลือแล้วล่ะก็ให้หอบสังขารไปพูดให้ผู้ฟังๆให้ได้ แต่ถ้าเบี้ยวเพราะว่ามีคนให้ค่าตอบแทนให้ไปพูดอีกงานหนึ่งมากกว่านั่นถือว่าเป็นเรื่องเสียมารยาทและขาดคุณธรรมอย่างรุนแรงที่สุดเลยทีเดียว
-ตอบสนองเต็มที่ คือเมื่อขึ้นไปยีนต่อหน้าผู้ฟังแล้วต้องแสดงให้เต็มที่ เตรียมอะไรมาอย่างไรต้องนำเสนอออกไปให้ดีอย่างนั้น ต้องนึก เสมอว่าผู้ฟังตั้งใจมาฟังเราๆจะทำให้เขาผิดหวังไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องร้ายๆมาจากที่ไหนก็ตามก่อนขึ้นพูดเราต้องทิ้งทุกอย่างไว้หลังเวทีเหมือนดังคำที่ว่า THE SHOW MUST GO ON.
-ต้องไม่บิดเบือน ต้องทั้งไม่พูดโกหกและต้องไม่พูดความจริงไม่หมด เพราะว่าการกระทำทั้งสองอย่างถือว่าเป็นการดูถูกคนฟัง และถ้าคนฟังจับได้ความน่าเชื่อถือของตัวผู้พูดที่มีต่อผู้ฟังก้จะลดลงไปด้วย
- ข้อคิดสร้างสรรค์ ต้องไม่ใช้คำที่หยาบคายหรือไม่สุภาพ เพราะเป็นทั้งการไม่ให้เกียรติคนฟังและตัวเองด้วย ต้องคิดเสมอว่าอาจมีคนฟังเลียนแบบพฤติกรรมของเราด้วยดังนั้นกิริยาท่าทางของเราที่แสดงออกไปต้องสำรวม และการพูดทุกครั้งไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ความเฮฮาเท่านั้นต้องมีสาระประโยชน์แฝงไปด้วย
และนี่คือข้อสรุปทั้งหมดของการพูดให้ประสบความสำเร็จของ อ.สุขุม ดูแล้วไม่ยากเกินไปสำหรับการนำไปปฏิบัติเลยถ้าใครๆลองทำดูในการพูดในครั้งต่ดๆไปรับรองได้ว่าการพูดจะต้องมีการพัฒนาขึ้นอย่างมากแน่นอน การพูดให้เก่งไม่ใช่เรื่องยากแต่เป็นเรื่องที่ต้องหมั่นฝึกฝน เพราะกว่าเราจะพูดคำๆแรกในชีวิตของเราได้นั้นต้องก็ต้องใช้เวลาไปไม่น้อยเหมือนกันกว่าจะทำสำเร็จ.