วิชาการพูด 15
บันได เจ็ดขั้นกับความสำเร็จของการพูด
เราทุกคนเกิดมาพร้อมด้วยเสียงที่มีลักษณะที่คล้ายกัน เป็นเสียงร้องที่ไร้ซึ่งความหมายที่ใครอีกหลายคนไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่แฝงและซ่อนเร้นอยู่ในเสียงนั้น หากแต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เป็นธรรมดาที่มนุษย์ย่อมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวตามธรรมชาติ วัยวุฒิ และสภาพสังคม จากเสียงที่ไร้ความหมายกลับกลายเป็นเสียงที่สามารถสื่ออะไรได้หลาย ๆ อย่างและสามารถทำให้มนุษย์คนนั้นอยู่ในสังคมได้ ใช่ครับ กระผมกำลังจะบอกว่าสิ่งที่สามารถทำให้เราเข้าถึงจุดมุ่งหมายและสามารถเข้าถึงปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้นั้นเราต้องอาศัยการพูดเป็นสำคัญ
กระผมเชื่อว่า เราหลายคนต่างเคยพูดให้ใครต่อใครฟังมาแล้วมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนหรอกครับที่จะสามารถพูดแล้วมีคนนิยมชมชอบ พูดแล้วมีคนศรัทธา และพูดแล้วมีคนประทับใจ แต่เราสามารถที่จะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้นได้หากแต่เพียงเราสามารถที่จะทราบถึงหลักการพูดและทดลองเอาหลักนั้นไปใช้กับตนเอง
หลักง่าย ๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้นั้น นิพนธ์ ศศิธร ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ บันไดตั้งมั่นอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพื้นฐานรองรับฉันใด การพูดจะก้าวหน้าไปด้วยดีไม่ได้ถ้าไม่มีพื้นฐานการเตรียมตัวที่มั่นคงฉันนั้น ” นี่เป็นประโยคสั้น ๆ ที่แฝงด้วยความหมายที่ลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริงที่ว่า หากเราจะเป็นนักพูดที่ดีได้นั้นพื้นฐานการพูดในแต่ละครั้งถือเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะพาเราประสบความสำเร็จ
ดังนั้นก่อนที่เราจะเริ่มก้าวสู่บันไดขั้นที่ หนึ่ง เราควรที่จะปูพื้นฐานให้มั่นคงเสียก่อนและฐานความมั่นคงนั้นก็คือ พื้นฐานการเตรียมการพูด ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ นั่นก็คือ
ส่วนแรก คือ ส่วนของผู้ฟัง… เป็นที่แน่นอนว่าผู้ฟังถือว่ามีส่วนที่สำคัญสำหรับการพูดในแต่ละครั้ง การพูดต้องพูดให้คนฟัง คงไม่มีใครหรอกนะครับที่พูดให้ควายฟังหรือพูดกับลม ดังนั้นเมื่อมีคนฟัง ก็ต้องพิจารณาเกี่ยวกับตัวผู้ฟังโดย
ดูอายุ คู่กับเพศ ดูขอบเขต การศึกษา
ดูอาชีพ ดูวิชา ดูทีท่า ในเรื่องราว
ดูจำนวน มีมากน้อย จงค่อยค่อย ดูคร่าวคร่าว
ให้เหมาะสม กับเรื่องราว ที่จะเล่าให้เขาฟัง
ส่วนที่สอง คือ ส่วนของสถานที่ โอกาส และเวลาสำหรับการพูด… คงเป็นไปไม่ได้นะครับ หากเราจะพูดโดยที่เราไม่รู้ว่าการพูดนั้นเป็นการพูดเนื่องในโอกาสอะไร ? ณ สถานที่ใด ? มีรายการอื่น ๆ มาประกอบอีกหรือไม่ ? และที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ไม่รู้ว่าเวลาที่ต้องพูดนานเท่าใด ? ดังนั้นเราจะต้อง
