วิชาการพูด 05
นักพูดที่ข้าพเจ้าประทับใจ
นักพูดที่ข้าพเจ้าประทับใจนั้นมีอยู่หลายคนเลยทีเดียว ใช่นักพูดส่วนใหญ่จะพูดในเนื้อหาที่คล้าย ๆ กัน แต่จะต่างกันตรง “วิธีการนำเสนอ” ครับนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ข้าพเจ้าประทับใจนักพูดท่านนี้
ครับนักพูดท่านนี้ท่านมีวิธีการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร ท่านมองในมุมที่ใครไม่มอง วิธีการพูดของท่านก็พูดในเชิงวิชาการ เชิงตลก ซึ่งฟังดูแล้วทำให้ไม่เครียด สบาย ๆ ผลงานของท่านนั้นก็มีมากมาย แต่ที่เรารู้จักกันดีก็ในนาม “ไทยทอร์ค” ครับคงจะพอเดากันได้หรือยังครับว่านักพูดท่านนี้คือใคร
ใช่แล้วครับ ท่านผู้นี้คือ อาจารย์ จตุพล ชมพูนิช ที่เรารู้จักและคุ้นหูกันดี วันนี้ก็จะขอนำเสนอผลงานของท่านที่ข้าพเจ้าประทับใจ เป็นบทพูดที่กล่าวถึงเทคนิคในการพูดเบื้องต้น ศิลปะการพูดแบบไทย ๆ ง่าย ๆ ซึ่งท่านพูดเอาไว้ดีมาก นั่นก็คือ “ปากเป็นเอก” ท่านกล่าวเอาไว้ว่า การพูดดีหรือพูดเก่งนั้น เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในชีวิตและการงานได้ วิธีการพูดจะเป็นอย่างไรก็ช่างขอให้พูดแล้วมีคนอยากฟัง
คนที่ปากเป็นเอกได้นั้นจะต้องเป็นคนที่รู้จักวิเคราะห์เพื่อให้เกิดความคิดใหม่ ๆ หรือแง่มุมแปลก ๆ รู้จักหาประสบการณ์ แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่พัฒนากันได้ เป็นพรแสวงไม่ใช่พรสวรรค์
การพูดทุกครั้งจะต้องให้เกียรติคนฟัง ท่านกล่าวเอาไว้ว่า การพูดที่ดีต้องมีคนฟัง การพูดที่ไม่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ การพูดแล้วไม่มีคนฟังนั่นเอง เพราะฉะนั้นในการพูดนั้นคนฟังจึงมีความสำคัญ คนพูดต้องให้เกียรติคนฟังถือว่าคนฟังไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ ล้วนมีพระคุณต่อผู้พูดทั้งนั้น แต่ถ้าเวลาพูดแล้วไม่สนใจฟัง อย่าไปเปิดเกม “จุดเดือด” ขึ้นกับคนฟังเป็นอันขาด เมื่อเจอเหตุการณ์หรือสถานการณ์อย่างนี้ คนที่มีจิตวิทยาจะออกมาในทำนองออดอ้อนหรือขอความร่วมมือ สร้างบรรยากาศให้คนฟังมีความรู้สึกที่ดีต่อคนฟัง เริ่มทักทายด้วยการเป็นกันเอง
เมื่อรู้ว่าจะถูกเรียกให้ไปพูดหน้าชั้น หรือเมื่อใกล้จะถึงเวลาจะต้องออกไปพูด เชื่อได้เลยว่าคงไม่มีใครที่ไม่เกิดอาการประหม่า ความประหม่านั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แทบทุกคนไม่ว่าจะพูดมากี่ครั้งก็มักมีอาการนี้
