วิชาการพูด 07
พูดอย่างไรให้ไปถึงดวงดาว
หลายต่อหลายคนต้องการที่จะเป็นนักพูดที่ดีให้ได้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ง่ายๆเลย ต้องอาศัยระยะเวลาการฝึกฝน การสั่งสมประสบการณ์ รวมไปถึงต้องเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวาง ยิ่งอ่านมาก ยิ่งรู้มาก เพราะการที่เราจะพูดอะไรออกไปนั้น มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ว่าได้ คนเราจะได้ดี หรือตกต่ำก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของเรานี่แหละคะ ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันว่าจะอยากจะเป็นคนที่พูดเป็น ไม่ถึงกับต้องไปขึ้นเวทีประกวดกับเค้าหรอกคะ ขอแค่พูดกับเพื่อนหรือนำไปใช้ได้กับชีวิตประจำวันและอนาคตเวลาสมัครงานก็ถือว่าดีมากแล้ว ดิฉันก็ได้เจอกันหนังสือเล่มหนึ่งของ ดร. จามจุรี ผดุงชีวิต ( อาร์ต ) ซึ่งอาจารย์ ยังเป็นหญิงสาวสวย บุคลิกดีคนหนึ่ง และหนังสือของอาจารย์สามารถทำให้คนที่พูดไม่เป็นสามารถกลายเป็นคนพูดเป็นด้วยเทคนิคและกลวิธีการเป็นนักพูดอย่างง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอน เพื่อนอยากรู้แล้วใช่ไหมล่ะคะ ว่าขั้นตอนเหล่านั้นมีอะไรบ้าง
ขั้นตอนง่าย เพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้นคะที่จะทำให้เราไปถึงดวงดาว ได้ดังที่ใจเราปรารถนา ได้แก่
1. ภาษาพูด
2. ภาษากาย
3. ภาษาใจ
สามขั้นตอนนี้ถือเป็นหัวใจของการเป็นนักพูด แต่ก่อนที่จะพูดถึงรายละเอียดของ สามขั้นตอนข้างต้นนี้ เราต้องต้องมาเรียนรู้พื้นฐานเบื้องต้นของการเป็นนักพูดก่อนนะคะ สิ่งสำคัญที่เพิ่งจะเรียนรู้ไว้ก็คือ
- รู้จักวิเคราะห์ผู้ฟังแบบฉับพลัน เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะมี เพราะไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ที่แห่งหนใด เราไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ก่อนว่า เราต้องพูดกับใคร ที่ไหนบ้าง อย่างถ้าเราไปงานแต่งงานของเพื่อน อาจจะสนิทหรือไม่สนิทก็แล้วแต่นะคะ บังเอิญได้รับเชิญให้ขึ้นไปพูดอวยพรให้แก่เจ้าของงานต่อหน้าคนนับพัน โดยที่เราไม่ได้เตรียมตัวเลย เราก็ต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟังว่าเขาต้องการจะรับฟังอะไรจากเราบ้าง แน่น่อนเขาย่อมต้องการรับฟังการพูดแบบสนุกสนานชวนให้สรวลเสฮาเอพอสมควร พร้อมทั้งการพูดยกย่องชมเชยต่อคู่สมรส หากว่าเรามีอายุมากกว่า เราต้องรู้จักให้ศีลให้พร ไปตามธรรมเนียม เป็นต้น แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องให้ศีลให้พรไปเสียทุกงานเมื่อใหร่ ฉะนั้นเราก็ต้องวิเคราะห์ผู้ฟังให้ได้ว่าเป็นอย่างไร อยู่ในวัยใด เพศใด กลุ่มใด ระดับอาชีพหรือระดับการศึกษาใดรวมทั้งความสนใจ จนถึงศาสนา เพราะข้อมูลเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะโยงใยไปถึงข้อมูลที่ใหญ่ๆ และมีความสำคัญต่อไป