ทราบโอกาส ทราบสถานที่ ทราบประเพณี ที่มีค่า
ทราบเรื่องราว ทราบเวลา และทราบว่า พูดเมื่อใด
ส่วนที่สาม คือ ส่วนของการกำหนดจุดมุ่งหมายของการพูดให้แน่นอน… ในการพูดแต่ละครั้งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดความมุ่งหมาย ว่าต้องการจะให้ข่าวสารหรือรายละเอียด ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น หรือต้องการให้ความบันเทิงความสนุกสนาน รวมไปถึงมุ่งหมายที่จะชักจูงให้ผู้ฟังเห็นพ้อง และเกิดความประทับใจหรือกระทำตาม
เมื่อเราได้ยืนอยู่บนฐานบันไดอย่างมั่นคงแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าเราจะต้องรู้แนวทางที่จะก้าวต่อไป และต่อไปนี้กระผมจะพาทุกคน เริ่ม “ ไต่เต้า ” ไปตามบันไดขั้นต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การเป็นนักพูดที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
บันไดนั้นมีอยู่ถึงเจ็ดขั้น หากขยันตั้งใจไม่เกินฝัน
จงก้าวตามขึ้นมาอย่างเร็วพลัน เพื่อผลอันเป็นประโยชน์เกิดกับตน
ขั้นที่หนึ่ง รวมเนื้อหาที่จะพูด ขั้นที่สองจัดเรื่องพูดให้เกิดผล
ขั้นที่สามขยายความตามไกกล ขั้นที่สี่มีบันดลถึงบทนำ
ขั้นที่ห้า การเตรียมบทปิดท้าย ขั้นที่หก ซ้อมให้หายความถลำ
ขั้นที่เจ็ด แสดงการพูดอย่างผู้นำ หากได้ทำความสำเร็จเกิดแน่นอน
บันไดขั้นที่หนึ่ง รวมเนื้อหาที่จะพูด นั่นก็คือ การรวบรวมเนื้อหาที่เราจะพูด โดยการคิดก่อนว่า ในเรื่องที่จะพูดนั้นมีอะไรบ้างที่เราทราบ และมีเรื่องไหนที่เรายังไม่ทราบ เพื่อที่จะได้สามารถค้นคว้าหาข้อมูลต่อไป
นอกจากนี้อาจจะเป็นการรวบรวมข้อมูลจากการสังเกตการณ์ คือต้องสามารถแยกหาข้อดีข้อเด่นของสิ่งที่เราได้สังเกตนั้นออกมาให้ได้ ไม่เพียงแค่เท่านี้ การรวบรวมเนื้อหาจากการติดต่อกับคนอื่นก็เป็นสิ่งที่ดี อาจจะเป็นในรูปของการสนทนา การสัมภาษณ์ หรือการติดต่อทางจดหมาย และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยหากเราต้องการเนื้อหาที่มาก นักพูดที่ดีต้องเป็นนักอ่านที่ดีด้วย คือ ต้องอ่านให้มากและเจาะลึกในส่วนของเนื้อหาที่ตนจะพูดในแต่ละครั้ง
บันไดขั้นที่สอง จัดเรื่องพูดให้เกิดผล นั่นก็คือ การจัดระเบียบเรื่อง ซึ่งสามารถทำได้โดยการเขียนโครงเรื่อง เพื่อที่จะสามารถเป็นหลักในการพูดได้อย่างแม่นยำ นอกจากนั้นยังสามารถที่จะแทรกเนื้อหาที่เราคิดว่าเหมาะสมเข้าไปได้อีกด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้การจัดระเบียบเรื่องบังเกิดผลดีได้ นั่นก็คือ การเรียงตามลำดับใจความสำคัญ เช่น เรียงตามลำดับ เรียงตามลำดับสถานที่ เรียงตามลำดับเรื่อง เรียงแบบเสนอแนวทางแก้ไข เรียงแบบแสดงเหตุและผล เรียงแบบเสนอเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งแบบต่าง ๆ นี้สามารถที่จะเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งหรือ หลาย ๆ แบบผสมกันไปก็ได้
