วิชาการพูด 24
บทพูดเรื่อง “ พูดอย่างไรไม่ให้ประหม่า ”
ดิฉันเชื่อว่าหลายๆคนในห้องนี้คงจะเคยกลายเป็นเหยื่อแห่งความสะใจในสายตาและความรู้สึกในหมู่ผู้ฟัง ด้วยเหตุที่เกิดมาจากความประหม่าของตัวเอง ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในขณะที่พูดไปเลย และประโยคหรือคำพูดที่เรามักคุ้นหูกันเวลาที่เรากำลังฟังคนที่มีอาการประหม่าขึ้นพูดก็คือ “ คล้ายๆกับว่า…เอ้อ…” “ แบบว่า…” “ อะไรทำนองนี้” “ คือยังไงดีหล่ะ” คุ้นหูกันจริงๆเลยใช่ไหมคะ มันเป็นคำพูดที่แสดงถึงความไม่มั่นใจในการออกความเห็น หรือการอธิบายความเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความน่าเชื่อถือในคำพูดเหล่านี้จะน้อยลง เพราะเป็นการแสดงว่าคนพูดอาจไม่รู้จริง หรือพูดแบบครึ่งๆกลางๆไม่กล้าฟันธงอย่างตรงไปตรงมา
แต่แล้วเรื่องราวก็ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้นะซิคะ เพราะด้วยอิทธิพลของความประหม่านี่เองที่คอยผลักดันให้เราใช้คำพูดที่คนฟังคาดไม่ถึงหรือเกิดมีบุคลิกท่าทางที่ชวนสงสารหรือน่าสังเวชขึ้นมา แต่เชื่อเถอะค่ะว่า น้อยคนนักในหมู่ผู้ฟังที่จะเห็นใจคนพูดที่มีอาการประหม่า ส่วนใหญ่มักจะแสดงอาการ “ ได้ทีขี่แพะไล่ ” มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการแอบอมยิ้มเล็กๆ ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างขำขันในคำพูดที่ผิดพลาดของผู้พูด บ้างก็แสดงสีหน้าผะอืดผะอม หงุดหงิดอึดอัด และภาวนาในใจว่า “ เมื่อไหร่มันจะหยุดพูดและลงจากเวทีสักทีว้า…รำคาญเต็มทนแล้ว ” คนพูดก็เลยกลายเป็นตัวตลกไปโดยไม่รู้ตัว
ดิฉันมีตัวอย่างของคนพูดที่มีอาการประหม่าขึ้นมาในขณะที่ทำการพูดอยู่มาเล่าให้ฟังค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า “ ในการเปิดงานครั้งหนึ่ง ผู้กล่าวรายงานต่อประธานในพิธีได้พกเอาความประหม่างกๆ เงิ่นๆ ขึ้นไปด้วย ผลที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ แทนที่ผุ้กล่าวรายงานจะกล่าวเชิญประธานในพิธีว่า “บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลแล้ว กระผมขอกราบเรียนเชิญท่านประธานในพิธี ชักธงขึ้นสู่ยอดเสา” แต่แล้วผู้กล่าวรายงานคนนั้นกลับพูดว่า “บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลแล้ว กระผมใคร่ขอ
กราบเรียนเชิญท่านประธานในพิธีขึ้นสู่ยอดเสา” ประธานในพิธีถึงกับสะดุ้งเฮือก แขกผู้มีเกียรติงงเป็นไก่ตาแตก ผู้กล่าวรายงานเหงื่อแตกพลั่กหน้าซีดเลยทีเดียวหล่ะค่ะ และอีกหลายอาการที่มักจะเกิดกับผู้พูดที่ได้พกพาเอาความประหม่ามาเต็มกระเป๋านั่นก็คือ มีอาการสั่นสะท้าน หน้าซีดเซียว ยืนล้วงกระเป๋า แกะกระดุม แคะจมูก ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นกันอย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ยืนรูดซิบเล่นต่อหน้าผู้ฟังก็ยังมีเลยนะคะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เสียหายและน่าขายหน้าทั้งสิ้น
