Food Combining แน่ใจหรือว่าคุณอยู่ดี กินดี?

เชื่อ ว่าคุณผู้อ่านหลายๆ ท่าน คงเคยจุกเสียดแน่นท้องหลังอาหารจนต้องพึ่งยาลดกรดกันเป็นประจำ และหลายท่านอาจจะคิดว่าสาเหตุที่ท้องอืดบวมมาจากความ "ตะกละ" กินมากไปของเราเอง และต่างก็พากันกินยาลดกรดเพื่อให้หายจากความอึดอัด เหล่านี้ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น

ใครเลยจะรู้ว่า ในหนึ่งมื้ออาหาร หากเรารับประทานอาหารผิดหมวดมื้อมาผสมกันก็อาจทำให้มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย และการดูดซึมอาหารผิดปกติได้ ใน กลไกการทำงานของร่างกายเรายังมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่อีกมากมายที่ท่าน ยังไม่ทราบ จึงน่าจะเป็นการดีหากเราได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับกฎการย่อยง่ายๆ ของร่างกาย เพื่อที่จะได้ค้นพบวิธีการเลือกรับประทานและผสมผสานอาหารในแต่ละมื้ออย่าง ถูกวิธี หรือที่เราเรียกว่าหลัก "Food Combining" เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุดต่อร่างกายในการย่อยและดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ไปใช้
Food Combining เป็นหลักการกินของ ดร. William Howard Hay ที่จับคู่กินอาหารหมวดที่เข้ากันได้ดีและไม่จับคู่กินหมวดอาหารที่ไม่เข้า กัน การกินแบบ Food combining ไม่ต้องนับจำนวนแคลอรี่หรืออดอาหาร แต่ให้ความสำคัญกับปฏิกิริยาทางเคมีที่อาหารมีต่อกัน

สามารถปฏิบัติได้ง่ายหากมีการวางแผนล่วงหน้า หลังจากกินแล้วจะรู้สึกตัวเบา (ผมว่าจริงนะ ทานโปรตีนกับผักแล้วทำไมไม่รู้สึกแน่น) และน้ำหนักค่อยๆ ลดลงในที่สุด ผลพลอยได้คือ อาการจุกเสียด อึดอัด แน่นท้องหายไป

ที่มาของอาการท้องอืด

ดร. Hay กล่าวว่า การกินอาหารบางประเภทร่วมกัน รบกวนกระบวนการย่อยอาหาร นำไปสู่ปัญหาสุขภาพและการกักเก็บพลังงานส่วนเกินเกิดความอ้วนตามมา การกิน อาหารโปรตีนสูงร่วมกับอาหารประเภทแป้งเป็นวิธีกินแบบผิดๆ ที่คนส่วนใหญ่เพราะทำให้ระบบการย่อยทำงานหนักเกินไป เนื่องจากโปรตีนและแป้งใช้น้ำย่อยที่แตกต่าง กันด้วย ดังนั้นจึงทำให้การย่อยอาหารยากขึ้น ระบบการย่อยทำงานช้าลง อาหารที่ย่อยบ้างไม่ย่อยบ้างก็บูดเน่าด้วยแบคทีเรีย เกิดอาการมีแก๊สแน่น เรอ เหม็นเปรี้ยว ท้องผูก และอ้วนตามมา เพราะสิ่งหนึ่งที่เราควรจะตระหนักคือ ไม่ว่าเราจะรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์มากมายแค่ไหน มีแค่เฉพาะส่วนที่ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมได้เท่านั้นที่จะถูกนำ ไปใช้ ประโยชน์ได้จริง ดังคำที่ว่า "You are what you absorbed"

ความจริงของระบบย่อยที่คุณต้องรู้

- อาหารต่างชนิดกัน ใช้เวลาในการย่อยแตกต่างกัน ร่างกายจะทำการย่อยได้ดีที่สุดเมื่อเรารับประทานอาหารที่ใช้เวลาในการย่อย ใกล้เคียงกัน หากเรารับประทาน อาหารที่ย่อยช้า เช่น พวกเนื้อสัตว์พร้อมกับอาหารที่ย่อยเร็วอย่างผลไม้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ กว่าที่เนื้อจะย่อยหมดซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 6-8 ชั่วโมง ผลไม้ก็จะเกิดการเน่า เปื่อย เกิดแก๊ส แอลกอฮอล์ สารพิษและตามมาด้วยอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

-อาหารต่างชนิดกัน ต้องการน้ำย่อยที่แตกต่างกันในการย่อย บ้างต้องการน้ำย่อยที่มีความเป็นกรด บ้างต้องการน้ำย่อยที่มีความเป็นด่าง หากน้ำย่อยที่เป็นกรดและด่างมา เจอกันก็กลายเป็นกลางและทำให้สูญเสีย ประสิทธิภาพในการย่อยไป