บันไดขั้นที่สาม ขยายความตามกลไก นั่นก็คือ การหาข้อความอื่น ๆ มาประกอบหรือขยายความออกไป ซึ่งเราสามารถที่จะใช้แบบของการขยายความได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการยกอุทาหรณ์หรือตัวอย่าง, การใช้สถิติ, การเปรียบเทียบหรืออุปมา, การอ้างอิงคำพูดหรือคำกล่าวของผู้อื่น ที่มีน้ำหนักในเรื่องนั้น ๆ การกล่าวซ้ำหรือย้ำโดยเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ การอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่าง, และการใช้เหตุผลก็ได้ แต่หากต้องการที่จะเพิ่มความสนใจ และดึงดูดให้คนฟัง ติดตามผลการพูดของเรามากขึ้นนั้น การใช้ทัศนูปกรณ์ประกอบก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว
บันไดขั้นที่สี่ มีบันดลถึงบทนำ นั่นก็คือ การเตรียมอารัมภบทหรือบทนำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนที่สามารถเรียกร้องให้เกิดความสนใจ และทำให้ผู้ฟังอยากติดตามมากที่สุด โดยอาจจะเป็นการ เน้นถึงความสำคัญของเรื่องที่พูด, ใช้เรื่องหรือคำพูดที่ขำขัน ในส่วนนี้นั้นอย่าให้ผู้ฟังมองว่าผู้พูดเป็นตัวตลกมากเกินไป, ยกอุทาหรณ์ที่ตรงกับเรื่อง, เริ่มต้นด้วยข้อความหรือคำพูดที่ก่อให้เกิดความตื่นเต้น ซึ้งใจ ไพเราะ, เริ่มต้นด้วยการตั้งปัญหาที่เร้าใจ, เริ่มโดยการกล่าวถึงโอกาสหรือความมุ่งหมายที่มาชุมนุมกัน หรืออาจจะเป็นการสรรเสริญยกย่องผู้ฟัง
แต่การอารัมภบทหรือบทนำนั้นสิ่งที่ผู้พูดไม่ควรทำนั่นก็คือ
“ ออกตัวว่าไม่พร้อม ออกนอกเรื่องที่รู้ ดูแคลนกลุ่มคนดู ไม่รู้และวกวน “
บันไดขั้นที่ห้า การเตรียมบทปิดท้าย นั่นก็คือ การเตรียมบทสรุป เพื่อที่จะย้ำใหม่ให้ผู้ฟังเข้าใจชัดเจน อย่างย่อ ๆ โดยอาจจะกล่าวถึงข้อใหญ่ ใจความของเรื่องทั้งหมด อาจจะเป็นการเรียงลำดับหัวข้อความคิดที่กล่าวมาแล้ว, การอธิบายทบทวน, หรืออาจจะเป็นการยกเอาสุภาษิต คำคมมาเป็นส่วนสรุปก็ได้
สำหรับข้อที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการสรุปนั่นก็คือ
“ ขอโทษว่าทำไม่ดี วันนี้เตรียมตัวไม่พอ นอกเรื่องเยิ่นเย้อเกิดก่อ ไม่พอแนะแนวคิดใหม่ “
บันไดขั้นที่หก ซ้อมให้หายถลำ นั่นก็คือ การซักซ้อมการพูด บันไดขั้นนี้มีความสำคัญมากเพราะ หากเราได้ก้าวมาถึงห้าขั้นแล้ว แต่ขาดการซักซ้อมเราก็จะไม่สามารถที่จะไปให้ถึงบันไดขั้นสุดท้ายได้ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความไม่ประหม่า จำเนื้อเรื่องได้แม่นและมีท่าทางอย่างธรรมชาติ เราก็ต้องมีการซ้อมเป็นอย่างดี โดยต้องรู้ว่า จะซ้อมที่ไหน ? ซ้อมเมื่อไหร่ ? ซ้อมอย่างไร ? ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในเรื่องของ การกำหนดการพูด, น้ำเสียง, ท่วงท่า, และการปรับปรุงถ้อยคำให้สละสลวย