ถึงตรงนี้คงจะเกิดคำถามขึ้นในใจกันบ้างแล้วใช่ไหมคะว่า อะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น และจะมีวิธีกรใดบ้างที่จะแก้ไขไม่ให้เราเกิดอาการประหม่าเมื่อถึงคราวที่ต้องออกไปพูดในหมู่ชุมชน
เริ่มแรกเรามารับรู้สาเหตุสำคัญๆที่ทำให้คนพูดเกิดความประหม่า มีความวิตกกังวลก่อความวุ่นวายใจในขณะที่พูดที่พอจะสรุปได้ดังนี้ คือ ตื่นเวที หนีผู้ฟัง ระวังตัวแจ วอแววุ่นวาย เนื้อหาเตรียมน้อย
ข้อแรก ตื่นเวที เป็นความกลัวที่ต้องยืนพูดต่อหน้าคนอื่น ตัวเองต้องเป็นเป้านิ่งให้คนฟังมองและปะทะกับความรู้สึกที่ผู้ฟังสาดส่งขึ้นมา หรือแม้แต่ความไม่คุ้นเคยกับการพูดที่ต้องใช้ไมโครโฟนก็ทำให้เกิดอาการตื่นเวทีได้
ข้อสอง หนีผู้ฟัง เป็นอาการเกรงกลัวผู้ฟัง คิดว่าผู้ฟังมีความรู้เหนือกว่า ผู้พูดกลัวผู้ฟังจะไม่ประทับใจ เกิดความรู้สึก “ ถอยหนีไม่กล้าสู้ ”
ข้อสาม ระวังตัวแจ เป็นอาการเกร็งไม่กล้าใช้ท่าทาง กลัวจะไม่เหมาะไม่ควร ผลที่สุดความเป็นธรรมชาติในการพูดก็ลดลง ผู้ฟังรู้สึกอึดอัด ดังนั้น ผู้พูดที่มีอาการเซ็ง หน้าซีด มือไม้สั่น ก็เพราะสาเหตุข้อนี้
ข้อสี่ วอแว วุ่นวาย เป็นสภาพบรรยากาศของการพูดการฟังที่ไม่สงบเรียบร้อย เช่น สถานที่พูดร้อนอบอ้าวเกินไป เสียงอึกทึกครึกโครม ผู้ฟังคุยกันจ็อกแจ็กจอแจ หยอกล้อ อ่านหนังสือพิมพ์ นั่งกันระเกะระกะ ล้วนแล้วแต่ให้ผู้พูดลดความเชื่อมั่น เพิ่มความประหม่าทั้งสิ้น
ข้อสุดท้าย เนื้อหาเตรียมน้อย เป็นลักษณะของผู้พูดที่เตรียมตัวไม่พร้อมและเกิดความวิตกกังวลตั้งแต่ก่อนขึ้นเวทีแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อพบกับสถานการณ์บนเวที ก็ยิ่งทำให้เกิดความประหม่ามากยิ่งขึ้น
พอเรารู้แล้วว่าสาเหตุของความประหม่าเกิดมาจากอะไร ต่อไปเรามารู้ถึงเคล็ดลับจากนักพูดคนหนึ่งที่อาจจะไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ข้อคิดดีๆที่จะได้จากนักพูดคนนี้มีประโยชน์มากเลยทีเดียวนะคะ เขาคนนั้นคือ “ การุณ กูใหญ่ ” ซึ่งได้แนะนำวิธีการพิชิตความประหม่าได้เป็นอย่างดี โดยมียุทธวิธี 4ก ก็คือ ป้องกัน - แก้ไข - กล้าสู้ - กระตือรือร้น โดยมีแนวทางง่ายๆ ดังนี้
เริ่มจาก 1. เตรียมตัวดี นับแต่การแต่งกายที่สมบุคลิก เหมาะกับผู้ฟังและโอกาส มีรูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน ไม่ขัดกับความรู้สึกของผู้ฟังที่ได้พบเห็น ตั้งแต่วินาทีแรกๆ ซึ่งเป็นการทำลายความสนใจของผู้ฟังอย่างน่าเสียดาย
2. 2. มี “เสบียงกรัง ” โดยการเตรียมเนื้อหาการพูดให้พร้อมตั้งแต่ข้อมูลที่ถูกต้องถ้อย
ภาษาที่กระชับ ตัวอย่างที่กลมกลืนและขั้นตอนการพูดที่ชัดเจน