คนทุกคนจะต้องประหม่าเมื่อต้องปรากฏตัวต่อหน้าคนจำนวนมาก แต่คนที่ประสบผลสำเร็จในการพูดต่อหน้าชุมชน ก็คือ ผู้ที่สามารถคุมอาการประหม่าของตัวเอง หรือไล่ออกไปในเวลาอัน รวดเร็ว
ท่านอาจารย์ก็มีเทคนิคในการที่จะทำอย่างไรจึงจะหายประหม่า เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ท่านกล่าวเอาไว้ว่า วิธีการแก้เขินนั้นมีหลายทาง ในที่นี้จะนำเสนอด้วยวิธีการทางจิตวิทยา”
ข้อแรกคือให้ข้อคิดว่า เรารู้ดีกว่าคนอื่นในเรื่องที่จะพูด เพราะเราค้นคว้าเตรียมตัวไปพูดเรื่องนั้นอยู่แล้ว คนฟังที่ไม่ได้ค้นคว้าเลยตั้งใจมาฟัง จะมารู้เรื่องนั้นดีกว่าเราได้อย่างไร
วิธีการแก้ประหม่าข้อต่อมาคือ พยายามหาจุดปลอบใจ วิธีการนี้คือ เมื่อขึ้นไปบนเวทีแล้วให้พยายามมองหาใครซักคนที่นั่งฟังอยู่ ที่มีท่าทางเป็นมิตรและเป็นกำลังใจให้เรา คนประเภทนี้ก็คือ ผู้ที่แสดงความตั้งอกตั้งใจฟัง มีอาการสบตา พยักหน้าเห็นด้วยเป็นระยะ ๆ แต่อย่าเผลอไปจ้องเอา ๆ แต่จุดปลอบใจไม่ยอมมองจุดอื่นเลย เพราะจะผิดหลักการพูดในที่ชุมชน กลายเป็นการพูดให้คน ๆ เดียวฟังไป ถ้ามีหน้าม้าด้วยก็ดี
การไปถึงสถานที่พูดก่อนเวลาพูดพอสมควร ก็เป็นวิธีลดการประหม่าลงไปได้หลายดีกรีเลยทีเดียว เพราะเราจะได้มีเวลาพอที่จะทำความคุ้นเคยกับสถานที่
วิธีการทางจิตวิทยาข้อต่อมาก็คือ ให้พยายามคิดว่าถ้าเราคุยในวงสนทนาได้ก็พูดหน้าที่ประชุมได้เหมือนกัน เพราะความจริงแล้วการพูดหน้าที่ประชุมก็คือ การขยายวงสนทนานั่นเอง
ข้อสุดท้ายก็คือให้คิดถึงความฝันของเรา ถ้าเราปรารถนาจะเป็นนักพูดหรือผู้บรรยายยอดนิยม ถ้าเราไม่กล้าเสียแต่วันนี้ มัวแต่เขินอยู่แล้วเมื่อไหร่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้นต้องพยายามเอาชนะในเรื่องนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นความฝันของเราไม่มีวันเป็นจริงได้
เมื่อเรารู้สึกหายประหม่าแล้ว ก็มาลองศึกษาถึงการพูดต่อที่ชุมชนบ้าง ซึ่งท่านอาจารย์ท่านก็ได้เสนอเทคนิคว่า การพูดต่อที่ชุมชน ทำยังไงถึงให้ออกมาดี ไม่ใช่ขอไปที การพูดให้คนจำนวนมากฟังนั้นต้องมีและใช้ศิลปะเข้าช่วยพอสมควรทีเดียวจึงจะสามารถสะกดหรือทำให้คนฟังจำนวนมากติดตามสิ่งที่เราพูดได้ ไม่ลุกหนีไปก่อนที่เราจะพูดจบ จะรอจนเราพูดจบแล้วปรบมือให้ด้วยความพอใจหรือประทับใจไม่ใช่ด้วยมารยาท