- การวิเคราะห์ผู้ฟังแบบมีวัตถุประสงค์ ในกรณีที่เรารู้แล้วว่าจะพูดในโอกาสอะไร เมื่อใหร่ ที่ไหน และต้องรู้ด้วยว่าจุดประสงค์ของการพูดคืออะไร พูดง่ายๆก็คือ เรามีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว อาจเปรียบเทียบได้กับการเป็นเซลส์แมนที่จะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องรู้จักรู้ค้าของตนเองได้เป็นอย่างดี ว่าเขามีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ หรืออาจจะรู้ลึกไปถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น มีรสนิยมเป็นอย่างไร เกลียดอะไร ชอบอะไร เป็นต้น ยิ่งรู้มาก รู้ลึกเท่าใหร่เรียกได้ว่า ยิ่งกว่าการได้เปรียบ ในปัจจุบัน ใครเป็นผู้กำข้อมูลอยู่ในมือ ผู้นั้นเป็นผู้กุมอำนาจ หมั่นเอาใจใส่กับรายละเอียดของคนรอบข้างของคุณให้มากขึ้นนะคะ ดิฉันรับรองว่า มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุนแน่นอนค่ะเอาล่ะคะเมื่อเรารู้ถึงเรื่องพื้นฐานของการพูดไปแล้วต่อไปก็จะพูดถึงขั้นตอนการไปสู่การพูดให้ถึงดวงดาวกันสักทีนะคะ ดิฉันขอพูดเป็นประเด็นเลยนะคะขั้นตอนแรก คือ ภาษาพูด เริ่มจากการเปิดเรื่องหรือการเริ่มต้นในการพูด การเริ่มต้นที่ดีถือเป็นเรื่องยากอย่างมากสำหรับคนที่จะพูด เพราะจะถือว่าเป็นช่วงนาทีแรกที่จะเริ่มสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นในตัวผู้ฟัง ถ้าเริ่มดี ก็ดูเหมือนว่าจะมีชัยไปกว่าครึ่งแล้วล่ะคะ แต่ก็มีมากเหมือนกันที่เข้าข่ายประเภท ล่มตอนจบ อุตส่าห์เปิดตัวซะเยี่ยมแต่ปิดท้ายซะแย่ การเริ่มต้นนั้นผู้พูดควรจะสามารถดังดูดความสนใจของผู้ฟัง เพิ่มความมั่นใจหรือความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง และช่วยให้ผู้ฟังมีความเข้าใจและสนใจที่จะฟังการพูดของเรา ที่ขาดไม่ได้ ควรเกริ่นด้วยการกล่าวขอบคุณหรือบอกกับผู้ฟังว่า เรามีความรู้สึกยินดีเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาพูดกับพวกเขาในวันนี้ เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมิตร และสร้างความรู้สึกที่เป็นบวกว่าเราให้ความเคารพและชื่นชมในการเข้าฟังของเขา
การเปิดตัว ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งก็มีหลายแบบด้วยกันได้แก่
* เริ่มด้วยการใช้สุภาษิต คำคม หรือคำพูดที่กินใจ
* เริ่มด้วยการบอกเหตุผลที่มาที่ไปว่าทำไมเราถึงมาพูดในวันนี้
* เริ่มด้วยการพูดเชื่อมโยงหัวข้อที่เราจะพูดกับตัวเราเอง หรือว่ากับผู้ฟัง โดยพยายามพูดในแนวสบายๆ หรืออาจเป็นอารมณ์ขันไม่เครียด เพื่อผู้ฟังจะได้รู้สึกผ่อนคลาย และฟังเราพูดต่อไปได้เรื่อยๆ หลังจากพูดเปิดตัวแล้วก็พูดถึงการปิดท้าย ซึ่งก็จะคล้ายๆกับการเปิดตัว คือ อาจกล่าวปิดท้ายด้วยภาษิต คำคม , การใช้อารมณ์ขัน, การใช้จุดเร้า อาจจะเร้าความรู้สึก หรือความคิดของผู้ฟัง และการปิดท้ายด้วยการสรุปย่อประเด็นหลักของการพูดทั้งหมดของเราเอง เผื่อว่าคนฟังอาจจะลืมแนวคิด หรือประเด็นหลักของเราได้บ้างเหมือนกัน และในตอนท้ายหากมีการเปิดให้ซักถาม หรือตอบคำถามด้วยก็จะยิ่งดีมาก เพราะถือเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะความคิดเห็นระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งเราในฐานะผู้พูดจะได้ประโยชน์ไม่น้อยจากจุดนี้นะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการพูดแต่ละครั้งน้ำเสียงก็ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพูด ผู้พูดต้องรู้จักปรับน้ำเสียงไปตามสถานการณ์ ตามหัวข้อ ตามเรื่องราวที่พูด ต้องเสียงดังชัดเจน ตัวควบกล้ำ อักษรต่างๆ ออกเสียงให้ถูก เรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้เราก็ไม่ควรจะมองข้ามนะคะ