บันไดขั้นที่เจ็ด แสดงการพูดอย่างผู้นำ นั่นก็คือ การแสดงการพูด ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดที่เราทุกคนต่างใฝ่ฝันให้มาถึงบันไดขั้นนี้ให้ได้ เมื่อเราสามารถที่จะมาถึงบันไดขั้นนี้แล้ว เราก็ควรใช้บันไดขั้นนี้ แสดงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อพูดก็ควรพูดด้วยความมั่นใจ ทุกจังหวะ ทุกลีลา ต้องเชื่อมั่น และแสดงสิ่งที่ตนได้ซักซ้อมและเตรียมตัวมาอย่างดีที่สุด
“ พูดเกิดภาพพจน์ จำจดแจ่มแจ้ง เชื่อมั่นไม่ระแวง แสดงจากใจ สุภาพอ่อนโยน โอนอ่อนเรื่อยไป ให้คนวางใจ ในท่วงท่าทาง หน้าตาผ่อนคลาย ไม่หม่นหมองหมาง เคลื่อนไหวถูกทาง กระจ่างผู้ฟัง มีมารยาท ตลกบางครั้ง อย่าบ่อยพลาดพลั้ง ตั้งความหวังแก่ตน “
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งหาก เราได้ก้าวไปยืนต่อหน้าคนหลายคน เพื่อพูดให้พวกเขาได้ฟัง
ถึงตอนนี้ เราก็ได้ก้าวขึ้นมาถึงบันไดขั้นที่เจ็ดแล้วนะครับ แต่นี่เป็นเพียงในภาคทฤษฎีเท่านั้น แต่กระผมเชื่อว่าหากเราทุกคนสามารถที่จะนำเอาหลัก ของบันไดทั้งเจ็ดขั้นไปปฏิบัติใช้ เมื่อเรามีโอกาสได้พูด เมื่อนั้นเราทุกคนจะต้องเป็นผู้ที่นำธงแห่งชัยชนะและความสำเร็จไปปักไว้ บนบันไดขั้นสุดท้าย เหมือนอย่างที่ นิล อาร์ม สตรอง ได้นำเอาธงชาติของสหรัฐอเมริกาไปปักไว้บนดวงจันทร์ แน่นอนครับ….
เราทุกคนเกิดมาพร้อมด้วยเสียงที่มีลักษณะที่คล้ายกัน เป็นเสียงร้องที่ไร้ซึ่งความหมายที่ใครอีกหลายคนไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่แฝงและซ่อนเร้นอยู่ในเสียงนั้น หากแต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เป็นธรรมดาที่มนุษย์ย่อมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวตามธรรมชาติ วัยวุฒิ และสภาพสังคม จากเสียงที่ไร้ความหมายกลับกลายเป็นเสียงที่สามารถสื่ออะไรได้หลาย ๆ อย่างและสามารถทำให้มนุษย์คนนั้นอยู่ในสังคมได้ ใช่ครับ กระผมกำลังจะบอกว่าสิ่งที่สามารถทำให้เราเข้าถึงจุดมุ่งหมายและสามารถเข้าถึงปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้นั้นเราต้องอาศัยการพูดเป็นสำคัญ
กระผมเชื่อว่า เราหลายคนต่างเคยพูดให้ใครต่อใครฟังมาแล้วมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนหรอกครับที่จะสามารถพูดแล้วมีคนนิยมชมชอบ พูดแล้วมีคนศรัทธา และพูดแล้วมีคนประทับใจ แต่เราสามารถที่จะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้นได้หากแต่เพียงเราสามารถที่จะทราบถึงหลักการพูดและทดลองเอาหลักนั้นไปใช้กับตนเอง