คนที่จะพูดได้ดีนั้นเบื้องแรก ต้องยึดให้ได้ก่อนว่าการพูดคือการพูดอย่าได้ขึ้นไปยืนอ่านอะไรให้คนฟังเป็นอันขาด ต้องพูดให้คนฟัง ไม่ท่อง ถ้าจะมีโน๊ตย่อหรือบันทึกกันลืมติดไปบ้างก็ได้ แต่ขอให้เป็นหัวข้อหรือจุดสำคัญ ๆ ที่เขียนไว้กันลืม
สายตาของเราต้องอยู่กับคนฟัง จะแอบมองโน๊ตหรือได้จดหัวข้อกันลืมขึ้นมาได้บ้างเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาอ่าน หรือก้มหน้าก้มตาพูด ขอให้นึกเสมอว่า เราหยุดมองคนฟังเมื่อไหร่คนฟังก็จะหยุดฟังเราเมื่อนั้น
ใช้มือออกท่าทางประกอบด้วย จะทำให้คนฟังรู้สึกมีชีวิตชีวา และชวนสนใจขึ้น ควรฝึกหัดการใช้มือประกอบและแสดงโดยให้เหมาะกับเนื้อหาที่พูดด้วย ไม่ใช่สะเปะสะปะไม่สอดคล้องกับคำพูด ถ้านั่งพูดโดยมีโต๊ะตั้งตรงหน้า หรือเวทีอภิปราย ก็ให้ขยับแค่พองาม อย่าถึงให้ออกงิ้ว ถ้ายืน โด่เด่ไม่มีอะไรบังตัวเราเลยนอกจากเสาไมโครโฟนในลักษณะการอภิปรายหาเสียง ก็ออกท่าทางได้เต็มที่
น้ำเสียงในการพูดต้องมีชีวิตชีวา และดูให้เหมาะสมกับสถานที่ ถ้ากลางแจ้งก็ต้องเสียงดังกระแทกกระทั้นหน่อย ถ้าในห้องประชุมใหญ่ ก็อาจจะลดเสียงลงมาได้ แต่ลีลาน้ำเสียงต้องมีชีวิตชีวา มีเสียงสูงเสียงต่ำ ลากเสียง เน้นเสียงหรือทอดเสียงเพื่อปลุกความรู้สึกของผู้ฟัง ขณะที่พูดก็ต้องสังเกตเสียงของเราที่ผ่านเครื่องเสียงลงสู่ผู้ฟังด้วย ถ้าเป็นพื้นที่กว้าง ๆ โล่ง ๆ เช่น สนามฟุตบอลมีลำโพงหลาย ๆ ตัว อย่าพูดเร็วเพราะจะรัวจนฟังไม่รู้เรื่อง ให้พูดช้า ๆ เว้นช่องประโยค วิธีพูดแบบนี้ใช้ได้กับห้องประชุมที่มีเสียงสะท้อน แต่ถ้าเป็นห้องประชุมในโรงแรมชั้นหนึ่ง ซึ่งดีทั้งห้องและเครื่องมือก็ใช้ลีลาตามถนัดได้เต็มที่
ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารก็ควรจะเน้นภาษาพื้น ๆ ฟังแล้วเข้าใจง่าย อย่าใช้ศัพท์สูง ๆ เพราะการพูดให้คนจำนวนมาก ๆ ที่ไม่ใช่นักเรียนหรือนักศึกษาฟังเพื่อเอาความรู้ไปไว้สอบ
จะต้องวิเคราะห์กิริยาอาการของคนฟังตลอดเวลา ให้รู้ว่าขณะที่เราพูดนั้น คนฟังพอใจ ชอบใจ หรือไม่สนใจ ถ้าพูดแล้วคนฟังไม่สนใจแม้จะไม่ถึงกับนั่งหลับ แต่มีอาการกระสับกระส่าย หันไปคุยกันบ้าง ลุกขึ้นไปโน่นมานี่บ้าง ดูขวักไขว่ไปหมด ก็คงต้องรีบรวบรัดให้จบ ๆ เพื่อหาโอกาสไว้แก้มือใหม่วันหลัง
และที่สำคัญต้องดูสถานการณ์และรู้กาละเทศะ
ครับเมื่อเราทราบเทคนิคการพูดอย่างง่าย ๆ แล้วต่อไปเราก็คงไม่ต้องหวั่นไหวกับอุปสรรค เล็ก ๆ น้อย ๆ กับการพูดอีกแล้วนะครับ