ขั้นตอนที่สอง คือ ภาษากาย
เป็นส่วนที่เราต้องใช้ประกอบเวลาพูด ภาษากายที่สำคัญได้แก่
การสบตากับผู้สนทนาหรือกลุ่มของผู้ฟัง เป็นเรื่องสำคัญมากที่เดียว เพราะนอกจากจะเป็นการประเมินว่าอีกฝ่ายฟังเราพูดหรือเปล่า หรือเข้าใจไหม ยังเป็นการส่งสัญญานให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าคุณมีความจริงใจและรู้สึกอย่างไรในขณะที่พูดอยู่ ฉะนั้นสายตาของเราควรกวาดมองกลุ่มผู้ฟังอย่างเป็นมิตร ถ้าเป็นห้องแคบๆ พยายามสบสายตากับผู้ฟังให้ครบทุกคน เพราะสายตานี่แหละคะที่แสดงถึงพลังและอำนาจในการโน้มน้าวใจของผู้พูด ถ้าพูดแบบไม่สบตาก็อย่าหวังว่าจะได้รับการชื่นชมอย่างจริงใจจากผู้ฟัง
การแสดงออกทางสีหน้าเช่นกัน เพราะหน้าของเราแสดงได้ถึงอารมณ์ สุข เศร้า โกรธ ขยะแขยง เฉยเมย ดูถูกเหยียดหยาม และอื่นๆอีกมากมาย โดยทั่วไปเวลาพูดสีหน้าของเราขณะที่พูดต้องเป็นมิตร อย่าก้าวร้าว อย่าแสดงอาการหวาดกลัวในการพูดให้คู่สนทนาหรือผู้ฟังจับได้ว่าเราไม่มั่นใจในการพูด ที่สำคัญอย่าทำสีหน้าขัดแย้งกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่ เช่น พูดเรื่องเศร้าสลด แต่ริมฝีปากของเรายิ้มร่า พูดอย่างเมามัน แบบนี้เป็นต้น ผู้ฟังคงจะงงนะคะ ว่าเอ๊ะ นี่พูดอะไรอยู่ หรือ บ้าหรือเปล่าเนี๊ยะ ภาษามือก็เช่นกันคะ ควรปล่อยมือให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไพล่หลังได้บ้าง ผายมือออกบ้าง ทิ้งลงข้างลำตัวบ้าง แต่อย่าใช้มากถึงขนาดที่ดึงความสนใจของผู้ฟังไปจากสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่
การทรงตัวและการเคลื่อนไหวของร่างกาย ขณะที่พูด ควรมีท่าทางที่สง่างามอยู่เสมอ ถ้านั่งก็ควรจะนั่งหลังตรง ถ้ายืนก็อย่าหลังโกงหรือยืนพุงป่องก้นป่อง การทิ้งน้ำหนักขาต้องสมดุลกัน ปลายเท้าอาจเสมอหรือเหลื่อมกันนิดๆ ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง อย่าปักหลัก เดี๋ยวคนฟังจะนึกว่าเราเป็นหุ่นยนต์นะคะ
การใช้น้ำเสียง เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆในระบบการพูด เพราะถ้อยคำสะท้อนความคิด น้ำเสียงจะสะท้อนอารมณ์ของคนเรา ควรรู้จักฝึกใช้น้ำเสียงให้หลากหลายซึ่งจะทำให้การพูดของเราฟังดูน่าสนใจมากขึ้น ลองดุนะคะ แม้แต่ดิฉันเองก็คิดว่ายากลำบากเหมือนกันคะสำหรับข้อนี้
การแต่งกาย ต้องสวมเครื่องแต่งกายที่ใส่สบาย เพิ่มความมั่นใจในการพูดและเหมาะสมกับกาลเทศะ ที่สำคัญต้องสะอาด ใส่แล้วเข้ากับรูปร่าง เพื่อเป็นากรเสริมบุคลิกภาพและหน้าที่การงานของเราไปด้วย โดยทั่วไปควรเลือกสีสันในโทนกลางๆ เช่น ขาว เทา ดำ ครีม น้ำเงิน ถ้าจะเป็นสีสันสดใส ควรเน้นแบบเรียบๆ ตกแต่งเครื่องประดับให้น้อยชิ้นที่สุดก็คงจะเหมาะสมกว่าได้ตราหน้าว่าเป็นตู้ทองเคลื่อนที่นะคะ
