Super Investor
นักลงทุนแบบ เน้นคุณค่าหรือ Value Investor ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนเองมีความสามารถในการลงทุนที่จะทำให้ได้รับผลตอบแทน เหนือกว่าผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ บางคนตั้งเป้าว่าจะทำได้ดีกว่าผลตอบแทนของตลาดถึงปีละ 10-20% ในระยะยาวอย่างต่อเนื่องได้ พวกเขาคิดว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นนั้น มาจากผลงานการลงทุนของ “Mr. Market” หรือ “นายตลาด” ซึ่งเป็นคนที่ เบน เกรแฮม บิดาของการลงทุนแบบ Value Investment บรรยายว่าเป็นคนที่ “มีอารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไร้เหตุผล และมักจะมีอารมณ์เบิกบานหรือหดหู่เกินกว่าเหตุ ทำให้เขาตั้งราคาซื้อหุ้นสูงลิ่วหรือเทขายหุ้นในราคาที่ต่ำเกินความเป็น จริง ซึ่งทำให้เป็นโอกาสของ Value Investor ซึ่งเป็นคนที่มีเหตุผลสามารถเข้ามาฉวยโอกาสทำกำไรจากการลงทุนได้” พูดโดยสรุปก็คือ Value Investor มักมองว่า “นายตลาด” หรือนักลงทุนโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นนักลงทุนมือรองบ่อนที่ไม่มีทางสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าคุณอยากได้ผลตอบแทนเท่ากับนายตลาด คุณก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยลงทุนซื้อกองทุนรวมที่อิงกับดัชนีหุ้นได้
แต่ ผลตอบแทนของนายตลาดหรือก็คือ การเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นบวกปันผลที่ได้รับในแต่ละปีนั้น ในช่วงเวลากว่า 30 ปีของตลาดหุ้นไทยก็ดูไม่เลวนัก ว่าที่จริงควรเรียกว่าน่าประทับใจมากกว่า เพราะมันให้ผลตอบแทนถึงปีละประมาณ 10% แบบทบต้นซึ่งน่าจะเป็นผลตอบแทนที่ดีที่สุดในบรรดาการลงทุนทั้งหลายในประเทศ ไทย ดังนั้น การที่มองว่านายตลาดเป็นนักลงทุน “กระจอก” จึงอาจจะเป็นสิ่งที่เราเข้าใจผิดหรือไม่? นายตลาดเป็นอะไรกันแน่? เขาเป็นคนอย่างที่ เบน เกรแฮม บอกจริงหรือ? หรือเขาอาจจะเคยเป็นอย่างที่เบนพูดแต่เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว? หรือเขาอาจจะเป็นอย่างที่เบนพูดในบางครั้งบางช่วงเวลาแต่ในยามปกติเขาก็เป็น คนที่มีอารมณ์หนักแน่นและมีเหตุผลดี ว่าที่จริงนักลงทุนหรือคนทุกคนก็เป็นแบบนั้น ใครจะเป็นคนที่มีเหตุผลและมีอารมณ์ที่เยือกเย็นได้ตลอดเวลา จริงไหม? เพราะฉะนั้น แม้ว่าคุณจะเป็น Value Investor หลาย ๆ ครั้งคุณก็อาจจะไม่ได้แตกต่างจาก Mr. Market เท่าไรเมื่อต้องเผชิญกับภาวะฉุกเฉินหรืออยู่บรรยากาศที่สดใสที่สุด
ใน ตลาดที่ก้าวหน้าและเต็มไปด้วยนักลงทุนมืออาชีพที่บริหารกองทุนรวมที่มีเงิน ลงทุนมหาศาลอย่างในตลาดสหรัฐนั้น “นายตลาด” ก็คือคนที่มักเรียนจบวิชาทางการเงินและการลงทุนจากมหาวิทยาลัยระดับไอวีลี กหรือมหาวิทยาลัยชั้นนำที่สุดของประเทศ พวกเขาศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับการลงทุนและผมเองเชื่อว่าคนเหล่านี้จำนวนมากคง ได้อ่านหนังสือและกลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Investment รวมถึงการลงทุนแบบ วอเร็น บัฟเฟตต์ ดังนั้นจะมาบอกว่าพวกเขาเป็น “หมู” ในตลาดหุ้นคงเป็นไปไม่ได้ จะบอกว่าพวกเขาอาจจะมีสถานะทางอารมณ์ที่ไม่แข็งแรงก็ไม่น่าจะใช่อีก ว่าที่จริงพวกเขาคงไม่ได้มีอารมณ์อะไรมากมายนักเวลาลงทุนเพราะเงินที่ลงทุน นั้นไม่ใช่ของเขา สิ่งเดียวที่ผมคิดว่าพวกเขาอาจจะเสียเปรียบนักลงทุนเน้นคุณค่าแบบพวกเราก็ คือ เราสามารถถือหุ้นได้ยาวกว่าโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะมาว่าหรือไล่เราออกจากงาน ถ้าผลการดำเนินงานในระยะสั้นอาจจะออกมาไม่ดี อีกเรื่องหนึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องของขนาดเม็ดเงินที่ใช้ลงทุนซึ่งทำให้พวกเขา ไม่สามารถลงทุนในบริษัทที่เล็กเกินไปได้