หลักง่าย ๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้นั้น นิพนธ์ ศศิธร ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ บันไดตั้งมั่นอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพื้นฐานรองรับฉันใด การพูดจะก้าวหน้าไปด้วยดีไม่ได้ถ้าไม่มีพื้นฐานการเตรียมตัวที่มั่นคงฉันนั้น ” นี่เป็นประโยคสั้น ๆ ที่แฝงด้วยความหมายที่ลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริงที่ว่า หากเราจะเป็นนักพูดที่ดีได้นั้นพื้นฐานการพูดในแต่ละครั้งถือเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะพาเราประสบความสำเร็จ
ดังนั้นก่อนที่เราจะเริ่มก้าวสู่บันไดขั้นที่ หนึ่ง เราควรที่จะปูพื้นฐานให้มั่นคงเสียก่อนและฐานความมั่นคงนั้นก็คือ พื้นฐานการเตรียมการพูด ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ นั่นก็คือ
ส่วนแรก คือ ส่วนของผู้ฟัง… เป็นที่แน่นอนว่าผู้ฟังถือว่ามีส่วนที่สำคัญสำหรับการพูดในแต่ละครั้ง การพูดต้องพูดให้คนฟัง คงไม่มีใครหรอกนะครับที่พูดให้ควายฟังหรือพูดกับลม ดังนั้นเมื่อมีคนฟัง ก็ต้องพิจารณาเกี่ยวกับตัวผู้ฟังโดย
ดูอายุ คู่กับเพศ ดูขอบเขต การศึกษา
ดูอาชีพ ดูวิชา ดูทีท่า ในเรื่องราว
ดูจำนวน มีมากน้อย จงค่อยค่อย ดูคร่าวคร่าว
ให้เหมาะสม กับเรื่องราว ที่จะเล่าให้เขาฟัง
ส่วนที่สอง คือ ส่วนของสถานที่ โอกาส และเวลาสำหรับการพูด… คงเป็นไปไม่ได้นะครับ หากเราจะพูดโดยที่เราไม่รู้ว่าการพูดนั้นเป็นการพูดเนื่องในโอกาสอะไร ? ณ สถานที่ใด ? มีรายการอื่น ๆ มาประกอบอีกหรือไม่ ? และที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ไม่รู้ว่าเวลาที่ต้องพูดนานเท่าใด ? ดังนั้นเราจะต้อง
ทราบโอกาส ทราบสถานที่ ทราบประเพณี ที่มีค่า
ทราบเรื่องราว ทราบเวลา และทราบว่า พูดเมื่อใด
ส่วนที่สาม คือ ส่วนของการกำหนดจุดมุ่งหมายของการพูดให้แน่นอน… ในการพูดแต่ละครั้งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดความมุ่งหมาย ว่าต้องการจะให้ข่าวสารหรือรายละเอียด ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น หรือต้องการให้ความบันเทิงความสนุกสนาน รวมไปถึงมุ่งหมายที่จะชักจูงให้ผู้ฟังเห็นพ้อง และเกิดความประทับใจหรือกระทำตาม
เมื่อเราได้ยืนอยู่บนฐานบันไดอย่างมั่นคงแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าเราจะต้องรู้แนวทางที่จะก้าวต่อไป และต่อไปนี้กระผมจะพาทุกคน เริ่ม “ ไต่เต้า ” ไปตามบันไดขั้นต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การเป็นนักพูดที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
บันไดนั้นมีอยู่ถึงเจ็ดขั้น หากขยันตั้งใจไม่เกินฝัน
จงก้าวตามขึ้นมาอย่างเร็วพลัน เพื่อผลอันเป็นประโยชน์เกิดกับตน
ขั้นที่หนึ่ง รวมเนื้อหาที่จะพูด ขั้นที่สองจัดเรื่องพูดให้เกิดผล
ขั้นที่สามขยายความตามไกกล ขั้นที่สี่มีบันดลถึงบทนำ
ขั้นที่ห้า การเตรียมบทปิดท้าย ขั้นที่หก ซ้อมให้หายความถลำ
ขั้นที่เจ็ด แสดงการพูดอย่างผู้นำ หากได้ทำความสำเร็จเกิดแน่นอน