อธิบายง่ายๆ ได้ว่า สมมติว่า กระเพาะของเราเป็นแก้วบีกเกอร์ เมื่อกิน "โปรตีน" เช่น เนื้อวัว ปลา ไก่ ไข่ และผลิตภัณฑ์นมเนยลงไป ปากจะส่งสัญญาณไปที่สมองให้ หลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาพเป็น "กรด" ออกมาย่อยโปรตีน แต่เมื่อเรากิน "แป้งหรือคาร์โบไฮเดรต" เช่น ขนมปัง มันฝรั่ง ข้าว เค้ก และขนมหวานต่างๆ ปากจะส่งสัญญาณให้ หลั่งน้ำย่อยที่เป็น "ด่าง" เพื่อย่อยอาหารประเภทแป้ง ตามหลักวิทยาศาสตร์เคมี "เมื่อกรดและด่างอยู่ด้วยกันจะกลายสภาพเป็น กลาง ดังนั้น เมื่อเรากินโปรตีนและแป้ง ด้วยกัน สภาพในทางเดินอาหารจะเป็นกลาง อาหารจึงย่อยได้ไม่สมบูรณ์ เกิดปัญหาตามมาเพราะเมื่ออาหารไม่ย่อย ร่างกายก็ไม่ได้รับสารอาหารที่ควรอย่างเต็มที่ และ เมื่ออาหารตกอยู่ในสภาพที่ไม่ถูกย่อยทันทีและถูกทิ้งไว้นานๆ ก็เกิดการบูดเน่า เกิดแก๊ส และสารพิษต่างๆ จากแบคทีเรีย

ข้อดีของ Food Combining
การกินแบบนี้ ไม่จำกัดทางเลือกอาหาร แต่จำกัดว่า ควรกินอะไรด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของร่างกาย การกินแบบ Food Combining นั้น ดีต่อสุขภาพ ไม่เหมือนการ ไดเอตแบบจำกัดอาหาร หลายคนที่ลองวิธีนี้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกสบายท้องขึ้น อาการมีแก๊สแน่น เรอเหม็นเปรี้ยวและท้องผูกค่อยๆ หายไป บ้างก็ว่า น้ำหนักลดลง

กฎ 9 ข้อในการกินอาหารผสมแบบ สุขวิทยา ธรรมชาติ (The Nine Rules Of Natural Hygiene Food combining)

1. อย่ากินอาหารที่มีโปรตีนเป็นหลัก ร่วมกับ อาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ในมื้อเดียวกันผู้พันแบรดฟรอดและเหล่าลามะ เน้นหลักในการกินอาหาร ข้อนี้มาก ทำไมนะ หรือ ก็เพราะโปรตีนจะย่อยได้ดี กระเพาะอาหารต้องผลิตกรดออกมาเป็นจำนวนมาก แต่กรดนี้จะไปทำลาย เอ็นไซม์ Salivary amylase ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้แป้งย่อยได้ดี ดังนั้น โปรตีนและแป้งคาร์โบไฮเดรต ไม่ควรที่จะย่อยในเวลาเดียวกัน นั่นหมายความว่า ไม่ควรจะมีมื้ออาหารที่ประกอบด้วย เนื้อ (Meat) และมันฝรั่ง (Potato) ใช่ไหม คำตอบ คือ ใช่แล้ว ถ้าท่านต้องการการย่อยที่ดีและมีประสิทธิภาพ และจะได้สุขภาพที่ดีด้วย

2. อย่ากิน อาหารพวกคาร์โบไฮเดรต กับ อาหารที่เป็นกรด ในมื้อเดียวกัน (อธิบายเหตุผลเช่นเดียวกับข้อ 1 )

3. อย่ากิน อาหารที่เป็นโปรตีนเป็นหลัก 2 ชนิดในมื้อเดียวกัน เพราะโปรตีนที่ต่างชนิดกันต้องการเวลาในการย่อยที่ต่างกัน และใช้สภาวะน้ำย่อยที่ต่างกันในการย่อย ร่าง กายต้องทำงานหนักมากแม้ในการย่อยโปรตีนเพียงชนิดเดียว การย่อยโปรตีนมากกว่า 1 ชนิด บังคับให้ร่างกายต้องทำงานหนักเกินไป และสูญเสียพลังงานในการย่อย ด้วย การบริโภคโปรตีนชนิดเดียวใน 1 มื้อ คุณจะประหยัดพลังงานในการย่อย และหลีกเลี่ยงการอ่อนล้าโดยไม่จำเป็น

4. อย่ากิน ผลไม้ที่เป็นกรด (Acid Fruits) กับโปรตีน เพราะเอ็นไซม์ Pepsin ซึ่งจำเป็นในการย่อยโปรตีน จะถูกทำลายโดยกรดทั่ว ๆ ไปเป็นส่วนมาก รวมทั้งกรดจากผล ไม้เหล่านี้ด้วย (ส้ม, ส้มโอ, มะนาว ฯลฯ) Pepsin จะยังทำงานได้กับกรดไฮโดรคลอริก (Hydrochloric Acid) เท่านั้น

5. อย่ากิน ไขมัน ร่วมกับ โปรตีน เพราะไขมันจะไปขัดขวางการไหลของน้ำย่อยในกระเพาะ และ รบกวนการย่อยโปรตีน

6. อย่ากิน คาร์โบไฮเดรต และ น้ำตาล (Sugars) ด้วยกัน เมื่อเรากินแป้งกับน้ำตาลด้วยกัน ร่างกายจะย่อย น้ำตาลก่อน น้ำตาลจะเกิดการหมักในกระเพาะอาหาร และ สร้างกรด ซึ่งทำลายเอ็นไซม์ Salivary Amylase ซึ่งจำเป็นสำหรับการย่อยคาร์โบไฮเดรต ถ้าคุณต้องทนทุกข์จากอาหารไม่ย่อย เมื่อคุณกินผลไม้ และ ซีเรียล (Cereal ) ในตอนเช้า ตอนนี้คุณคงรู้เหตุผลแล้ว และทำอย่างไรจึงจะป้องกันปัญหานี้ได้ กินผลไม้เฉพาะผลไม้เท่านั้น ไม่รวมกับคาร์โบไฮเดรต และให้ร่างกายย่อยน้ำตาลธรรมชาติ เหล่านี้เพื่อป้องกันการหมักเน่า อันเนื่องมาจากการผสมกันของน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรต

7. อย่ากินโปรตีน และน้ำตาล (Sugars) ด้วยกัน น้ำตาลยังคงรบกวนการย่อยโปรตีน โดยการขัดขวางการหลั่งของน้ำย่อย จะเกิดการหมักเน่าขึ้นเพราะน้ำตาลจะถูกย่อย หลังโปรตีน และในระหว่างการย่อยอันยาวนานของโปรตีน น้ำตาลจะตกค้างรออยู่ในกระเพาะเพื่อรอให้โปรตีนย่อยเสร็จ

8. อย่ากิน แตงมีน้ำ (Melon) กับอาหารชนิดอื่น ๆ ร่างกายย่อย Melon เช่น แตงโมเร็วมาก กินมันในตอนเริ่มต้นของมื้ออาหาร หรือกินเฉพาะพวกมัน มันจะเคลื่อนผ่าน ขบวนการย่อยเร็วมาก ตลอดชีวิตของผม ผมจะหลีกเลี่ยงการกินแตงโมและแคนตาลูพ (Cantaloupe) ผสมกัน เพราะมันทำให้กระเพาะเกร็งและเกิดแก๊ส ผมกินแตง เพียงชนิดเดียวในแต่ละมื้อ หวานสดชื่นและย่อยง่าย

9. หลีกเลี่ยงนมและผลิตภัณฑ์จากนม แต่ถ้าต้องบริโภค อย่ากินกับอาหารชนิดอื่น มีเพียงเด็กทารกเท่านั้นที่มีเอ็นไซม์ Rennin ในปริมาณที่พอเพียง สำหรับการย่อยนม นักสุขวิทยารวมทั้งแพทย์หลายคนกล่าวว่า ให้กำจัดนมและผลิตภัณฑ์นมออกจากเมนูอาหาร การหายไปของเอ็นไซม์ชนิดนี้ในผู้ใหญ่ ทำให้นมไม่ย่อย หรือย่อยยาก ก่อ ให้เกิดปฏิกิริยา ภูมิแพ้ในหลายด้าน นอกจากนี้ นมไม่ควรกินรวมกับอาหารชนิดอื่น เพราะมันประกอบด้วยโปรตีน และไขมันสูง

ทำอย่างไรจะใช้คำแนะนำของผ้พันแบรดฟอร์ด เพื่อให้ผลดียิ่งขึ้น How Colonel Bradford’s Advice Stacks up
ถ้าคุณลองเปรียบเทียบหลักการกินอาหารที่ผู้พันแบรดฟอร์ดได้รับคำแนะนำจาก เหล่าลามะกับหลักของ “เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์สุขวิทยาธรรมชาติ” (Time Proven Teaching of Natural Hygiene) แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในบางเรื่อง เราลองมาสำรวจดูกันอีกครั้งหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น ผู้พันกล่าวว่า “มันก็ OK นะ สำหรับมื้ออาหารที่มีแต่เนื้อ ถ้าคุณต้องการคุณกินเนื้อหลายชนิดในหนึ่งมื้อและยังสามารถกินเนยเหลว (butter) ,ไข่ (Eggs) และชีส (Cheese) กับอาหารมื้อที่เป็นเนื้อได้ หรือขนมปังเข้ม (Dark Bread) และดื่มน้ำชา & กาแฟ ในระดับพอดี แต่คุณต้องไม่ตบท้ายด้วยอาหารหวานหรือพวกแป้ง พาย ขนมเค้ก หรือขนมพุดดิ้ง

 เห็นได้ชัดว่า นักสุขวิทยาธรรมชาติ จะไม่แนะนำให้คุณกินอาหารในมี้อที่มีเฉพาะเนื้อเท่านั้น (จากการวิจัยสมัยใหม่ทางการแพทย์) พบว่า มีโปรตีนมากเกินไปในอาหารที่ เป็นเนื้อส่วนใหญ่ (Overload Protein) และนำมาซึ่งปัญหามากมาย และที่เพิ่มเติมคือ ถ้าเรากินขนมปังกับโปรตีน ในบางคนเกิดการหมักบูด ก่อให้เกิดแก๊ส และไม่ สบายท้อง ในตอนแรกผู้พันแบรดฟอร์ด ได้แนะนำให้กินอาหารชนิดเดียว (Single Food) ในหนึ่งมื้อ ซึ่งเราก็ได้เห็นความจริงนี้ใน Paragraph แรกแล้ว เป็นหลักฐานว่า ที่ เขาอนุญาตให้กินแบบนี้เพื่ออะลุ่มอล่วยในกับคนผู้ที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติใน การควบคุมอาหาร

ผู้พันอนุญาตให้ดื่มนม ชา และกาแฟได้ นี่ยังคงเป็นการอะลุ่มอล่วย ให้กับผู้เริ่มต้น หลักสุขวิทยาธรรมชาติแนะนำเราว่า สุขภาพจะดีกว่า ถ้าเราตัดสิ่งเหล่านี้ออกจาก อาหารของเรา ชาและกาแฟ ประกอบด้วยอัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซึ่งเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ และ นมฆ่าเชื้อ (พาสเจอร์ไรด์) มีส่วนประกอบของโปรตีนเรียกว่า CASEIN เคซีอีน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับที่ใช้ผลิตกาวไม้ที่แข็งมาก ท่านเคยประหลาดใจไหมว่าเมื่อกิน Cheese หรือ ไอศกรีมมาก ๆ แล้วคุณท้องผูกในวันต่อมา และทำให้คุณต้องพึ่งพายาระบายอย่างมาก และตอนนี้คุณก็รู้สาเหตุแล้ว