3. วิเคราะห์ผู้ฟัง โดยผู้พูดควรจะต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ฟังได้ดีที่สุดก่อนขึ้นเวที ทั้งในด้านอายุ เพศ ระดับการศึกษา จำนวน ความสนใจ ความเชื่อ และความชอบไม่ชอบของผู้ฟัง รวมทั้งความรู้สึก ความศรัทธาที่ผู้ฟังมีต่อผู้พูดด้วยจะดีมาก เพราะจะทำให้ผู้พูดสามารถเตรียมแนวการพูดและบุคลิกท่าทีของตนให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ฟัง
นอกจากนั้น ในขณะที่พูด ก็จะต้องวิเคราะห์บรรยากาศการฟังด้วยว่า ผู้ฟังมีระดับความสนใจขนาดไหน ผู้ฟังเบื่อหน่ายหรือไม่ หากผู้ฟังหมดความสนใจ มีอาการ “เซ็ง” เกิดขึ้น จะได้ใช้ปฏิภาณไหวพริบแก้ปัญหาทันที
4. 4. สร้างความเบิกบานในหัวใจ คือ สร้างความรู้สึกกล้าหาญ ความกระตือรือร้นให้เกิดขึ้นในใจตั้งแต่ก่อนขึ้นเวที โดยพยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมรอบตัวให้โน้มน้าวนำใจตนเองในทางที่ดี เช่น คบเพื่อนที่เข้มแข็ง กล้าหาญ อ่านหนังสือที่ให้กำลังใจ กล้าต่อสู้ รู้จักร้องเพลงที่ให้ความสุขในจิตใจ จัดบ้านช่องห้องนอนให้สะอาดสวยงาม เป็นต้น บรรยากาศรอบตัวเช่นนี้ จะชักจูงใจให้เกิดความกล้าหาญเบิกบาน มีบุคลิกที่สดชื่น กระปรี้กระเปร่าเป็นที่สนใจของผู้ฟัง
5. “ ไม่เป็นไร ” เสียบ้าง ขณะที่พูดหากพบผู้ฟังหลับบ้าง นั่งคุยกันบ้าง หรือมีทีท่าไม่สนใจอยู่บ้าง “จงอย่าให้สภาพของผู้ฟังเช่นนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจของท่าน จงบอกกับตัวเองว่า -ไม่เป็นไร- แล้วจงเบนความสนใจไปสู้ผู้ฟังที่ดี” ทำได้เช่นนี้ความวิตกกังวล ความประหม่าจะไม่เกิดขึ้น แต่จะคงความเชื่อมั่นและความกระตือรือร้นต่อไป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับเคล็ดลับดีๆในการพิชิตความประหม่า ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกน่าเชื่อถือ พอใจในบุคลิกท่าที และมีความประทับใจในการพูดอย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นวิธีที่ยากเย็นแสนเข็นเลยใช่ไหมคะ และดิฉันเชื่อว่า ถ้าใครที่สามารถปฏิบัติได้ครบทั้ง 5 ข้อ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คนนั้นก็จะไม่เป็นผู้ที่มีความประหม่าในขณะที่พูดและสามารถก้าวขึ้นไปสู่การเป็นนักพูดที่ดีได้สมกับความตั้งใจที่ได้คิดไว้อย่างแน่นอน อย่าลืมนำเคล็ดลับต่างๆเหล่านี้ไปฝึกปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอนะคะ อย่าเพียงแค่ศึกษาแต่วิธีการ แล้วไม่ลองปฏิบัติ เพราะ “ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการได้ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ”
“ พูดทั้งที ต้องให้มี ความเชื่อมั่น
อย่ามัวสั่น หวั่นผวา น่าสงสาร
จงเตรียมกาย เตรียมใจ ให้เบิกบาน