ขั้นตอนที่สาม ภาษาใจ กว่าจะมาถึงประเด็นสุดท้ายได้นี่ก็เกือบแย่เหมือนกันนะคะ ภาษาใจก็คือ เราต้องมีความมั่นใจในการพูด ต้องใส่ใจค้นหาข้อบกพร่องในการพูดของเราอยู่เสมอ และต้องมีกำลังใจที่จะฝึกฝนทักษะการพูดของเราให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ดิฉันเองทุกวันนี้ก็ยังวิเคราะห์หาข้อบกพร่องทุกครั้งในการสื่อสารของตัวเอง ในบางครั้งที่อาจจะรู้สึกท้อใจเมื่อพูดจบไปแล้วว่า ทำไมการสื่อสาร การพูดของตัวเองถึงได้แย่มาก หรือเป็นไม่ได้ดั่งใจที่อยากจะให้เป็น เป็นต้นว่า การเรียบเรียงและการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นถ้อยคำในบ้างครั้งไม่สามารถจะเรียบเรียงให้ออกมาเป็นถ้อยคำได้ คิดๆแล้วก็นึกโมโหตัวเองทุกครั้ง
แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ " ไปให้ถึงดวงดาวเล่มนี้แล้ว" ได้รับรู้วิธีการพูดได้เยอะมากๆ และคิดว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นนักพูดที่ดี หากแต่ว่าจะเป็นนักพูดได้หรือไม่ได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เราได้อ่านหนังสือเล่มนี้ หรือเล่มไหนๆที่สอนทางด้านการพูดเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วยว่ามีความสนใจที่จะฝึกฝน ค้นหาความเป็นนักพูดของตัวเราเองได้หรือเปล่า ขืนมัวแต่ไปยึดเอาแบบอย่างนักพูดคนอื่น โดยที่หาแนวทางการพูดให้กับตัวเองไม่ได้แล้วนั้น ดิฉันขอแนะนำว่า อย่าพูดเสียเลยดีกว่าคะ ขอบคุณคะ
หลายต่อหลายคนต้องการที่จะเป็นนักพูดที่ดีให้ได้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ง่ายๆเลย ต้องอาศัยระยะเวลาการฝึกฝน การสั่งสมประสบการณ์ รวมไปถึงต้องเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวาง ยิ่งอ่านมาก ยิ่งรู้มาก เพราะการที่เราจะพูดอะไรออกไปนั้น มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ว่าได้ คนเราจะได้ดี หรือตกต่ำก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของเรานี่แหละคะ ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันว่าจะอยากจะเป็นคนที่พูดเป็น ไม่ถึงกับต้องไปขึ้นเวทีประกวดกับเค้าหรอกคะ ขอแค่พูดกับเพื่อนหรือนำไปใช้ได้กับชีวิตประจำวันและอนาคตเวลาสมัครงานก็ถือว่าดีมากแล้ว ดิฉันก็ได้เจอกันหนังสือเล่มหนึ่งของ ดร. จามจุรี ผดุงชีวิต ( อาร์ต ) ซึ่งอาจารย์ ยังเป็นหญิงสาวสวย บุคลิกดีคนหนึ่ง และหนังสือของอาจารย์สามารถทำให้คนที่พูดไม่เป็นสามารถกลายเป็นคนพูดเป็นด้วยเทคนิคและกลวิธีการเป็นนักพูดอย่างง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอน เพื่อนอยากรู้แล้วใช่ไหมล่ะคะ ว่าขั้นตอนเหล่านั้นมีอะไรบ้าง
ขั้นตอนง่าย เพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้นคะที่จะทำให้เราไปถึงดวงดาว ได้ดังที่ใจเราปรารถนา ได้แก่
1. ภาษาพูด
2. ภาษากาย
3. ภาษาใจ
สามขั้นตอนนี้ถือเป็นหัวใจของการเป็นนักพูด แต่ก่อนที่จะพูดถึงรายละเอียดของ สามขั้นตอนข้างต้นนี้ เราต้องต้องมาเรียนรู้พื้นฐานเบื้องต้นของการเป็นนักพูดก่อนนะคะ สิ่งสำคัญที่เพิ่งจะเรียนรู้ไว้ก็คือ