ขออภัย กับสิ่งที่เรานำเสนอ อาจจะตรงกันข้าม กับสิ่งที่บริษัทอุตสาหกรรมนม ยักษ์ใหญ่ ได้โฆษณาไว้ซึ่งอาจทำให้คุณเชื่อ แต่ที่จริงแล้ว นมไม่ได้ทำให้ร่างกายดีขึ้นเลย ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมมีประสบการณ์ที่มีริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) เรื้อรังมานาน มันได้หายไปหลังจากผมเลิกดื่มนมและผลิตภัณฑ์นม (คำแนะนำนี้ได้จากหมอผ่าตัดลำ ไส้ใหญ่) ถ้าคุณยังไม่เชื่อด้วยหลักฐานเหตุการณ์นี้ กรุณาไปตามห้องสมุดและอ่านการวิจัยทางการแพทย์ที่ผ่านมาตลอด 20 ปี ซึ่งได้พิสูจน์อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า เราไม่ ควรดื่มนมโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้ผู้พันไม่ได้พูดถึงเกี่ยวกับการดื่มเครื่องดื่มในมื้ออาหาร (อย่างอื่นนอกจาก ชา กาแฟ) คนโดยทั่ว ๆ ไปในวัฒนธรรมของเราจะบริโภคเครื่องดื่ม ในแต่ละมื้ออาหาร ด้วย ส่วนหลักของ Natural Hygiene แนะนำว่าไม่ควรดื่มอะไรระหว่างการกิน เพราะมันจะไปเจือจางเอ็นไซม์ และกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร ถ้าคุณดื่มเครื่องดื่มระหว่างการกินเท่ากับคุณขัดขวางการย่อยอันสมบูรณ์แบบ ไป นักวิจัยสมัยใหม่โต้แย้งความเห็นนี้ แต่พวกที่ปฏิบัติตามหลักไม่ดื่มอะไรในมื้ออาหาร ได้พบว่าระบบการย่อยมันทำงานได้อย่างดีขึ้น

แทนที่จะเชื่อการวิจัย คุณควรเชื่อตัวเอง โดยลองทดสอบด้วยตัวคุณเองว่าแบบใดดีที่สุดสำหรับคุณ

ผู้พันแบรดฟอร์ดได้ยกย่องการกินไข่ดิบและเราได้พิจารณาแล้วว่าไข่ แดงคือ โปรตีนที่ดีที่สุดที่มีอยู่ แต่ทุกวันนี้ในตลาดไข่เกือบทั้งหมด มี “แบคทีเรีย salmonella อยู่ ดังนั้นเราไม่แนะนำการกินไข่แดงดิบ (raw egg yolks) ควรต้มอ่อน ๆ หรือลวก โดยการต้มน้ำจนเดือดแล้วปิดไฟ หย่อนไข่ลงในน้ำเดือด 3 นาที แล้วนำออก กินเฉพาะ ไข่แดง ทิ้งไข่ขาวไป ยกเว้นคุณเป็นนักกีฬาหรือเป็นพวกใช้แรงงานหนัก

มีการอ้างว่า การกินไข่แดง สนับสนุน การทำงานของสมอง และทำให้ร่างกายดีขึ้น ผู้พันแบรดฟอร์ด เห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เราลองมาทบทวนคำแนะนำของเขาที่ พูดว่า “ผมรู้ว่าไข่แดงของไก่มีโภชนาการมาก แต่ผมได้รู้คุณค่าที่แท้จริงของมัน หลังจากได้คุยกับชาวตะวันตกในอารามนั้น ผู้มีความรู้ด้าน biochemistry เขาบอกผมว่า ไข่ไก่ธรรมดาประกอบไปด้วยกว่าครึ่งของธาตุที่เป็นที่ต้องการของสมอง ระบบประสาท และอวัยวะในร่างกาย มันเป็นความจริงที่ว่า จำนวนที่ต้องการนั้นมีจำนวนน้อย แต่ ไข่ ก็ยังต้องมีในเมนูอาหาร ถ้าคุณต้องการเป็นคนแข็งแรง ถ้ายังมีมีสุขภาพดีทั้งใจและกาย

และผู้พันแบรดฟอร์ดได้ให้คำแนะนำอันยอดเยี่ยมเมื่อได้บอกถึงการ เคี้ยวอาหาร ให้ละเอียดทั่วถึง นักสุขวิทยาได้สอนเราให้เคี้ยวอาหารจนกว่าจะเป็นของเหลวก่อนการ กลืน Abbe spallazani (1729 – 1799) ผู้อยู่ในยุคเริ่มแรกที่เป็นผู้สังเกตถึงการย่อยในกระเพาะอาหารได้พบว่า ลูกเชอร์รี่ องุ่น เมื่อกลืนทั้งผลโดยไม่เคี้ยว (ถึงแม้จะสุก แล้ว) มันจะผ่านจากร่างกายสู่คอห่าน (ส้วม) โดยมีสภาพเหมือนเดิม การสังเกตอันยิ่งใหญ่นี้ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญอย่างใหญ่หลวงของการเคี้ยวอาหารก่อนกลืนกิน ท่านจะสามารถดูดซึมอาหารได้เฉพาะอาหารที่ถูกเคี้ยวจนเหลว