บันไดขั้นที่หนึ่ง รวมเนื้อหาที่จะพูด นั่นก็คือ การรวบรวมเนื้อหาที่เราจะพูด โดยการคิดก่อนว่า ในเรื่องที่จะพูดนั้นมีอะไรบ้างที่เราทราบ และมีเรื่องไหนที่เรายังไม่ทราบ เพื่อที่จะได้สามารถค้นคว้าหาข้อมูลต่อไป
นอกจากนี้อาจจะเป็นการรวบรวมข้อมูลจากการสังเกตการณ์ คือต้องสามารถแยกหาข้อดีข้อเด่นของสิ่งที่เราได้สังเกตนั้นออกมาให้ได้ ไม่เพียงแค่เท่านี้ การรวบรวมเนื้อหาจากการติดต่อกับคนอื่นก็เป็นสิ่งที่ดี อาจจะเป็นในรูปของการสนทนา การสัมภาษณ์ หรือการติดต่อทางจดหมาย และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยหากเราต้องการเนื้อหาที่มาก นักพูดที่ดีต้องเป็นนักอ่านที่ดีด้วย คือ ต้องอ่านให้มากและเจาะลึกในส่วนของเนื้อหาที่ตนจะพูดในแต่ละครั้ง
บันไดขั้นที่สอง จัดเรื่องพูดให้เกิดผล นั่นก็คือ การจัดระเบียบเรื่อง ซึ่งสามารถทำได้โดยการเขียนโครงเรื่อง เพื่อที่จะสามารถเป็นหลักในการพูดได้อย่างแม่นยำ นอกจากนั้นยังสามารถที่จะแทรกเนื้อหาที่เราคิดว่าเหมาะสมเข้าไปได้อีกด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้การจัดระเบียบเรื่องบังเกิดผลดีได้ นั่นก็คือ การเรียงตามลำดับใจความสำคัญ เช่น เรียงตามลำดับ เรียงตามลำดับสถานที่ เรียงตามลำดับเรื่อง เรียงแบบเสนอแนวทางแก้ไข เรียงแบบแสดงเหตุและผล เรียงแบบเสนอเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งแบบต่าง ๆ นี้สามารถที่จะเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งหรือ หลาย ๆ แบบผสมกันไปก็ได้
บันไดขั้นที่สาม ขยายความตามกลไก นั่นก็คือ การหาข้อความอื่น ๆ มาประกอบหรือขยายความออกไป ซึ่งเราสามารถที่จะใช้แบบของการขยายความได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการยกอุทาหรณ์หรือตัวอย่าง, การใช้สถิติ, การเปรียบเทียบหรืออุปมา, การอ้างอิงคำพูดหรือคำกล่าวของผู้อื่น ที่มีน้ำหนักในเรื่องนั้น ๆ การกล่าวซ้ำหรือย้ำโดยเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ การอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่าง, และการใช้เหตุผลก็ได้ แต่หากต้องการที่จะเพิ่มความสนใจ และดึงดูดให้คนฟัง ติดตามผลการพูดของเรามากขึ้นนั้น การใช้ทัศนูปกรณ์ประกอบก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว
บันไดขั้นที่สี่ มีบันดลถึงบทนำ นั่นก็คือ การเตรียมอารัมภบทหรือบทนำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนที่สามารถเรียกร้องให้เกิดความสนใจ และทำให้ผู้ฟังอยากติดตามมากที่สุด โดยอาจจะเป็นการ เน้นถึงความสำคัญของเรื่องที่พูด, ใช้เรื่องหรือคำพูดที่ขำขัน ในส่วนนี้นั้นอย่าให้ผู้ฟังมองว่าผู้พูดเป็นตัวตลกมากเกินไป, ยกอุทาหรณ์ที่ตรงกับเรื่อง, เริ่มต้นด้วยข้อความหรือคำพูดที่ก่อให้เกิดความตื่นเต้น ซึ้งใจ ไพเราะ, เริ่มต้นด้วยการตั้งปัญหาที่เร้าใจ, เริ่มโดยการกล่าวถึงโอกาสหรือความมุ่งหมายที่มาชุมนุมกัน หรืออาจจะเป็นการสรรเสริญยกย่องผู้ฟัง