นักพูดที่ข้าพเจ้าประทับใจนั้นมีอยู่หลายคนเลยทีเดียว ใช่นักพูดส่วนใหญ่จะพูดในเนื้อหาที่คล้าย ๆ กัน แต่จะต่างกันตรง “วิธีการนำเสนอ” ครับนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ข้าพเจ้าประทับใจนักพูดท่านนี้
ครับนักพูดท่านนี้ท่านมีวิธีการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร ท่านมองในมุมที่ใครไม่มอง วิธีการพูดของท่านก็พูดในเชิงวิชาการ เชิงตลก ซึ่งฟังดูแล้วทำให้ไม่เครียด สบาย ๆ ผลงานของท่านนั้นก็มีมากมาย แต่ที่เรารู้จักกันดีก็ในนาม “ไทยทอร์ค” ครับคงจะพอเดากันได้หรือยังครับว่านักพูดท่านนี้คือใคร
ใช่แล้วครับ ท่านผู้นี้คือ อาจารย์ จตุพล ชมพูนิช ที่เรารู้จักและคุ้นหูกันดี วันนี้ก็จะขอนำเสนอผลงานของท่านที่ข้าพเจ้าประทับใจ เป็นบทพูดที่กล่าวถึงเทคนิคในการพูดเบื้องต้น ศิลปะการพูดแบบไทย ๆ ง่าย ๆ ซึ่งท่านพูดเอาไว้ดีมาก นั่นก็คือ “ปากเป็นเอก” ท่านกล่าวเอาไว้ว่า การพูดดีหรือพูดเก่งนั้น เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในชีวิตและการงานได้ วิธีการพูดจะเป็นอย่างไรก็ช่างขอให้พูดแล้วมีคนอยากฟัง
คนที่ปากเป็นเอกได้นั้นจะต้องเป็นคนที่รู้จักวิเคราะห์เพื่อให้เกิดความคิดใหม่ ๆ หรือแง่มุมแปลก ๆ รู้จักหาประสบการณ์ แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่พัฒนากันได้ เป็นพรแสวงไม่ใช่พรสวรรค์
การพูดทุกครั้งจะต้องให้เกียรติคนฟัง ท่านกล่าวเอาไว้ว่า การพูดที่ดีต้องมีคนฟัง การพูดที่ไม่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ การพูดแล้วไม่มีคนฟังนั่นเอง เพราะฉะนั้นในการพูดนั้นคนฟังจึงมีความสำคัญ คนพูดต้องให้เกียรติคนฟังถือว่าคนฟังไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ ล้วนมีพระคุณต่อผู้พูดทั้งนั้น แต่ถ้าเวลาพูดแล้วไม่สนใจฟัง อย่าไปเปิดเกม “จุดเดือด” ขึ้นกับคนฟังเป็นอันขาด เมื่อเจอเหตุการณ์หรือสถานการณ์อย่างนี้ คนที่มีจิตวิทยาจะออกมาในทำนองออดอ้อนหรือขอความร่วมมือ สร้างบรรยากาศให้คนฟังมีความรู้สึกที่ดีต่อคนฟัง เริ่มทักทายด้วยการเป็นกันเอง
เมื่อรู้ว่าจะถูกเรียกให้ไปพูดหน้าชั้น หรือเมื่อใกล้จะถึงเวลาจะต้องออกไปพูด เชื่อได้เลยว่าคงไม่มีใครที่ไม่เกิดอาการประหม่า ความประหม่านั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แทบทุกคนไม่ว่าจะพูดมากี่ครั้งก็มักมีอาการนี้