การกินแบบเรียงลำดับ คือหลักการกินอาหารรวมกันขั้นสูงสุด (Sequential Eating : The Ultimate in Food Combining)

คุณจะเห็นว่า การปฏิบัติตามหลักของ Food Combining จะช่วยพัฒนาการทำงานของระบบการย่อย และ สุขภาพโดยรวมอย่างชัดเจน แต่ถ้าคุณต้องการจะพัฒนาไปอีก ขั้นหนึ่ง และให้ได้ประสิทธิภาพในการย่อยมากขึ้น รวมทั้งสุขภาพที่ดีเยี่ยมเพิ่มขึ้นอีก คุณคงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ การกินแบบเรียงลำดับ(Sequential Eating) หรือที่เรา เรียก “การกินตามหลัก Food Combining ขั้นสุดยอด พลังงานที่ใช้ในการย่อยจะถูกใช้อย่างประหยัด โดยการกินแบบนี้ ใช้เพื่อการรักษาโรคได้ และกำจัดของเสียของ ร่างกาย กำจัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว ส่งผลทางใจและอารมณ์ที่ดี

ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกเล่าเราว่า “เมื่อคุณกินอาหารชนิดหนึ่งเสร็จแล้ว ก่อนที่จะกินอย่างอื่นต่อ (เป็นการกินแบบ Sequential Eating) การย่อยอาหารของคุณจะทำงานใน รูปแบบเป็นชั้น ๆ อาหารแต่ละชนิดถูกย่อยตามลำดับที่ถูกกินเข้าไป และเอ็นไซม์เฉพาะ ที่ใช้ในการย่อยอาหาร ที่เหมาะสมสำหรับอาหารแต่ละประเภท จะหลั่งมาย่อยใน อาหารแต่ละชั้นโดยไม่รบกวนกัน (กลับไปดูหัวข้อรางวัลของการกินอาหารที่เหมาะสมตามหลัก Food Combining) ถ้าคุณกินเรียงลำดับได้อย่างถูกต้อง การย่อยอาหาร ของคุณจะเสร็จสิ้นในเวลา ไม่นาน ทำให้ปราศจากความอึดอัดอีกต่อไป

เมื่อมีคนไข้มาหาผม (Dr Bass) ด้วยปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ปวดหรือเจ็บกระเพาะอาหาร มีแก๊สมาก การหดตัว การเจ็บกระเพาะ ท้องผูก ท้องร่วง ผมมักจะแนะนำ เขาว่าให้เลิกกินอาหารที่กินตามธรรมดานิยมทั่วไปเสีย แล้วหันมากินอาหารที่มีคุณค่า ผมบอกเขาให้หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการปรุงมาแล้ว หรืออาหารสำเร็จรูป ของกิน เล่น และให้มากินพวกผักสดเป็นหลัก , Nuts เมล็ดพืช และผลไม้ แต่คนไข้บางคนก็ปฏิเสธที่จะกินอาหารแบบนี้ เขาเคยชินกับการกินแบบเดิม ๆ แทนที่จะปล่อยทิ้ง พวก เขาไปเลย เหมือนกับเป็น Case ช่วยไม่ได้แล้ว ผมแนะนำให้พวกเขาเริ่มต้น การเปลี่ยนลำดับการกินอหารของเขา ภายในหนึ่งสัปดาห์ ปัญหาเกี่ยวกับการป่วยของคนไข้ เหล่านี้หมดไป คุณคงจะจินตนาการได้ว่า พวกเขาจะมีความสุขแค่ไหนกับผลของมัน หลังจากได้พบกับ พัฒนาการของการย่อยอันวิเศษนี้ และคนไข้หลายคนเริ่มหันมา เปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาการกินอาหารของพวกเขาเพิ่มขึ้น

ผมได้ปรับการกินอาหารของคนไข้ให้เข้มข้นขึ้น และพวกเขาดูตั้งใจ และสามารถที่จะทำตามคำแนะนำของผมได้ หลักพื้นฐานของผมคือ การกินเรียงลำดับที่เหมาะสม คนไข้คนหนึ่งได้พบว่าการย่อยของเขาดีขึ้น การดูดซึมคุณค่าทางอาหารดีขึ้น และความรู้สึกก็ดีขึ้น เป็นผลมาจากการกินแบบเรียงลำดับ เขาเหล่านั้น ตอนนี้เต็มใจที่จะ เปลี่ยนแปลงมากินอาหารที่มีคุณค่าแล้วเช่นกัน

น้ำหนักลด คือผลที่ได้ตามมา ของการกินแบบเรียงลำดับ ซึ่งจะทำให้ส่วนเกินละลายออกไปอย่างรวดเร็ว ลองคิดดูซิว่า ในหนึ่งคำประกอบด้วยอาหารหลากหลายนิด ขณะที่ความต้องการอาหารของร่างกายยังคงที่ และ สิ่งนี้นำไปสู่การได้อาหารเกินความต้องการของร่างกาย ด้วยการกินแบบเรียงลำดับ แม้คุณจะอยู่กับสังคมปกติทั่วไป มีการควบคุมอาหารที่ยาก คุณก็ยังมีน้ำหนักที่ลดลง เพราะคุณจะกินน้อยลงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

หลักการกินแบบเรียงลำดับโดยสรุป (The Principle of Sequential Eating Summarized)

มัน อาจจะเป็นความ เห็นที่ขัดแย้งกับความเข้าใจทั่ว ๆ ไป คือ อาหารแต่ละอย่างที่กินจะไม่ผสมผสานกันในกระเพาะ ถ้าเราไม่กินมันรวมกันในคราวเดียว เมื่อคุณกิน อาหารชนิดหนึ่งในขณะหนึ่ง มันจะอยู่ในกระเพาะเป็นชั้นหนึ่ง และมันจะถูกย่อยในชั้นของอาหารนั้น