ความกล้าหาญ บันดาลให้ พูดได้ดี ”
ดิฉันเชื่อว่าหลายๆคนในห้องนี้คงจะเคยกลายเป็นเหยื่อแห่งความสะใจในสายตาและความรู้สึกในหมู่ผู้ฟัง ด้วยเหตุที่เกิดมาจากความประหม่าของตัวเอง ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในขณะที่พูดไปเลย และประโยคหรือคำพูดที่เรามักคุ้นหูกันเวลาที่เรากำลังฟังคนที่มีอาการประหม่าขึ้นพูดก็คือ “ คล้ายๆกับว่า…เอ้อ…” “ แบบว่า…” “ อะไรทำนองนี้” “ คือยังไงดีหล่ะ” คุ้นหูกันจริงๆเลยใช่ไหมคะ มันเป็นคำพูดที่แสดงถึงความไม่มั่นใจในการออกความเห็น หรือการอธิบายความเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความน่าเชื่อถือในคำพูดเหล่านี้จะน้อยลง เพราะเป็นการแสดงว่าคนพูดอาจไม่รู้จริง หรือพูดแบบครึ่งๆกลางๆไม่กล้าฟันธงอย่างตรงไปตรงมา
แต่แล้วเรื่องราวก็ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้นะซิคะ เพราะด้วยอิทธิพลของความประหม่านี่เองที่คอยผลักดันให้เราใช้คำพูดที่คนฟังคาดไม่ถึงหรือเกิดมีบุคลิกท่าทางที่ชวนสงสารหรือน่าสังเวชขึ้นมา แต่เชื่อเถอะค่ะว่า น้อยคนนักในหมู่ผู้ฟังที่จะเห็นใจคนพูดที่มีอาการประหม่า ส่วนใหญ่มักจะแสดงอาการ “ ได้ทีขี่แพะไล่ ” มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการแอบอมยิ้มเล็กๆ ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างขำขันในคำพูดที่ผิดพลาดของผู้พูด บ้างก็แสดงสีหน้าผะอืดผะอม หงุดหงิดอึดอัด และภาวนาในใจว่า “ เมื่อไหร่มันจะหยุดพูดและลงจากเวทีสักทีว้า…รำคาญเต็มทนแล้ว ” คนพูดก็เลยกลายเป็นตัวตลกไปโดยไม่รู้ตัว
ดิฉันมีตัวอย่างของคนพูดที่มีอาการประหม่าขึ้นมาในขณะที่ทำการพูดอยู่มาเล่าให้ฟังค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า “ ในการเปิดงานครั้งหนึ่ง ผู้กล่าวรายงานต่อประธานในพิธีได้พกเอาความประหม่างกๆ เงิ่นๆ ขึ้นไปด้วย ผลที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ แทนที่ผุ้กล่าวรายงานจะกล่าวเชิญประธานในพิธีว่า “บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลแล้ว กระผมขอกราบเรียนเชิญท่านประธานในพิธี ชักธงขึ้นสู่ยอดเสา” แต่แล้วผู้กล่าวรายงานคนนั้นกลับพูดว่า “บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลแล้ว กระผมใคร่ขอ
กราบเรียนเชิญท่านประธานในพิธีขึ้นสู่ยอดเสา” ประธานในพิธีถึงกับสะดุ้งเฮือก แขกผู้มีเกียรติงงเป็นไก่ตาแตก ผู้กล่าวรายงานเหงื่อแตกพลั่กหน้าซีดเลยทีเดียวหล่ะค่ะ และอีกหลายอาการที่มักจะเกิดกับผู้พูดที่ได้พกพาเอาความประหม่ามาเต็มกระเป๋านั่นก็คือ มีอาการสั่นสะท้าน หน้าซีดเซียว ยืนล้วงกระเป๋า แกะกระดุม แคะจมูก ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นกันอย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ยืนรูดซิบเล่นต่อหน้าผู้ฟังก็ยังมีเลยนะคะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เสียหายและน่าขายหน้าทั้งสิ้น