คนทุกคนจะต้องประหม่าเมื่อต้องปรากฏตัวต่อหน้าคนจำนวนมาก แต่คนที่ประสบผลสำเร็จในการพูดต่อหน้าชุมชน ก็คือ ผู้ที่สามารถคุมอาการประหม่าของตัวเอง หรือไล่ออกไปในเวลาอัน รวดเร็ว
ท่านอาจารย์ก็มีเทคนิคในการที่จะทำอย่างไรจึงจะหายประหม่า เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ท่านกล่าวเอาไว้ว่า วิธีการแก้เขินนั้นมีหลายทาง ในที่นี้จะนำเสนอด้วยวิธีการทางจิตวิทยา”
ข้อแรกคือให้ข้อคิดว่า เรารู้ดีกว่าคนอื่นในเรื่องที่จะพูด เพราะเราค้นคว้าเตรียมตัวไปพูดเรื่องนั้นอยู่แล้ว คนฟังที่ไม่ได้ค้นคว้าเลยตั้งใจมาฟัง จะมารู้เรื่องนั้นดีกว่าเราได้อย่างไร
วิธีการแก้ประหม่าข้อต่อมาคือ พยายามหาจุดปลอบใจ วิธีการนี้คือ เมื่อขึ้นไปบนเวทีแล้วให้พยายามมองหาใครซักคนที่นั่งฟังอยู่ ที่มีท่าทางเป็นมิตรและเป็นกำลังใจให้เรา คนประเภทนี้ก็คือ ผู้ที่แสดงความตั้งอกตั้งใจฟัง มีอาการสบตา พยักหน้าเห็นด้วยเป็นระยะ ๆ แต่อย่าเผลอไปจ้องเอา ๆ แต่จุดปลอบใจไม่ยอมมองจุดอื่นเลย เพราะจะผิดหลักการพูดในที่ชุมชน กลายเป็นการพูดให้คน ๆ เดียวฟังไป ถ้ามีหน้าม้าด้วยก็ดี
การไปถึงสถานที่พูดก่อนเวลาพูดพอสมควร ก็เป็นวิธีลดการประหม่าลงไปได้หลายดีกรีเลยทีเดียว เพราะเราจะได้มีเวลาพอที่จะทำความคุ้นเคยกับสถานที่
วิธีการทางจิตวิทยาข้อต่อมาก็คือ ให้พยายามคิดว่าถ้าเราคุยในวงสนทนาได้ก็พูดหน้าที่ประชุมได้เหมือนกัน เพราะความจริงแล้วการพูดหน้าที่ประชุมก็คือ การขยายวงสนทนานั่นเอง
ข้อสุดท้ายก็คือให้คิดถึงความฝันของเรา ถ้าเราปรารถนาจะเป็นนักพูดหรือผู้บรรยายยอดนิยม ถ้าเราไม่กล้าเสียแต่วันนี้ มัวแต่เขินอยู่แล้วเมื่อไหร่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้นต้องพยายามเอาชนะในเรื่องนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นความฝันของเราไม่มีวันเป็นจริงได้
เมื่อเรารู้สึกหายประหม่าแล้ว ก็มาลองศึกษาถึงการพูดต่อที่ชุมชนบ้าง ซึ่งท่านอาจารย์ท่านก็ได้เสนอเทคนิคว่า การพูดต่อที่ชุมชน ทำยังไงถึงให้ออกมาดี ไม่ใช่ขอไปที การพูดให้คนจำนวนมากฟังนั้นต้องมีและใช้ศิลปะเข้าช่วยพอสมควรทีเดียวจึงจะสามารถสะกดหรือทำให้คนฟังจำนวนมากติดตามสิ่งที่เราพูดได้ ไม่ลุกหนีไปก่อนที่เราจะพูดจบ จะรอจนเราพูดจบแล้วปรบมือให้ด้วยความพอใจหรือประทับใจไม่ใช่ด้วยมารยาท