หนังสือของ Dr William Howell ชื่อ Textbook of Physiology เราได้เรียนรู้ว่านักวิจัยชาวยุโรปซึ่ง Dr Grutzner ประสบผลสำเร็จโดยการทดลองให้อาหารแก่หนูแต่ละคำ ด้วยสีของอาหารที่แตกต่างกันในแต่ละคำอาหาร หลังจากนั้นไม่นานหนูก็สังเวยชีวิตให้กับการทดลองกระเพาะที่ถูกแช่แข็ง ถูกผ่าซึกออก อาหารที่อยู่ในกระเพาะมีสภาพ เป็นชั้น ๆ ของสีอาหารที่ถูกกินเข้าไป

อีกกรณีที่โด่งดังมากในการยืนยันการป่วย แบบเป็นชั้น ๆ ถูกเขียนในระหว่างสงครามกลางเมืองของอเมริกา โดยแพทย์ที่มีชื่อเสียงชื่อ Dr Beaumont โดยมีทหารถูกยิง บริเวณท้อง แผลเปิดกว้างที่กระเพาะอาหาร จนทำให้เห็นการทำงานของการย่อย แพทย์หลายคนได้มาศึกษา ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และเหล่าแพทย์ได้สังเกตพบว่าการ ย่อยของเขา เป็นการย่อยแบบตามลำดับชั้น

ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ด้วยตัวเอง ลองกินสิ่งต่อไปนี้ตามลำดับ แตงโม, สลัด, ชีส กินแต่ละอย่างให้เสร็จสิ้นเป็นอย่าง ๆ และเมื่อถึงเวลาถ่ายทุกข์ ให้สังเกตในส้วม ถึงสี ของอุจจาระที่ถ่ายออกมา แตงโม สีแดงๆ จะออกมาก่อน ตามลำดับ สีน้ำตาลเข้มของสลัด ส่วน ชีส สีออกสีแทนจาง ๆ จะออกมาหลังสุด ของเสีย จะออกมาตามลำดับ ของการกิน ใคร ๆ ก็สามารถทดสอบแบบนี้ได้ แต่คุณต้องกินเรียงลำดับอาหารตามที่กล่าวมาแล้ว

เมื่อคุณกินอาหาร การย่อยของคุณจะเริ่มในกระเพาะ แตกต่างกัน ในแต่ละชั้น การหลั่งเอนไซม์ช่วยย่อยจากผนังกระเพาะ จะต่างกันในแต่ละชั้นเป็นผลให้อาหารทั้งหมด ถูกย่อยอย่างมีประสิทธิภาพมาก ขึ้น ผมจะบอก กุญแจดอกสำคัญของการกินของ Natural Hygiene คือ “กินอาหารที่เหลวหรือมีน้ำมากที่สุดก่อน ตามด้วยอาหารเหลว หรือมีน้ำรองลงมาตามลำดับ จนจบ ด้วยอาหารที่มีน้ำน้อยและเข้มข้นที่สุดเป็นชนิดสุดท้าย อย่ากลับลำดับการกินเป็นอันขาด” แนวความคิด ของการกินแบบเรียงลำดับได้เสริมคำแนะนำของ ผู้พันแบรดฟอร์ด เมื่อคุณกินอาหารตามลำดับก็เปรียบเสมือนคุณกินอาหารเพียงอย่างเดียวในหนึ่ง มื้อ ตามที่ผู้พันแบรดฟอร์ดได้แนะนำ (ใช้เวลาในการย่อยเท่ากัน) สัตว์โลกทั้งหลายที่กินอาหารเพียงชนิดเดียวมีอยู่มากมายได้รับประโยชน์สูง สุดจากการย่อยที่เรียบง่าย

Food Combining Tips

1. ไม่ควรกินแตงร่วมกับผลไม้ชนิดอื่น เพราะผลไม้ประเภทแตง เช่น แตงโม แตงไทย แคนตาลูป ย่อยเร็วมาก กินกับผลไม้อื่น อาจมีปัญหาแก๊สได้
2. ไม่ควรกินผลไม้ที่เป็นกรดร่วมกับผลไม้หวานจัด เช่น กล้วยหอม อินทผลัม หรือลูกเกด
3. เลี่ยงการดื่มโซดาหรือน้ำอัดลม ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รบกวนการย่อยอาหารอย่างมาก
4. ไม่ควรกินข้าวคำน้ำคำ น้ำย่อยจะเจือจาง ทำให้ย่อยไม่เต็มประสิทธิภาพหากต้องดื่มน้ำขณะกินอาหารควรจิบเพียงเล็กน้อย
5. เว้นระยะห่างแต่ละมื้อสามชั่วโมง รอให้อาหารแต่ละประเภทที่ยอยเสร็จย้ายจากกระเพาะอาหารไปสู่ที่อื่น แล้วค่อยกินมื้อต่อไป จะรู้สึกสบายท้องมากขึ้น