ถึงตรงนี้คงจะเกิดคำถามขึ้นในใจกันบ้างแล้วใช่ไหมคะว่า อะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น และจะมีวิธีกรใดบ้างที่จะแก้ไขไม่ให้เราเกิดอาการประหม่าเมื่อถึงคราวที่ต้องออกไปพูดในหมู่ชุมชน
เริ่มแรกเรามารับรู้สาเหตุสำคัญๆที่ทำให้คนพูดเกิดความประหม่า มีความวิตกกังวลก่อความวุ่นวายใจในขณะที่พูดที่พอจะสรุปได้ดังนี้ คือ ตื่นเวที หนีผู้ฟัง ระวังตัวแจ วอแววุ่นวาย เนื้อหาเตรียมน้อย
ข้อแรก ตื่นเวที เป็นความกลัวที่ต้องยืนพูดต่อหน้าคนอื่น ตัวเองต้องเป็นเป้านิ่งให้คนฟังมองและปะทะกับความรู้สึกที่ผู้ฟังสาดส่งขึ้นมา หรือแม้แต่ความไม่คุ้นเคยกับการพูดที่ต้องใช้ไมโครโฟนก็ทำให้เกิดอาการตื่นเวทีได้
ข้อสอง หนีผู้ฟัง เป็นอาการเกรงกลัวผู้ฟัง คิดว่าผู้ฟังมีความรู้เหนือกว่า ผู้พูดกลัวผู้ฟังจะไม่ประทับใจ เกิดความรู้สึก “ ถอยหนีไม่กล้าสู้ ”
ข้อสาม ระวังตัวแจ เป็นอาการเกร็งไม่กล้าใช้ท่าทาง กลัวจะไม่เหมาะไม่ควร ผลที่สุดความเป็นธรรมชาติในการพูดก็ลดลง ผู้ฟังรู้สึกอึดอัด ดังนั้น ผู้พูดที่มีอาการเซ็ง หน้าซีด มือไม้สั่น ก็เพราะสาเหตุข้อนี้
ข้อสี่ วอแว วุ่นวาย เป็นสภาพบรรยากาศของการพูดการฟังที่ไม่สงบเรียบร้อย เช่น สถานที่พูดร้อนอบอ้าวเกินไป เสียงอึกทึกครึกโครม ผู้ฟังคุยกันจ็อกแจ็กจอแจ หยอกล้อ อ่านหนังสือพิมพ์ นั่งกันระเกะระกะ ล้วนแล้วแต่ให้ผู้พูดลดความเชื่อมั่น เพิ่มความประหม่าทั้งสิ้น
ข้อสุดท้าย เนื้อหาเตรียมน้อย เป็นลักษณะของผู้พูดที่เตรียมตัวไม่พร้อมและเกิดความวิตกกังวลตั้งแต่ก่อนขึ้นเวทีแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อพบกับสถานการณ์บนเวที ก็ยิ่งทำให้เกิดความประหม่ามากยิ่งขึ้น
พอเรารู้แล้วว่าสาเหตุของความประหม่าเกิดมาจากอะไร ต่อไปเรามารู้ถึงเคล็ดลับจากนักพูดคนหนึ่งที่อาจจะไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ข้อคิดดีๆที่จะได้จากนักพูดคนนี้มีประโยชน์มากเลยทีเดียวนะคะ เขาคนนั้นคือ “ การุณ กูใหญ่ ” ซึ่งได้แนะนำวิธีการพิชิตความประหม่าได้เป็นอย่างดี โดยมียุทธวิธี 4ก ก็คือ ป้องกัน - แก้ไข - กล้าสู้ - กระตือรือร้น โดยมีแนวทางง่ายๆ ดังนี้
เริ่มจาก 1. เตรียมตัวดี นับแต่การแต่งกายที่สมบุคลิก เหมาะกับผู้ฟังและโอกาส มีรูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน ไม่ขัดกับความรู้สึกของผู้ฟังที่ได้พบเห็น ตั้งแต่วินาทีแรกๆ ซึ่งเป็นการทำลายความสนใจของผู้ฟังอย่างน่าเสียดาย
2. 2. มี “เสบียงกรัง ” โดยการเตรียมเนื้อหาการพูดให้พร้อมตั้งแต่ข้อมูลที่ถูกต้องถ้อย
ภาษาที่กระชับ ตัวอย่างที่กลมกลืนและขั้นตอนการพูดที่ชัดเจน