แต่การอารัมภบทหรือบทนำนั้นสิ่งที่ผู้พูดไม่ควรทำนั่นก็คือ
“ ออกตัวว่าไม่พร้อม ออกนอกเรื่องที่รู้ ดูแคลนกลุ่มคนดู ไม่รู้และวกวน “
บันไดขั้นที่ห้า การเตรียมบทปิดท้าย นั่นก็คือ การเตรียมบทสรุป เพื่อที่จะย้ำใหม่ให้ผู้ฟังเข้าใจชัดเจน อย่างย่อ ๆ โดยอาจจะกล่าวถึงข้อใหญ่ ใจความของเรื่องทั้งหมด อาจจะเป็นการเรียงลำดับหัวข้อความคิดที่กล่าวมาแล้ว, การอธิบายทบทวน, หรืออาจจะเป็นการยกเอาสุภาษิต คำคมมาเป็นส่วนสรุปก็ได้
สำหรับข้อที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการสรุปนั่นก็คือ
“ ขอโทษว่าทำไม่ดี วันนี้เตรียมตัวไม่พอ นอกเรื่องเยิ่นเย้อเกิดก่อ ไม่พอแนะแนวคิดใหม่ “
บันไดขั้นที่หก ซ้อมให้หายถลำ นั่นก็คือ การซักซ้อมการพูด บันไดขั้นนี้มีความสำคัญมากเพราะ หากเราได้ก้าวมาถึงห้าขั้นแล้ว แต่ขาดการซักซ้อมเราก็จะไม่สามารถที่จะไปให้ถึงบันไดขั้นสุดท้ายได้ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความไม่ประหม่า จำเนื้อเรื่องได้แม่นและมีท่าทางอย่างธรรมชาติ เราก็ต้องมีการซ้อมเป็นอย่างดี โดยต้องรู้ว่า จะซ้อมที่ไหน ? ซ้อมเมื่อไหร่ ? ซ้อมอย่างไร ? ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในเรื่องของ การกำหนดการพูด, น้ำเสียง, ท่วงท่า, และการปรับปรุงถ้อยคำให้สละสลวย
บันไดขั้นที่เจ็ด แสดงการพูดอย่างผู้นำ นั่นก็คือ การแสดงการพูด ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดที่เราทุกคนต่างใฝ่ฝันให้มาถึงบันไดขั้นนี้ให้ได้ เมื่อเราสามารถที่จะมาถึงบันไดขั้นนี้แล้ว เราก็ควรใช้บันไดขั้นนี้ แสดงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อพูดก็ควรพูดด้วยความมั่นใจ ทุกจังหวะ ทุกลีลา ต้องเชื่อมั่น และแสดงสิ่งที่ตนได้ซักซ้อมและเตรียมตัวมาอย่างดีที่สุด
“ พูดเกิดภาพพจน์ จำจดแจ่มแจ้ง เชื่อมั่นไม่ระแวง แสดงจากใจ สุภาพอ่อนโยน โอนอ่อนเรื่อยไป ให้คนวางใจ ในท่วงท่าทาง หน้าตาผ่อนคลาย ไม่หม่นหมองหมาง เคลื่อนไหวถูกทาง กระจ่างผู้ฟัง มีมารยาท ตลกบางครั้ง อย่าบ่อยพลาดพลั้ง ตั้งความหวังแก่ตน “
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งหาก เราได้ก้าวไปยืนต่อหน้าคนหลายคน เพื่อพูดให้พวกเขาได้ฟัง
ถึงตอนนี้ เราก็ได้ก้าวขึ้นมาถึงบันไดขั้นที่เจ็ดแล้วนะครับ แต่นี่เป็นเพียงในภาคทฤษฎีเท่านั้น แต่กระผมเชื่อว่าหากเราทุกคนสามารถที่จะนำเอาหลัก ของบันไดทั้งเจ็ดขั้นไปปฏิบัติใช้ เมื่อเรามีโอกาสได้พูด เมื่อนั้นเราทุกคนจะต้องเป็นผู้ที่นำธงแห่งชัยชนะและความสำเร็จไปปักไว้ บนบันไดขั้นสุดท้าย เหมือนอย่างที่ นิล อาร์ม สตรอง ได้นำเอาธงชาติของสหรัฐอเมริกาไปปักไว้บนดวงจันทร์ แน่นอนครับ….