- ห้ามกินโปรตีนร่วมกับแป้งเด็ดขาด เพราะทั้งสองชนิดไม่สามารถย่อยร่วมกันได้
- กินผลไม้เดี่ยวๆ ในขณะท้องว่าง หากกินร่วมกับอาหารอื่นที่ย่อยยาก ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ
- กินโปรตีนและไขมันร่วมกับผักเท่านั้นเป็นการกินหมวดโปรตีนกับไขมัน
- กินแป้งร่วมกับผักเท่านั้นเป็นการกินหมวดคาร์โบไฮเดรต
- ไขมันและน้ำมันผสมได้กับทุกอย่างยกเว้นผลไม้ ใช้น้ำมันเท่าที่จำเป็นเพื่อลดการก่อกวนระบบการย่อย
- กินผักหรือผลไม้ให้ได้วันละห้าสี อย่างเช่น แครอท กะหล่ำปลีสีม่วง ฟักทอง ผักกาดขาว ผักใบเขียว

สรุปผลลัพธ์สุขภาพที่ดี ที่ท่านจะชื่นชอบ จากการปฏิบัติหลักการกินอาหารร่วมกัน

1. ขบวนการย่อยอาหารดีขึ้น (Improved Digestion) ถ้าคุณทำตามหลักการ Food Combining (จะกล่าวถึงต่อไป) การย่อยของคุณจะดีขึ้นอย่างชัดเจน ในไม่กี่วัน ปัญหาเรื่องแก๊ส, เจ็บกระเพาะ, อาการเสียดท้อง และ อาการท้องผูกที่รบกวนคุณ เป็นเวลาหลายๆปี จะถูกปรับปรุงแก้ไข และหายไปในที่สุด มีหลายคนกล่าวว่า ไม่ สามารถทำตามหลัก Food Combining ได้ มันยากเกินไปที่จะปฏิบัติตาม เราบอกเขาเหล่านั้นว่า ให้ลองสักอาทิตย์เพื่อเป็นการทดลอง เรามั่นใจว่าเขาจะต้องพอใจ กับ การย่อยที่ดีขึ้น และจะกินตามหลักFood Combining โดยไม่หวนกลับไปกินแบบเดิมอีกเลย

2. น้ำหนักลด (Weight Loss) เมื่อคุณกินอาหารอย่างถูกหลัก คุณจะเห็นความก้าวหน้าของสรีระ ในกระจกห้องน้ำของคุณทุกวัน เพราะ น้ำหนักส่วนเกิน, ตะโพกอันใหญ่, เนื้อใต้แขนที่กระเพื่อม, รอยพับย่นของไขมันใต้ผิวหนัง จะถูกเผาไหม้ออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการนี้ จะชื่นชอบกับการที่ น้ำหนัก 3-5 ปอนด์ลดลง เกิด จากไขมันที่หายไปไม่ใช่น้ำในตัวที่หายไป และจะเห็นผลในแต่ละสัปดาห์ อย่างเช่น ผมเคยมีน้ำหนักตัวถึง 192 ปอนด์ ด้วยความสูง 5 ฟุต 7 นิ้ว และมันได้ลงมาอยู่ใน ระดับที่สบายๆ คือ 142 ปอนด์ ใน 4 เดือนแรก หลังจากผมได้หันมากินตามหลัก Food Combining และใช้ชีวิตตามหลักการ Natural Hygiene เนื่องจากการย่อยที่ดีขึ้น ทำให้ร่างกายไม่ต้องการน้ำมากเพื่อทำความสะอาด เซลในตัว และร่างกายก็จะไม่บวม อันเกิดจากของเหลวคั่งค้าง คุณจะดูผอม และ เพรียวขึ้น เพราะคุณจะกินอาหารน้อยลงเมื่อคุณกินอาหารแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม จำนวนแคลลอรี่ที่กินเข้าไปจะลดลง ร่างกายจะมีความต้องการอาหารที่น้อยลง เพราะร่าง กายจะดูดซึม และมีความสามารถในการใช้คุณค่าโภชนาหารได้มากขึ้น
นอกจากนี้ คุณยังประหยัดเงินได้เพิ่มขึ้น เพราะคุณจะกินอิ่มด้วยจำนวนอาหารที่ลดลง และที่สำคัญ คือ คุณยิ่งกินน้อยเท่าไหร่ คุณจะมีอายุยืนมากขึ้นเท่านั้น(The less you eat The longer you will live)
มันจะมีผลกระทบ อันเกิดจากความเหนื่อยล้า และ บอบช้ำ จากการย่อยอาหาร น้อยลง ดังเช่น ลุยจิ คอร์นาโด Luigi Cornado ขุนนางชั้นสูงและเป็นนักเขียน ชาวอิตาลี ในศตวรรษที่ 14 ผู้มีอายุยืนถึง 102 ปี เขากินอาหารแค่วันละ 2 มื้อ โดยกินอาหารหนัก 12 ounces และน้ำองุ่น 14 ounces ต่อมื้อเท่านั้น เพราะเขากินส่วนผสมของ อาหารได้อย่างถูกหลัก และ สงวนพลังงานที่ใช้ในการย่อยได้อย่างดีเยี่ยม เขาเริ่มปฏิบัติ ตั้งแต่ อายุ 35 ปี เริ่มดูแลสุขภาพ และใช้ชีวิตอย่างไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว คุณ หมอประจำตัวเคยบอกเขาว่า คุณต้องดำเนินชีวิตอย่างมีสติ หรือไม่คุณอาจจะตายได้ เขารับคำแนะนำของหมอ และ กลายมาเป็นนักเขียนผู้มีสุขภาพดีตลอดเวลา

3. มีพลังเพิ่มขึ้น(Energy Gain) เมื่อคุณผสมผสานอาหารในการกินได้อย่างเหมาะสม ร่างกายของคุณไม่ต้องสิ้นเปลือง พลังงานมากมาย ในขบวนการย่อย เป็นผลทำให้ คุณจะรับรู้ได้ถึง ระดับของพลังงานในตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าฉงน

