วิชาการพูด 25
ไตรภพ ลิมปพัทธ์ พิธีกรมืออาชีพชื่อนี้รับประกันคุณภาพ
หากจะต้องยกนิ้วขึ้นมาเพื่อลำดับพิธีกรที่ถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้า ก็คงจะได้ตัวเลขที่มากพอสมควร แต่ถ้าจะจัดให้เป็นมือหนึ่งของไทยจริง ๆ นั้น ก็คงจะมีไม่มากนัก ..คน ๆหนึ่งที่เหมาะสมจะได้รับตำแหน่งนี้จนไม่มีใครกล้าปฏิเสธ แต่กลับต้องยอมรับในความสามารถและฝีไม้ลายมือของเขาแทน .. เพราะ ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ชื่อนี้การันตีถึงคุณภาพระดับคับแก้วของเขาได้เป็นอย่างดี
ผู้ชายผู้ร่ำรวยความสามารถคนนี้ ได้กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ ของหนังสือ 10 วิธีสู่ความสำเร็จ ในตอนต้นว่า…
" ความจริงชีวิตของผมไม่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับใครได้เลยนะ เพราะเป็นชีวิตที่แทบจะเรียกได้ว่า มีราชรถมาเกยตลอด พอเรียนจบจากนิติศาสตร์ รามคำแหง ก็มีงานมารอเรียกตัวเลย ทำงานอยู่ดี ๆก็มีคนมาชวนไปเล่นเกม เล่นเกมเสร็จเขาก็ชวนผมไปเป็นพิธีกรอีก พอเป็นพิธีกรได้ซักพัก ก็มีคนมาชวนตั้งบริษัท ทำงานก็มีคนมาเสนอเวลาให้ตลอด "
จากคำบอกเล่าของเขา หากฟังอย่างผิวเผิน หลาย ๆคนคงจะคิดว่านั่นเป็นโชค แต่หากลองคิดให้ลึกสักนิด ก็จะทราบว่า ความสำเร็จที่เขาได้มาเป็นเจ้าของทั้งหมดนั้น เป็นเพราะเขามีอาวุธที่เรียกว่า " ความสามารถ " นั่นเอง สำหรับความสามารถในด้านการเป็นพิธีกรนั้น เขาจะมีเคล็ดลับส่วนตัวกี่ข้อและแตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างไรบ้าง ในการที่จะนำตนเองไปสู่ความสำเร็จ..ดิฉันว่าเราลองมาฟังอย่างตั้งใจกันดีกว่านะคะ
สิ่งที่จำเป็นต้องมี สำหรับ วิธีที่ 1 ก็คือ " ภาพลักษณ์ภายนอกที่ต้องดูดี "
ภาพลักษณ์นี้ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่จะเป็นพิธีกรได้ ต้องหล่อ -สวย เท่านั้น หากแต่ภาพลักษณ์ของพิธีกรที่ดีในความรู้สึกของเขาคือ ผู้ที่มีบุคลิกภาพดี ฉลาดคล่องแคล่ว รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง มีความรู้กว้างขวางรอบตัว เพราะอาชีพพิธีกรเป็นอาชีพที่ต้องพบกับผู้คนมากมายหลายสาขา ซึ่งล้วนแต่มีความแตกต่างกันไป และพิธีกรที่ดีจะต้องพูดคุยกับผู้ร่วมรายการได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เรื่องปกติที่พิธีกรต้องมี วิธีที่ 2 คือ " การออกเสียงให้ชัด "
การออกเสียงที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่พิธีกรทุกคนต้องมีอยู่ในตัวแล้ว แต่การออกเสียงที่คนส่วนใหญ่มักเป็นปัญหาก็คือ การออกเสียง " ร " หรือ "ล " สำหรับตัวเขาถือเป็นเรื่องโชคดี เพราะการออกเสียงพูดที่ชัดเจนเป็นลักษณะนิสัยของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องฝึกฝนอะไรมาก
วิธีที่ 3 คือ " ต้องเลือกดึงลิ้นชักที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ "
ในแต่ละรายการ จะมีพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการทีมีบุคลิกภาพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น ทไวไลท์โชว์ หรือรายการวาไรตี้ พิธีกรต้องมีความคล่องตัว และหลากหลาย แต่หากเป็นอย่างรายการ เฉียด พิธีกรอาจจะต้องตื่นเต้น หรือเครียดในบางครั้ง ดังนั้นในแต่ละรายการจึงมีความต้องการ ตัวพิธีกรทีมีบุคลิดแตกต่างกันไป ซึ่งคุณไตรภพ เชื่อว่า .. มนุษย์ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ มีบุคลิกที่หลากหลาย ทุกคนก้าวร้าวได้ เข้มแข็งได้ อ่อนนุ่มได้ พูดเก่งได้ พูดไม่เก่งได้ เพียงแต่ว่าคนไหนใช้อะไรบ่อย ๆก็จะกลายเป็นบุคลิก เช่น คนที่ไม่ค่อยพูดก็เป็นเพราะเขาใช้ความที่ไม่ค่อยพูดบ่อยไป แต่ถามว่าเขาพูดได้ไหม ต้องตอบว่าได้ แต่..เขาไม่ค่อยใช้ เปรียบเอาว่าในสมองของเราหรือในจิตใจของเรา มีลิ้นชักอยู่เป็นล้าน ๆลิ้นชัก ซึ่งเก็บแฟ้มต่าง ๆไว้ ไม่ว่าจะเป็นแฟ้มพูดเก่ง พูดไม่เก่ง ขี้แง กล้าหาญ ทุกคนมีเท่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครใช้ลิ้นชักไหนมากกว่ากัน เช่นเหมือนกับ ในเวลาที่คุณไตรภพทำงานพิธีกร เขาก็จะเปิดลิ้นชักต่าง ๆออกมาใช้ และเขายังคิดว่าใครก็สามารถทำงานพิธีกรได้ ไม่ว่าจะเป็นคนขายก๋วยเตี๋ยว ช่างแต่งหน้า ขอเพียงแต่เปิดลิ้นชักออกมาใช้เท่านั้นเอง
สิ่งที่ช่วยในการทำงานได้มาก วิธีที่ 4 คือ " ธรรมะ "
คุณไตรภพ เปรียบจิตมนุษย์เหมือนโลกที่หมุน เคลื่อนไหวสับสนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต่างกับจิตของพระอริยะอันสงบแล้ว ธรรมะจึงถูกนำมาใช้ในทุก ๆ ส่วนของชีวิต แม้แต่ในงานพิธีกร ธรรมะก็จะมีส่วนช่วยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสมาธิ ความเมตตา และความไม่โกรธในเวลาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ทำให้เราเปิดใจกว้างที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นได้โดยไม่โกรธ
สิ่งสำคัญที่พิธีกรที่ดีต้องมี วิธีที่ 5 นั่นก็คือ " จิตใจที่ดี "
เพราะจิตใจที่ดีจะทำให้เรามีความเป็นกลางสูง เวลาที่อีกฝ่ายพูดอะไรมาก็ไม่อิจฉาตาร้อน ไม่พูดขัดหูหรือหมันไส้เขา แต่จะรู้สึกส่งเสริมยินดีไปกับเขา ซึ่งนั่นจะทำให้..ทำงานง่ายขึ้น นอกจากนี้ ควรจะวางใจไว้ให้ดี ทำจิตใจให้เรียบ และคิดถึงคนแต่ในแง่ดี อย่าทำให้ผู้ที่มาร่วมในรายการรู้สึกว่าตนเองถูกเชิญมาฆ่า
สิ่งที่จะช่วยให้ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ วิธีที่ 6 คือ " ความตั้งใจ "
คุณไตรภพ เชื่อว่า ในการทำงานไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาบอกว่าดีหรือไม่ เพราะตนเองต้องรู้อยู่กับใจว่า งานที่ทำออกมานั้น ตนเองตั้งใจที่จะทำให้ออกมาดีแค่ไหน ดังนั้น รางวัลต่าง ๆ จึงไม่มีความสำคัญสำหรับเขามากเท่ากับ ..การที่ผลงานออกมาดีแล้วจนตนเองเกิดความรู้สึกพอใจ
วิธีที่ 7 " รวมความหมายของทุกหน้าที่ไว้กับคำว่า พิธีกร "
ในงานพิธีกรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเป็นนักแสดงอยู่ในตัวด้วย และต้องมีมากกว่าความเป็นนักแสดงเสียด้วยซ้ำ คือนอกจากเป็นนักแสดงแล้ว ยังต้องเป็นผู้กำกับ ผู้เขียนบท ตากล้อง คนตัดต่อ คนลงเสียง ซึ่งต้องเป็นหลายต่อหลายอย่างในคำว่าพิธีกร ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่ทำการสัมภาษณ์ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งลูกของเขาตาย ..เมื่อต้องถามว่าลูกของคุณเป็นอะไรตาย ช่วงนี้พิธีกรต้องรู้บทบาทของตัวเองว่าจะต้องทอดเสียงอย่างไร จะต้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาอย่างไร และเมื่ออีกฝ่ายตอบก็ต้องทราบอีกว่า ควรจะเว้นระยะห่างในการถามแค่ไหน เพื่อที่จะสามารถให้เหลือช่วงเวลา ที่จะต้องใส่เพลงประกอบเพื่อให้เกิดอารมณ์ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ว่ามุมกล้องเป็นอย่างไร และต้องมองกล้องไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเทคนิคเฉพาะตัวจริง ๆ
วิธีที่ 8 " ต้องมีอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์ที่ได้รับรู้จากผู้ร่วมรายการ "
ในการซักถาม หากว่าพิธีกรเอาแต่มุ่งถามให้ได้คำตอบอย่างที่ต้องการนั่น ย่อมไม่ใช่วิธีที่ดี เพราะในการซักถามนั้น มิได้เอาอารมณ์ออกมาร่วมด้วย พิธีกรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปหาผู้ร่วมรายการ และที่สำคัญก็คือ ต้องเข้าไปให้ถึงใจของเขาให้ได้ ซึ่งนั่นจะช่วยทำให้ผู้ชมได้รับรู้และเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริง ของผู้มาร่วมรายการ เพราะพิธีกรที่ดี ต้องสามารถสื่อทุกอย่างออกมาได้ ซึ่งหากทำไม่ได้ก็เท่ากับว่างานนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย
วิธีที่ 9 " ต้องรู้จักการับและการให้ "
ในการเชิญผู้ร่วมรายการมาออกรายการ สิ่งที่เราต้องการจากเขาคือ เรื่องราวของเขา แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องตั้งหน้าตั้งตาถามให้เขาตอบเราให้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน พิธีกรก็ต้องรู้จักที่จะเป็นผู้ให้ด้วย เช่น ในขณะที่ผู้เข้าร่วมรายการตอบคำถามเรา บางคำถามเขาอาจจะรู้สึกสะเทือนใจ พิธีกรต้องรับรู้ได้ถึงความรู้สึกตรงนั้น และเราสามารถช่วยเขาได้ อาจจะด้วยการตบหัวเข่าเบา ๆ พร้อมกับพูดปลอบใจเขาว่า สิ่งนั้นมันผ่านไปแล้ว และจะไม่มีวันกลับมาอีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆที่เราพิธีกรสามารถทำได้
วิธีที่ 10 " มีหัวใจที่รักในการทำงาน "
เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าจะทำงานสิ่งใด ๆ ผู้กระทำจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง มีความรักในการทำงานนั้น เพราะหากว่าการทำงานเป็นไปอย่างแห้งแล้ง ปราศจากหัวใจซึ่งรักที่จะทำ งานที่ทำออกมาก็จะดูเหมือนกับว่าไม่มีคุณค่าอะไรเลย ดังนั้นควรถามตัวเองให้ดีว่า อยากทำอาชีพพิธีกรเพราะรักหรือไม่ ถ้าใช่ก็หมายถึงงานที่ดี ที่จะมีตามมา แต่ถ้าไม่ใช่ ก็อย่าเป็นซะเลยดีกว่า..เสียเวลาเปล่า ๆ
หลักการทั้ง 10ข้อที่กล่าวไปแล้วนี้ ถือได้ว่าเป็นทัศนคติที่น่าสนใจของผู้ชายที่ชื่อ ไตรภพ ลิมปพัทธ์
จริง ๆ เพราะท่ามกลางการเคลื่อนไหวบนจอทีวี ทุกอารมณ์ที่เขาสื่อออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดจากความรักของเขา ด้วยความตั้งใจในการทำงานเพื่อให้ออกมาดีจนเป็นที่น่าพอใจ ก็เป็นการสมควรแล้วมิใช่หรือ ที่เขาจะได้รับคำว่า