คนที่จะพูดได้ดีนั้นเบื้องแรก ต้องยึดให้ได้ก่อนว่าการพูดคือการพูดอย่าได้ขึ้นไปยืนอ่านอะไรให้คนฟังเป็นอันขาด ต้องพูดให้คนฟัง ไม่ท่อง ถ้าจะมีโน๊ตย่อหรือบันทึกกันลืมติดไปบ้างก็ได้ แต่ขอให้เป็นหัวข้อหรือจุดสำคัญ ๆ ที่เขียนไว้กันลืม
สายตาของเราต้องอยู่กับคนฟัง จะแอบมองโน๊ตหรือได้จดหัวข้อกันลืมขึ้นมาได้บ้างเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาอ่าน หรือก้มหน้าก้มตาพูด ขอให้นึกเสมอว่า เราหยุดมองคนฟังเมื่อไหร่คนฟังก็จะหยุดฟังเราเมื่อนั้น
ใช้มือออกท่าทางประกอบด้วย จะทำให้คนฟังรู้สึกมีชีวิตชีวา และชวนสนใจขึ้น ควรฝึกหัดการใช้มือประกอบและแสดงโดยให้เหมาะกับเนื้อหาที่พูดด้วย ไม่ใช่สะเปะสะปะไม่สอดคล้องกับคำพูด ถ้านั่งพูดโดยมีโต๊ะตั้งตรงหน้า หรือเวทีอภิปราย ก็ให้ขยับแค่พองาม อย่าถึงให้ออกงิ้ว ถ้ายืน โด่เด่ไม่มีอะไรบังตัวเราเลยนอกจากเสาไมโครโฟนในลักษณะการอภิปรายหาเสียง ก็ออกท่าทางได้เต็มที่
น้ำเสียงในการพูดต้องมีชีวิตชีวา และดูให้เหมาะสมกับสถานที่ ถ้ากลางแจ้งก็ต้องเสียงดังกระแทกกระทั้นหน่อย ถ้าในห้องประชุมใหญ่ ก็อาจจะลดเสียงลงมาได้ แต่ลีลาน้ำเสียงต้องมีชีวิตชีวา มีเสียงสูงเสียงต่ำ ลากเสียง เน้นเสียงหรือทอดเสียงเพื่อปลุกความรู้สึกของผู้ฟัง ขณะที่พูดก็ต้องสังเกตเสียงของเราที่ผ่านเครื่องเสียงลงสู่ผู้ฟังด้วย ถ้าเป็นพื้นที่กว้าง ๆ โล่ง ๆ เช่น สนามฟุตบอลมีลำโพงหลาย ๆ ตัว อย่าพูดเร็วเพราะจะรัวจนฟังไม่รู้เรื่อง ให้พูดช้า ๆ เว้นช่องประโยค วิธีพูดแบบนี้ใช้ได้กับห้องประชุมที่มีเสียงสะท้อน แต่ถ้าเป็นห้องประชุมในโรงแรมชั้นหนึ่ง ซึ่งดีทั้งห้องและเครื่องมือก็ใช้ลีลาตามถนัดได้เต็มที่
ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารก็ควรจะเน้นภาษาพื้น ๆ ฟังแล้วเข้าใจง่าย อย่าใช้ศัพท์สูง ๆ เพราะการพูดให้คนจำนวนมาก ๆ ที่ไม่ใช่นักเรียนหรือนักศึกษาฟังเพื่อเอาความรู้ไปไว้สอบ
จะต้องวิเคราะห์กิริยาอาการของคนฟังตลอดเวลา ให้รู้ว่าขณะที่เราพูดนั้น คนฟังพอใจ ชอบใจ หรือไม่สนใจ ถ้าพูดแล้วคนฟังไม่สนใจแม้จะไม่ถึงกับนั่งหลับ แต่มีอาการกระสับกระส่าย หันไปคุยกันบ้าง ลุกขึ้นไปโน่นมานี่บ้าง ดูขวักไขว่ไปหมด ก็คงต้องรีบรวบรัดให้จบ ๆ เพื่อหาโอกาสไว้แก้มือใหม่วันหลัง
และที่สำคัญต้องดูสถานการณ์และรู้กาละเทศะ
ครับเมื่อเราทราบเทคนิคการพูดอย่างง่าย ๆ แล้วต่อไปเราก็คงไม่ต้องหวั่นไหวกับอุปสรรค เล็ก ๆ น้อย ๆ กับการพูดอีกแล้วนะครับ