- รู้จักวิเคราะห์ผู้ฟังแบบฉับพลัน เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะมี เพราะไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ที่แห่งหนใด เราไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ก่อนว่า เราต้องพูดกับใคร ที่ไหนบ้าง อย่างถ้าเราไปงานแต่งงานของเพื่อน อาจจะสนิทหรือไม่สนิทก็แล้วแต่นะคะ บังเอิญได้รับเชิญให้ขึ้นไปพูดอวยพรให้แก่เจ้าของงานต่อหน้าคนนับพัน โดยที่เราไม่ได้เตรียมตัวเลย เราก็ต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟังว่าเขาต้องการจะรับฟังอะไรจากเราบ้าง แน่น่อนเขาย่อมต้องการรับฟังการพูดแบบสนุกสนานชวนให้สรวลเสฮาเอพอสมควร พร้อมทั้งการพูดยกย่องชมเชยต่อคู่สมรส หากว่าเรามีอายุมากกว่า เราต้องรู้จักให้ศีลให้พร ไปตามธรรมเนียม เป็นต้น แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องให้ศีลให้พรไปเสียทุกงานเมื่อใหร่ ฉะนั้นเราก็ต้องวิเคราะห์ผู้ฟังให้ได้ว่าเป็นอย่างไร อยู่ในวัยใด เพศใด กลุ่มใด ระดับอาชีพหรือระดับการศึกษาใดรวมทั้งความสนใจ จนถึงศาสนา เพราะข้อมูลเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะโยงใยไปถึงข้อมูลที่ใหญ่ๆ และมีความสำคัญต่อไป
- การวิเคราะห์ผู้ฟังแบบมีวัตถุประสงค์ ในกรณีที่เรารู้แล้วว่าจะพูดในโอกาสอะไร เมื่อใหร่ ที่ไหน และต้องรู้ด้วยว่าจุดประสงค์ของการพูดคืออะไร พูดง่ายๆก็คือ เรามีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว อาจเปรียบเทียบได้กับการเป็นเซลส์แมนที่จะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องรู้จักรู้ค้าของตนเองได้เป็นอย่างดี ว่าเขามีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ หรืออาจจะรู้ลึกไปถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น มีรสนิยมเป็นอย่างไร เกลียดอะไร ชอบอะไร เป็นต้น ยิ่งรู้มาก รู้ลึกเท่าใหร่เรียกได้ว่า ยิ่งกว่าการได้เปรียบ ในปัจจุบัน ใครเป็นผู้กำข้อมูลอยู่ในมือ ผู้นั้นเป็นผู้กุมอำนาจ หมั่นเอาใจใส่กับรายละเอียดของคนรอบข้างของคุณให้มากขึ้นนะคะ ดิฉันรับรองว่า มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุนแน่นอนค่ะเอาล่ะคะเมื่อเรารู้ถึงเรื่องพื้นฐานของการพูดไปแล้วต่อไปก็จะพูดถึงขั้นตอนการไปสู่การพูดให้ถึงดวงดาวกันสักทีนะคะ ดิฉันขอพูดเป็นประเด็นเลยนะคะขั้นตอนแรก คือ ภาษาพูด เริ่มจากการเปิดเรื่องหรือการเริ่มต้นในการพูด การเริ่มต้นที่ดีถือเป็นเรื่องยากอย่างมากสำหรับคนที่จะพูด เพราะจะถือว่าเป็นช่วงนาทีแรกที่จะเริ่มสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นในตัวผู้ฟัง ถ้าเริ่มดี ก็ดูเหมือนว่าจะมีชัยไปกว่าครึ่งแล้วล่ะคะ แต่ก็มีมากเหมือนกันที่เข้าข่ายประเภท ล่มตอนจบ อุตส่าห์เปิดตัวซะเยี่ยมแต่ปิดท้ายซะแย่ การเริ่มต้นนั้นผู้พูดควรจะสามารถดังดูดความสนใจของผู้ฟัง เพิ่มความมั่นใจหรือความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง และช่วยให้ผู้ฟังมีความเข้าใจและสนใจที่จะฟังการพูดของเรา ที่ขาดไม่ได้ ควรเกริ่นด้วยการกล่าวขอบคุณหรือบอกกับผู้ฟังว่า เรามีความรู้สึกยินดีเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาพูดกับพวกเขาในวันนี้ เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมิตร และสร้างความรู้สึกที่เป็นบวกว่าเราให้ความเคารพและชื่นชมในการเข้าฟังของเขา