4. สุขภาพโดยทั่วไปดีขึ้น(Overall good Health) คุณจะรู้สึกตื่นตัวและสดชื่น จากการที่ระบบย่อยได้พักไม่ต้องทำงานหนัก เป็นผลมาจาก ส่วนผสมของอาหารที่ถูกย่อย เหมาะสม คุณจะรู้สึกดีขึ้น และตื่นตัว และความต้องการในการนอนน้อยลง อารมณ์จะร่าเริง เพราะคุณได้หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการขัดแย้งในระบบการย่อย ซึ่งส่ง ผลให้มีสติความรู้ตัวดี และแน่นอนคุณจะมีความสุขขึ้นด้วย

การจัดประเภทของอาหารเพื่อการบริโภคที่ถูกหลัก (Food Classification for Proper Food Combining)

การจัดประเภทของอาหารต่อไปนี้ เป็นแนวทางให้คุณเรียนรู้ ที่จะกินอาหารรวมกันได้อย่างเหมาะสม และช่วยวางแผนการกินอาหารแต่ละมื้อ ที่ดีต่อสุขภาพ เวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารทั่วๆไป ประกอบการกินอาหารแต่ละประเภทเข้าสู่ร่างกาย

โปรตีน (Proteins)
ผลไม้เปลือกแข็ง(nuts), เมล็ดพืช(seeds), ถั่วแห้ง(dried bean,pea), ถั่วฝักยาว(lentils), ถั่วลิสง(peanuts), ถั่วเหลือง(soybeans), เม็ดทานตะวัน(sunflower sprouts), ไข่(eggs), ชีส(cheese), เนื้อสัตว์(fish,poultry,meat), นม(milk) *ไม่แนะนำให้กิน นม และ ผลิตภัณฑ์นม

แป้งคาร์โบไฮเดรต(Starches)
มันฝรั่ง(potato, sweet potato), มันเทศ มันแกว(yam), ข้าวและธัญพืช(grains), ลูกเกาลัด(chestnuts), อาหารแป้งเคล้าไข่(pasta), ขนมปัง(bread), มะพร้าว(coconut), พืชที่เป็นฝัก legume, ถั่วเป็นฝักแบน(lima bean), อาหารแป้ง ข้าวโพด, แตงน้ำเต้า(winter squash), ฟักทอง(pumpkins), พืชรากขาว ใหญ่(parsnip), ผัก salsify, ผัก artichoke

ไขมัน (Fats)
ผลอาโวคาโด(avocadoa), น้ำมันมะกอก(olives), เมล็ดพืช(seeds & nuts), ผักที่มีไขมัน(vegetable oils), ถั่วลิสง(peanuts), ถั่วเหลือง(soybeans), น้ำมันหมู(lard), เนยเทียม(magarine), เนยเหลว(butter), ครีม(cream) :ไม่แนะนำให้กินผลิตภัณฑ์ นม

ผักที่มีแป้งน้อย หรือ ไม่มีแป้งเลย (Low & Non-starchy Vegetable)
ผักชี, ขึ้นฉ่าย (celery), กะหล่ำปลี, ผักคะน้า (Chinese cabbage), ต้นกะหล่ำดอก (cauliflower), ต้นกระเปาะกลม (kohlrabi), มะเขือสีม่วง (eggplant), หอม หัว ใหญ่(onion), ถั่วเขียว (green beans), พืชคล้ายกะหล่ำ (Brussels) แตงกวา,แตงร้าน (Cucumber), แตงน้ำเต้า (Summer squash), พริกไทยหวาน (Sweet pepper) , หน่อไม้ฝรั่ง (asparagus), พืชมีรากใหญ่สีแดง(beets), กระเทียม (garlic), ถั่วหวาน (Sweet peas), กะหล่ำใบ (Collard), กะหล่ำสี (broccoli), แครอท (carrots), ผักขม (spinach), ข้าวโพดหวาน (Sweet corn), ผักตระกูลคะน้า(kale) Box choy, หัวผักกาด (turnip), พืชตะกูลถั่วมีฟัก (alfalfa sprouts), ผักกาดหอม (Lettuce)

น้ำมัน, เนย , ไขมัน ( Oil, Butter, Fat)
น้ำมันมะกอก (olive oil) หรือ น้ำมัน อาจถูกใส่เพิ่มเติมลงในสลัดผัก, ผักนึ่ง, หรืออาหารอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ใช้ เนยเหลว (Butter) , ใส่เกลือ หรือไม่ใส่ดีกว่า ผลิตภัณฑ์นมไม่แนะนำให้กิน แต่ถ้าต้องกิน ควรไม่เกิน 1 -2 ช้อนโต๊ะ สำหรับ เนย (Butter) ส่วน ไขมัน ไม่เกิน 1 Ounces

การเลือกรับประทานอาหารตามหลัก "Food Combining" ข้างต้น อาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากต่อใครหลายๆ คนหรืออาจจะไม่ได้ผลสำหรับบางคน อย่างไรก็ตามสิบปากว่าไม่

เท่าตาเห็น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อบ่อยๆ หรือขาดสารอาหารทั้งที่คุณเองก็คิดว่าคุณเป็นคนที่ "กินดี" ก็คงไม่เสียหายหากจะลองนำไประวังและ ปฏิบัติดู เผื่อว่าวันข้างหน้าจะได้เลิกใช้บริการยาลดกรดเสียที จริงมั้ยคะ?

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