และ ด้วยเหตุดังกล่าว “นายตลาด” ของตลาดหุ้นสหรัฐจึงสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ดีมาก จากการศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่าก็พบว่าผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นนั้น ดีกว่านักลงทุนทั่ว ๆ ไปซึ่งรวมถึงผู้บริหารกองทุนรวมแต่ละกองปีแล้วปีเล่าต่อเนื่องยาวนาน ถ้าจัดอันดับยอดฝีมือกันก็จะพบว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นอย่างดัชนี S&P นั้นสามารถเอาชนะผลตอบแทนของกองทุนรวมต่าง ๆ แทบจะทุกปี ผลตอบแทนของดัชนี S&P นั้นเรียกว่าดีที่สุดในระดับ 10-20% แรกของบรรดานักลงทุนทั้งหลาย ว่าที่จริงมันดีมากเสียจน เบน เกรแฮม ยอมรับ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปแก้ไขข้อความในหนังสือของเขา แต่ก่อนตายเขาบอกว่า เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาคิดว่าตลาดหุ้นสหรัฐนั้นมีประสิทธิภาพ นั่นเป็นการยอมรับว่า “นายตลาดแน่มาก” ยิ่งไปกว่านั้น วอเร็น บัฟเฟตต์ เอง ในระยะหลังก็ยอมรับเป็นนัยว่า ถ้าคุณไม่แน่จริง ซึ่งก็น่าจะเป็นนักลงทุน 99% ในตลาดหุ้น คุณควรยอมรับว่าคนที่แน่จริง ๆ ในตลาดหุ้นก็คือ “นายตลาด” ดังนั้น ทางที่ดีคุณควรลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีหุ้นแทนที่จะคิดลงทุนเอง
ใน ตลาดหุ้นไทยนั้น นายตลาดก็ดูเหมือนว่าจะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ว่าที่จริงมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะกองทุนรวมนั้นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ คนที่เข้ามาบริหารการลงทุนก็มาจากคนที่จบวิชาการลงทุนจากมหาวิทยาลัยชั้น นำ คนที่ลงทุนส่วนบุคคลเองก็มีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนมากใช้หลักการแบบ Value Investment พูดโดยรวมก็คือ คุณภาพของนักลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้น ซึ่งนี่ก็เท่ากับการบอกว่า “นายตลาด” มีคุณสมบัติดีขึ้นเรื่อย ๆ และผมเชื่อว่าถ้าไปดูสถิติผลตอบแทนของนายตลาดหรือผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย ผมก็เชื่อว่ามันน่าจะดีกว่าผลตอบแทนของนักลงทุนส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาแม้ ว่าฝีมืออาจจะยังไม่เท่านายตลาดของตลาดหุ้นสหรัฐ
ผม เขียนมายืดยาวที่แสดงให้เห็นว่านายตลาดนั้นเป็นนักลงทุนที่เก่งมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรเลิกการลงทุนแบบ Value Investment ในตลาดหุ้นไทยนั้น นายตลาดอาจจะยังไม่เก่งถึงขั้นที่เราไม่อยากจะแข่งด้วย ผมคิดว่าถ้าเราศึกษาการลงทุนแบบ Value Investment ให้ดีและมีจิตใจที่มั่นคงเราน่าจะยังสามารถทำผลงานได้ดีกว่าผลตอบแทนของตลาด ได้ เหนือสิ่งใด การลงทุนเองนั้น เราไม่เสียค่าใช้จ่ายในการบริหารการลงทุนซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของเราดีขึ้น
ใน กรณีที่เรายังไม่เก่งพอหรือยังเข้าใจการลงทุนไม่ดีพอแต่เรารู้ว่าตลาดหุ้น เป็นแหล่งที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีที่สุด สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่อิงดัชนีตลาด ซึ่งความหมายก็คือ เราจ้าง “นายตลาด” ให้ช่วยบริหารเงินให้เรา
