กินคาร์โบไฮเดรตอย่างไร จึงไม่อ้วน
มา ว่ากันด้วยเรื่องคาร์โบไฮเดรตกันต่อนะคะ คราวที่แล้วเราได้พูดกันไปแล้วว่าเราไม่ควรงดอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตซะทีเดียว แต่ก็ยังต้องระวังไม่ให้ทานคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปอยู่ดี แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าเราควรกินคาร์โบไฮเดรตแค่ไหน และประเภทไหนจึงจะไม่อ้วน
คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบไปด้วยโมเลกุลของคาร์บอก ออกซิเจน และไฮโดรเจน คาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงาน 4 แคลอรี่ และคาร์โบไฮเดรตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. คาร์โบไฮเดรตชั้นเดียวหรือโมโนแซกคาไรด์ เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด เมื่อเราทานเข้าไปแล้ว ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการย่อย คาร์โบไฮเดรตนี้ได้แก่ ผลไม้ต่างๆ น้ำตาลต่างๆ เช่นน้ำผึ้ง ไซรัป ลูกอม จะสังเกตได้ว่าเวลาเราท้องเสียหมอมักจะให้ทานกลูโคส ร่างกายจะได้มีพลังงาน และเมื่อดื่มเข้าไปร่างกายก็สดชื่นขึ้นทันที นั่นเพราะว่ากลูโคสก็เป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทนี้นั่นเองค่ะ
2. คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คือคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลซับซ้อน ดังนั้นก่อนที่ร่างกายจะนไปใช้ได้นั้นจะต้องผ่านการย่อยให้เป็นน้ำตาลเชิง เดี่ยวเสียก่อน สังเกตง่ายๆ คาร์โบไฮเดรตประเภทนี้จะไม่มีรสหวาน ละลายน้ำยากหรือไม่ละลาย คาร์โบไฮเดรตประเภทนี้ได้แก่ ธัญพืชต่งๆ เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ถั่วต่างๆ ผักต่างๆ ขนมปัง แป้งต่างๆ เป็นต้น ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนนี้ก็มีทั้งแบบที่มีกากมากและแบบที่มีกากน้อย แบบที่มีกากมากนั้นได้แก่ รากไม้ ใบไม้ ต่างๆ ซึ่งกระเพาะอาหารคนเราไม่สามารถย่อยได้จึงเหมาะสำหรับสัตว์มากกว่า แต่ก็มีอยู่บางชนิดที่กระเพาะคนเราสาารถย่อยได้แต่ต้องใช้เวลานานหน่อยเช่น ผักกระเฉด ยอดสะเดา ยอดมะกอก ผักหวาน ใบขี้เหล็ก ยอดขี้เหล็ก ดอกแค เป็นต้น อาหารประเภทนี้แหละที่คนที่ต้องการลดน้ำหนักให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ส่วนคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแบบที่มีกากน้อยนั้นกระเพาะคนเราสามารถย่อยได้ โดยจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว เพื่อร่างกายนำไปใช้ต่อไป อาหารประเภทนี้ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ กล้วย มะเขือเทศ มันเทศ มันฝรั่ง เป็นต้น อาหารประเภทนี้กากใยต่ำ ร่างกายใช้เวลาน้อยในการย่อยจึงไม่ค่อยอยู่ท้อง จึงไม่ควรทานตอนเย็นเพื่อกระเพาะจะได้ไม่ทำงานหนักในตอนกลางคืน
คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบไปด้วยโมเลกุลของคาร์บอก ออกซิเจน และไฮโดรเจน คาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงาน 4 แคลอรี่ และคาร์โบไฮเดรตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. คาร์โบไฮเดรตชั้นเดียวหรือโมโนแซกคาไรด์ เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด เมื่อเราทานเข้าไปแล้ว ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการย่อย คาร์โบไฮเดรตนี้ได้แก่ ผลไม้ต่างๆ น้ำตาลต่างๆ เช่นน้ำผึ้ง ไซรัป ลูกอม จะสังเกตได้ว่าเวลาเราท้องเสียหมอมักจะให้ทานกลูโคส ร่างกายจะได้มีพลังงาน และเมื่อดื่มเข้าไปร่างกายก็สดชื่นขึ้นทันที นั่นเพราะว่ากลูโคสก็เป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทนี้นั่นเองค่ะ
2. คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คือคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลซับซ้อน ดังนั้นก่อนที่ร่างกายจะนไปใช้ได้นั้นจะต้องผ่านการย่อยให้เป็นน้ำตาลเชิง เดี่ยวเสียก่อน สังเกตง่ายๆ คาร์โบไฮเดรตประเภทนี้จะไม่มีรสหวาน ละลายน้ำยากหรือไม่ละลาย คาร์โบไฮเดรตประเภทนี้ได้แก่ ธัญพืชต่งๆ เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ถั่วต่างๆ ผักต่างๆ ขนมปัง แป้งต่างๆ เป็นต้น ซึ่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนนี้ก็มีทั้งแบบที่มีกากมากและแบบที่มีกากน้อย แบบที่มีกากมากนั้นได้แก่ รากไม้ ใบไม้ ต่างๆ ซึ่งกระเพาะอาหารคนเราไม่สามารถย่อยได้จึงเหมาะสำหรับสัตว์มากกว่า แต่ก็มีอยู่บางชนิดที่กระเพาะคนเราสาารถย่อยได้แต่ต้องใช้เวลานานหน่อยเช่น ผักกระเฉด ยอดสะเดา ยอดมะกอก ผักหวาน ใบขี้เหล็ก ยอดขี้เหล็ก ดอกแค เป็นต้น อาหารประเภทนี้แหละที่คนที่ต้องการลดน้ำหนักให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ส่วนคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแบบที่มีกากน้อยนั้นกระเพาะคนเราสามารถย่อยได้ โดยจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว เพื่อร่างกายนำไปใช้ต่อไป อาหารประเภทนี้ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ กล้วย มะเขือเทศ มันเทศ มันฝรั่ง เป็นต้น อาหารประเภทนี้กากใยต่ำ ร่างกายใช้เวลาน้อยในการย่อยจึงไม่ค่อยอยู่ท้อง จึงไม่ควรทานตอนเย็นเพื่อกระเพาะจะได้ไม่ทำงานหนักในตอนกลางคืน