3. วิเคราะห์ผู้ฟัง โดยผู้พูดควรจะต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ฟังได้ดีที่สุดก่อนขึ้นเวที ทั้งในด้านอายุ เพศ ระดับการศึกษา จำนวน ความสนใจ ความเชื่อ และความชอบไม่ชอบของผู้ฟัง รวมทั้งความรู้สึก ความศรัทธาที่ผู้ฟังมีต่อผู้พูดด้วยจะดีมาก เพราะจะทำให้ผู้พูดสามารถเตรียมแนวการพูดและบุคลิกท่าทีของตนให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ฟัง
นอกจากนั้น ในขณะที่พูด ก็จะต้องวิเคราะห์บรรยากาศการฟังด้วยว่า ผู้ฟังมีระดับความสนใจขนาดไหน ผู้ฟังเบื่อหน่ายหรือไม่ หากผู้ฟังหมดความสนใจ มีอาการ “เซ็ง” เกิดขึ้น จะได้ใช้ปฏิภาณไหวพริบแก้ปัญหาทันที
4. 4. สร้างความเบิกบานในหัวใจ คือ สร้างความรู้สึกกล้าหาญ ความกระตือรือร้นให้เกิดขึ้นในใจตั้งแต่ก่อนขึ้นเวที โดยพยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมรอบตัวให้โน้มน้าวนำใจตนเองในทางที่ดี เช่น คบเพื่อนที่เข้มแข็ง กล้าหาญ อ่านหนังสือที่ให้กำลังใจ กล้าต่อสู้ รู้จักร้องเพลงที่ให้ความสุขในจิตใจ จัดบ้านช่องห้องนอนให้สะอาดสวยงาม เป็นต้น บรรยากาศรอบตัวเช่นนี้ จะชักจูงใจให้เกิดความกล้าหาญเบิกบาน มีบุคลิกที่สดชื่น กระปรี้กระเปร่าเป็นที่สนใจของผู้ฟัง
5. “ ไม่เป็นไร ” เสียบ้าง ขณะที่พูดหากพบผู้ฟังหลับบ้าง นั่งคุยกันบ้าง หรือมีทีท่าไม่สนใจอยู่บ้าง “จงอย่าให้สภาพของผู้ฟังเช่นนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจของท่าน จงบอกกับตัวเองว่า -ไม่เป็นไร- แล้วจงเบนความสนใจไปสู้ผู้ฟังที่ดี” ทำได้เช่นนี้ความวิตกกังวล ความประหม่าจะไม่เกิดขึ้น แต่จะคงความเชื่อมั่นและความกระตือรือร้นต่อไป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับเคล็ดลับดีๆในการพิชิตความประหม่า ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกน่าเชื่อถือ พอใจในบุคลิกท่าที และมีความประทับใจในการพูดอย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นวิธีที่ยากเย็นแสนเข็นเลยใช่ไหมคะ และดิฉันเชื่อว่า ถ้าใครที่สามารถปฏิบัติได้ครบทั้ง 5 ข้อ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คนนั้นก็จะไม่เป็นผู้ที่มีความประหม่าในขณะที่พูดและสามารถก้าวขึ้นไปสู่การเป็นนักพูดที่ดีได้สมกับความตั้งใจที่ได้คิดไว้อย่างแน่นอน อย่าลืมนำเคล็ดลับต่างๆเหล่านี้ไปฝึกปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอนะคะ อย่าเพียงแค่ศึกษาแต่วิธีการ แล้วไม่ลองปฏิบัติ เพราะ “ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการได้ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ”
“ พูดทั้งที ต้องให้มี ความเชื่อมั่น
อย่ามัวสั่น หวั่นผวา น่าสงสาร
จงเตรียมกาย เตรียมใจ ให้เบิกบาน
ความกล้าหาญ บันดาลให้ พูดได้ดี ”