" ความสำเร็จ " เป็นของขวัญให้กับตนเอง
หากจะต้องยกนิ้วขึ้นมาเพื่อลำดับพิธีกรที่ถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้า ก็คงจะได้ตัวเลขที่มากพอสมควร แต่ถ้าจะจัดให้เป็นมือหนึ่งของไทยจริง ๆ นั้น ก็คงจะมีไม่มากนัก ..คน ๆหนึ่งที่เหมาะสมจะได้รับตำแหน่งนี้จนไม่มีใครกล้าปฏิเสธ แต่กลับต้องยอมรับในความสามารถและฝีไม้ลายมือของเขาแทน .. เพราะ ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ชื่อนี้การันตีถึงคุณภาพระดับคับแก้วของเขาได้เป็นอย่างดี
ผู้ชายผู้ร่ำรวยความสามารถคนนี้ ได้กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ ของหนังสือ 10 วิธีสู่ความสำเร็จ ในตอนต้นว่า…
" ความจริงชีวิตของผมไม่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับใครได้เลยนะ เพราะเป็นชีวิตที่แทบจะเรียกได้ว่า มีราชรถมาเกยตลอด พอเรียนจบจากนิติศาสตร์ รามคำแหง ก็มีงานมารอเรียกตัวเลย ทำงานอยู่ดี ๆก็มีคนมาชวนไปเล่นเกม เล่นเกมเสร็จเขาก็ชวนผมไปเป็นพิธีกรอีก พอเป็นพิธีกรได้ซักพัก ก็มีคนมาชวนตั้งบริษัท ทำงานก็มีคนมาเสนอเวลาให้ตลอด "
จากคำบอกเล่าของเขา หากฟังอย่างผิวเผิน หลาย ๆคนคงจะคิดว่านั่นเป็นโชค แต่หากลองคิดให้ลึกสักนิด ก็จะทราบว่า ความสำเร็จที่เขาได้มาเป็นเจ้าของทั้งหมดนั้น เป็นเพราะเขามีอาวุธที่เรียกว่า " ความสามารถ " นั่นเอง สำหรับความสามารถในด้านการเป็นพิธีกรนั้น เขาจะมีเคล็ดลับส่วนตัวกี่ข้อและแตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างไรบ้าง ในการที่จะนำตนเองไปสู่ความสำเร็จ..ดิฉันว่าเราลองมาฟังอย่างตั้งใจกันดีกว่านะคะ
สิ่งที่จำเป็นต้องมี สำหรับ วิธีที่ 1 ก็คือ " ภาพลักษณ์ภายนอกที่ต้องดูดี "
ภาพลักษณ์นี้ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่จะเป็นพิธีกรได้ ต้องหล่อ -สวย เท่านั้น หากแต่ภาพลักษณ์ของพิธีกรที่ดีในความรู้สึกของเขาคือ ผู้ที่มีบุคลิกภาพดี ฉลาดคล่องแคล่ว รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง มีความรู้กว้างขวางรอบตัว เพราะอาชีพพิธีกรเป็นอาชีพที่ต้องพบกับผู้คนมากมายหลายสาขา ซึ่งล้วนแต่มีความแตกต่างกันไป และพิธีกรที่ดีจะต้องพูดคุยกับผู้ร่วมรายการได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เรื่องปกติที่พิธีกรต้องมี วิธีที่ 2 คือ " การออกเสียงให้ชัด "
การออกเสียงที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่พิธีกรทุกคนต้องมีอยู่ในตัวแล้ว แต่การออกเสียงที่คนส่วนใหญ่มักเป็นปัญหาก็คือ การออกเสียง " ร " หรือ "ล " สำหรับตัวเขาถือเป็นเรื่องโชคดี เพราะการออกเสียงพูดที่ชัดเจนเป็นลักษณะนิสัยของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องฝึกฝนอะไรมาก
วิธีที่ 3 คือ " ต้องเลือกดึงลิ้นชักที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ "
ในแต่ละรายการ จะมีพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการทีมีบุคลิกภาพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น ทไวไลท์โชว์ หรือรายการวาไรตี้ พิธีกรต้องมีความคล่องตัว และหลากหลาย แต่หากเป็นอย่างรายการ เฉียด พิธีกรอาจจะต้องตื่นเต้น หรือเครียดในบางครั้ง ดังนั้นในแต่ละรายการจึงมีความต้องการ ตัวพิธีกรทีมีบุคลิดแตกต่างกันไป ซึ่งคุณไตรภพ เชื่อว่า .. มนุษย์ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ มีบุคลิกที่หลากหลาย ทุกคนก้าวร้าวได้ เข้มแข็งได้ อ่อนนุ่มได้ พูดเก่งได้ พูดไม่เก่งได้ เพียงแต่ว่าคนไหนใช้อะไรบ่อย ๆก็จะกลายเป็นบุคลิก เช่น คนที่ไม่ค่อยพูดก็เป็นเพราะเขาใช้ความที่ไม่ค่อยพูดบ่อยไป แต่ถามว่าเขาพูดได้ไหม ต้องตอบว่าได้ แต่..เขาไม่ค่อยใช้ เปรียบเอาว่าในสมองของเราหรือในจิตใจของเรา มีลิ้นชักอยู่เป็นล้าน ๆลิ้นชัก ซึ่งเก็บแฟ้มต่าง ๆไว้ ไม่ว่าจะเป็นแฟ้มพูดเก่ง พูดไม่เก่ง ขี้แง กล้าหาญ ทุกคนมีเท่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครใช้ลิ้นชักไหนมากกว่ากัน เช่นเหมือนกับ ในเวลาที่คุณไตรภพทำงานพิธีกร เขาก็จะเปิดลิ้นชักต่าง ๆออกมาใช้ และเขายังคิดว่าใครก็สามารถทำงานพิธีกรได้ ไม่ว่าจะเป็นคนขายก๋วยเตี๋ยว ช่างแต่งหน้า ขอเพียงแต่เปิดลิ้นชักออกมาใช้เท่านั้นเอง
สิ่งที่ช่วยในการทำงานได้มาก วิธีที่ 4 คือ " ธรรมะ "
คุณไตรภพ เปรียบจิตมนุษย์เหมือนโลกที่หมุน เคลื่อนไหวสับสนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต่างกับจิตของพระอริยะอันสงบแล้ว ธรรมะจึงถูกนำมาใช้ในทุก ๆ ส่วนของชีวิต แม้แต่ในงานพิธีกร ธรรมะก็จะมีส่วนช่วยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสมาธิ ความเมตตา และความไม่โกรธในเวลาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ทำให้เราเปิดใจกว้างที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นได้โดยไม่โกรธ
สิ่งสำคัญที่พิธีกรที่ดีต้องมี วิธีที่ 5 นั่นก็คือ " จิตใจที่ดี "
เพราะจิตใจที่ดีจะทำให้เรามีความเป็นกลางสูง เวลาที่อีกฝ่ายพูดอะไรมาก็ไม่อิจฉาตาร้อน ไม่พูดขัดหูหรือหมันไส้เขา แต่จะรู้สึกส่งเสริมยินดีไปกับเขา ซึ่งนั่นจะทำให้..ทำงานง่ายขึ้น นอกจากนี้ ควรจะวางใจไว้ให้ดี ทำจิตใจให้เรียบ และคิดถึงคนแต่ในแง่ดี อย่าทำให้ผู้ที่มาร่วมในรายการรู้สึกว่าตนเองถูกเชิญมาฆ่า
สิ่งที่จะช่วยให้ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ วิธีที่ 6 คือ " ความตั้งใจ "
คุณไตรภพ เชื่อว่า ในการทำงานไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาบอกว่าดีหรือไม่ เพราะตนเองต้องรู้อยู่กับใจว่า งานที่ทำออกมานั้น ตนเองตั้งใจที่จะทำให้ออกมาดีแค่ไหน ดังนั้น รางวัลต่าง ๆ จึงไม่มีความสำคัญสำหรับเขามากเท่ากับ ..การที่ผลงานออกมาดีแล้วจนตนเองเกิดความรู้สึกพอใจ
วิธีที่ 7 " รวมความหมายของทุกหน้าที่ไว้กับคำว่า พิธีกร "
ในงานพิธีกรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเป็นนักแสดงอยู่ในตัวด้วย และต้องมีมากกว่าความเป็นนักแสดงเสียด้วยซ้ำ คือนอกจากเป็นนักแสดงแล้ว ยังต้องเป็นผู้กำกับ ผู้เขียนบท ตากล้อง คนตัดต่อ คนลงเสียง ซึ่งต้องเป็นหลายต่อหลายอย่างในคำว่าพิธีกร ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่ทำการสัมภาษณ์ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งลูกของเขาตาย ..เมื่อต้องถามว่าลูกของคุณเป็นอะไรตาย ช่วงนี้พิธีกรต้องรู้บทบาทของตัวเองว่าจะต้องทอดเสียงอย่างไร จะต้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาอย่างไร และเมื่ออีกฝ่ายตอบก็ต้องทราบอีกว่า ควรจะเว้นระยะห่างในการถามแค่ไหน เพื่อที่จะสามารถให้เหลือช่วงเวลา ที่จะต้องใส่เพลงประกอบเพื่อให้เกิดอารมณ์ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ว่ามุมกล้องเป็นอย่างไร และต้องมองกล้องไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเทคนิคเฉพาะตัวจริง ๆ
วิธีที่ 8 " ต้องมีอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์ที่ได้รับรู้จากผู้ร่วมรายการ "
ในการซักถาม หากว่าพิธีกรเอาแต่มุ่งถามให้ได้คำตอบอย่างที่ต้องการนั่น ย่อมไม่ใช่วิธีที่ดี เพราะในการซักถามนั้น มิได้เอาอารมณ์ออกมาร่วมด้วย พิธีกรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปหาผู้ร่วมรายการ และที่สำคัญก็คือ ต้องเข้าไปให้ถึงใจของเขาให้ได้ ซึ่งนั่นจะช่วยทำให้ผู้ชมได้รับรู้และเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริง ของผู้มาร่วมรายการ เพราะพิธีกรที่ดี ต้องสามารถสื่อทุกอย่างออกมาได้ ซึ่งหากทำไม่ได้ก็เท่ากับว่างานนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย
วิธีที่ 9 " ต้องรู้จักการับและการให้ "
ในการเชิญผู้ร่วมรายการมาออกรายการ สิ่งที่เราต้องการจากเขาคือ เรื่องราวของเขา แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องตั้งหน้าตั้งตาถามให้เขาตอบเราให้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน พิธีกรก็ต้องรู้จักที่จะเป็นผู้ให้ด้วย เช่น ในขณะที่ผู้เข้าร่วมรายการตอบคำถามเรา บางคำถามเขาอาจจะรู้สึกสะเทือนใจ พิธีกรต้องรับรู้ได้ถึงความรู้สึกตรงนั้น และเราสามารถช่วยเขาได้ อาจจะด้วยการตบหัวเข่าเบา ๆ พร้อมกับพูดปลอบใจเขาว่า สิ่งนั้นมันผ่านไปแล้ว และจะไม่มีวันกลับมาอีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆที่เราพิธีกรสามารถทำได้
วิธีที่ 10 " มีหัวใจที่รักในการทำงาน "
เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าจะทำงานสิ่งใด ๆ ผู้กระทำจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง มีความรักในการทำงานนั้น เพราะหากว่าการทำงานเป็นไปอย่างแห้งแล้ง ปราศจากหัวใจซึ่งรักที่จะทำ งานที่ทำออกมาก็จะดูเหมือนกับว่าไม่มีคุณค่าอะไรเลย ดังนั้นควรถามตัวเองให้ดีว่า อยากทำอาชีพพิธีกรเพราะรักหรือไม่ ถ้าใช่ก็หมายถึงงานที่ดี ที่จะมีตามมา แต่ถ้าไม่ใช่ ก็อย่าเป็นซะเลยดีกว่า..เสียเวลาเปล่า ๆ
หลักการทั้ง 10ข้อที่กล่าวไปแล้วนี้ ถือได้ว่าเป็นทัศนคติที่น่าสนใจของผู้ชายที่ชื่อ ไตรภพ ลิมปพัทธ์
จริง ๆ เพราะท่ามกลางการเคลื่อนไหวบนจอทีวี ทุกอารมณ์ที่เขาสื่อออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดจากความรักของเขา ด้วยความตั้งใจในการทำงานเพื่อให้ออกมาดีจนเป็นที่น่าพอใจ ก็เป็นการสมควรแล้วมิใช่หรือ ที่เขาจะได้รับคำว่า
" ความสำเร็จ " เป็นของขวัญให้กับตนเอง