การเปิดตัว ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งก็มีหลายแบบด้วยกันได้แก่
* เริ่มด้วยการใช้สุภาษิต คำคม หรือคำพูดที่กินใจ
* เริ่มด้วยการบอกเหตุผลที่มาที่ไปว่าทำไมเราถึงมาพูดในวันนี้
* เริ่มด้วยการพูดเชื่อมโยงหัวข้อที่เราจะพูดกับตัวเราเอง หรือว่ากับผู้ฟัง โดยพยายามพูดในแนวสบายๆ หรืออาจเป็นอารมณ์ขันไม่เครียด เพื่อผู้ฟังจะได้รู้สึกผ่อนคลาย และฟังเราพูดต่อไปได้เรื่อยๆ หลังจากพูดเปิดตัวแล้วก็พูดถึงการปิดท้าย ซึ่งก็จะคล้ายๆกับการเปิดตัว คือ อาจกล่าวปิดท้ายด้วยภาษิต คำคม , การใช้อารมณ์ขัน, การใช้จุดเร้า อาจจะเร้าความรู้สึก หรือความคิดของผู้ฟัง และการปิดท้ายด้วยการสรุปย่อประเด็นหลักของการพูดทั้งหมดของเราเอง เผื่อว่าคนฟังอาจจะลืมแนวคิด หรือประเด็นหลักของเราได้บ้างเหมือนกัน และในตอนท้ายหากมีการเปิดให้ซักถาม หรือตอบคำถามด้วยก็จะยิ่งดีมาก เพราะถือเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะความคิดเห็นระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งเราในฐานะผู้พูดจะได้ประโยชน์ไม่น้อยจากจุดนี้นะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการพูดแต่ละครั้งน้ำเสียงก็ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพูด ผู้พูดต้องรู้จักปรับน้ำเสียงไปตามสถานการณ์ ตามหัวข้อ ตามเรื่องราวที่พูด ต้องเสียงดังชัดเจน ตัวควบกล้ำ อักษรต่างๆ ออกเสียงให้ถูก เรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้เราก็ไม่ควรจะมองข้ามนะคะ
ขั้นตอนที่สอง คือ ภาษากาย
เป็นส่วนที่เราต้องใช้ประกอบเวลาพูด ภาษากายที่สำคัญได้แก่
การสบตากับผู้สนทนาหรือกลุ่มของผู้ฟัง เป็นเรื่องสำคัญมากที่เดียว เพราะนอกจากจะเป็นการประเมินว่าอีกฝ่ายฟังเราพูดหรือเปล่า หรือเข้าใจไหม ยังเป็นการส่งสัญญานให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าคุณมีความจริงใจและรู้สึกอย่างไรในขณะที่พูดอยู่ ฉะนั้นสายตาของเราควรกวาดมองกลุ่มผู้ฟังอย่างเป็นมิตร ถ้าเป็นห้องแคบๆ พยายามสบสายตากับผู้ฟังให้ครบทุกคน เพราะสายตานี่แหละคะที่แสดงถึงพลังและอำนาจในการโน้มน้าวใจของผู้พูด ถ้าพูดแบบไม่สบตาก็อย่าหวังว่าจะได้รับการชื่นชมอย่างจริงใจจากผู้ฟัง
การแสดงออกทางสีหน้าเช่นกัน เพราะหน้าของเราแสดงได้ถึงอารมณ์ สุข เศร้า โกรธ ขยะแขยง เฉยเมย ดูถูกเหยียดหยาม และอื่นๆอีกมากมาย โดยทั่วไปเวลาพูดสีหน้าของเราขณะที่พูดต้องเป็นมิตร อย่าก้าวร้าว อย่าแสดงอาการหวาดกลัวในการพูดให้คู่สนทนาหรือผู้ฟังจับได้ว่าเราไม่มั่นใจในการพูด ที่สำคัญอย่าทำสีหน้าขัดแย้งกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่ เช่น พูดเรื่องเศร้าสลด แต่ริมฝีปากของเรายิ้มร่า พูดอย่างเมามัน แบบนี้เป็นต้น ผู้ฟังคงจะงงนะคะ ว่าเอ๊ะ นี่พูดอะไรอยู่ หรือ บ้าหรือเปล่าเนี๊ยะ ภาษามือก็เช่นกันคะ ควรปล่อยมือให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไพล่หลังได้บ้าง ผายมือออกบ้าง ทิ้งลงข้างลำตัวบ้าง แต่อย่าใช้มากถึงขนาดที่ดึงความสนใจของผู้ฟังไปจากสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่
การทรงตัวและการเคลื่อนไหวของร่างกาย ขณะที่พูด ควรมีท่าทางที่สง่างามอยู่เสมอ ถ้านั่งก็ควรจะนั่งหลังตรง ถ้ายืนก็อย่าหลังโกงหรือยืนพุงป่องก้นป่อง การทิ้งน้ำหนักขาต้องสมดุลกัน ปลายเท้าอาจเสมอหรือเหลื่อมกันนิดๆ ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง อย่าปักหลัก เดี๋ยวคนฟังจะนึกว่าเราเป็นหุ่นยนต์นะคะ
การใช้น้ำเสียง เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆในระบบการพูด เพราะถ้อยคำสะท้อนความคิด น้ำเสียงจะสะท้อนอารมณ์ของคนเรา ควรรู้จักฝึกใช้น้ำเสียงให้หลากหลายซึ่งจะทำให้การพูดของเราฟังดูน่าสนใจมากขึ้น ลองดุนะคะ แม้แต่ดิฉันเองก็คิดว่ายากลำบากเหมือนกันคะสำหรับข้อนี้
การแต่งกาย ต้องสวมเครื่องแต่งกายที่ใส่สบาย เพิ่มความมั่นใจในการพูดและเหมาะสมกับกาลเทศะ ที่สำคัญต้องสะอาด ใส่แล้วเข้ากับรูปร่าง เพื่อเป็นากรเสริมบุคลิกภาพและหน้าที่การงานของเราไปด้วย โดยทั่วไปควรเลือกสีสันในโทนกลางๆ เช่น ขาว เทา ดำ ครีม น้ำเงิน ถ้าจะเป็นสีสันสดใส ควรเน้นแบบเรียบๆ ตกแต่งเครื่องประดับให้น้อยชิ้นที่สุดก็คงจะเหมาะสมกว่าได้ตราหน้าว่าเป็นตู้ทองเคลื่อนที่นะคะ
ขั้นตอนที่สาม ภาษาใจ กว่าจะมาถึงประเด็นสุดท้ายได้นี่ก็เกือบแย่เหมือนกันนะคะ ภาษาใจก็คือ เราต้องมีความมั่นใจในการพูด ต้องใส่ใจค้นหาข้อบกพร่องในการพูดของเราอยู่เสมอ และต้องมีกำลังใจที่จะฝึกฝนทักษะการพูดของเราให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ดิฉันเองทุกวันนี้ก็ยังวิเคราะห์หาข้อบกพร่องทุกครั้งในการสื่อสารของตัวเอง ในบางครั้งที่อาจจะรู้สึกท้อใจเมื่อพูดจบไปแล้วว่า ทำไมการสื่อสาร การพูดของตัวเองถึงได้แย่มาก หรือเป็นไม่ได้ดั่งใจที่อยากจะให้เป็น เป็นต้นว่า การเรียบเรียงและการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นถ้อยคำในบ้างครั้งไม่สามารถจะเรียบเรียงให้ออกมาเป็นถ้อยคำได้ คิดๆแล้วก็นึกโมโหตัวเองทุกครั้ง
แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ " ไปให้ถึงดวงดาวเล่มนี้แล้ว" ได้รับรู้วิธีการพูดได้เยอะมากๆ และคิดว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นนักพูดที่ดี หากแต่ว่าจะเป็นนักพูดได้หรือไม่ได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เราได้อ่านหนังสือเล่มนี้ หรือเล่มไหนๆที่สอนทางด้านการพูดเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วยว่ามีความสนใจที่จะฝึกฝน ค้นหาความเป็นนักพูดของตัวเราเองได้หรือเปล่า ขืนมัวแต่ไปยึดเอาแบบอย่างนักพูดคนอื่น โดยที่หาแนวทางการพูดให้กับตัวเองไม่ได้แล้วนั้น ดิฉันขอแนะนำว่า อย่าพูดเสียเลยดีกว่าคะ ขอบคุณคะ