สุด ท้ายสำหรับ Value Investor ผู้มุ่งมั่นก็คือ อย่า “ดูแคลน” นายตลาด การตั้งเป้าหมายเอาชนะผลตอบแทนตลาดหุ้นสูงถึง 10% ต่อปีในระยะยาวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าลืมว่า เรากำลังแข่งกับนักลงทุนที่ดูไม่น่าประทับใจ แต่ความเป็นจริงก็คือ เขาเป็น Super Investor คนหนึ่ง ผมเชื่อว่า ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดได้เฉลี่ย 5% ต่อปีในระยะยาว เราก็เป็น Super Investor แล้ว
แต่ ผลตอบแทนของนายตลาดหรือก็คือ การเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นบวกปันผลที่ได้รับในแต่ละปีนั้น ในช่วงเวลากว่า 30 ปีของตลาดหุ้นไทยก็ดูไม่เลวนัก ว่าที่จริงควรเรียกว่าน่าประทับใจมากกว่า เพราะมันให้ผลตอบแทนถึงปีละประมาณ 10% แบบทบต้นซึ่งน่าจะเป็นผลตอบแทนที่ดีที่สุดในบรรดาการลงทุนทั้งหลายในประเทศ ไทย ดังนั้น การที่มองว่านายตลาดเป็นนักลงทุน “กระจอก” จึงอาจจะเป็นสิ่งที่เราเข้าใจผิดหรือไม่? นายตลาดเป็นอะไรกันแน่? เขาเป็นคนอย่างที่ เบน เกรแฮม บอกจริงหรือ? หรือเขาอาจจะเคยเป็นอย่างที่เบนพูดแต่เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว? หรือเขาอาจจะเป็นอย่างที่เบนพูดในบางครั้งบางช่วงเวลาแต่ในยามปกติเขาก็เป็น คนที่มีอารมณ์หนักแน่นและมีเหตุผลดี ว่าที่จริงนักลงทุนหรือคนทุกคนก็เป็นแบบนั้น ใครจะเป็นคนที่มีเหตุผลและมีอารมณ์ที่เยือกเย็นได้ตลอดเวลา จริงไหม? เพราะฉะนั้น แม้ว่าคุณจะเป็น Value Investor หลาย ๆ ครั้งคุณก็อาจจะไม่ได้แตกต่างจาก Mr. Market เท่าไรเมื่อต้องเผชิญกับภาวะฉุกเฉินหรืออยู่บรรยากาศที่สดใสที่สุด
ใน ตลาดที่ก้าวหน้าและเต็มไปด้วยนักลงทุนมืออาชีพที่บริหารกองทุนรวมที่มีเงิน ลงทุนมหาศาลอย่างในตลาดสหรัฐนั้น “นายตลาด” ก็คือคนที่มักเรียนจบวิชาทางการเงินและการลงทุนจากมหาวิทยาลัยระดับไอวีลี กหรือมหาวิทยาลัยชั้นนำที่สุดของประเทศ พวกเขาศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับการลงทุนและผมเองเชื่อว่าคนเหล่านี้จำนวนมากคง ได้อ่านหนังสือและกลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Investment รวมถึงการลงทุนแบบ วอเร็น บัฟเฟตต์ ดังนั้นจะมาบอกว่าพวกเขาเป็น “หมู” ในตลาดหุ้นคงเป็นไปไม่ได้ จะบอกว่าพวกเขาอาจจะมีสถานะทางอารมณ์ที่ไม่แข็งแรงก็ไม่น่าจะใช่อีก ว่าที่จริงพวกเขาคงไม่ได้มีอารมณ์อะไรมากมายนักเวลาลงทุนเพราะเงินที่ลงทุน นั้นไม่ใช่ของเขา สิ่งเดียวที่ผมคิดว่าพวกเขาอาจจะเสียเปรียบนักลงทุนเน้นคุณค่าแบบพวกเราก็ คือ เราสามารถถือหุ้นได้ยาวกว่าโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะมาว่าหรือไล่เราออกจากงาน ถ้าผลการดำเนินงานในระยะสั้นอาจจะออกมาไม่ดี อีกเรื่องหนึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องของขนาดเม็ดเงินที่ใช้ลงทุนซึ่งทำให้พวกเขา ไม่สามารถลงทุนในบริษัทที่เล็กเกินไปได้
และ ด้วยเหตุดังกล่าว “นายตลาด” ของตลาดหุ้นสหรัฐจึงสามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ดีมาก จากการศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่าก็พบว่าผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นนั้น ดีกว่านักลงทุนทั่ว ๆ ไปซึ่งรวมถึงผู้บริหารกองทุนรวมแต่ละกองปีแล้วปีเล่าต่อเนื่องยาวนาน ถ้าจัดอันดับยอดฝีมือกันก็จะพบว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นอย่างดัชนี S&P นั้นสามารถเอาชนะผลตอบแทนของกองทุนรวมต่าง ๆ แทบจะทุกปี ผลตอบแทนของดัชนี S&P นั้นเรียกว่าดีที่สุดในระดับ 10-20% แรกของบรรดานักลงทุนทั้งหลาย ว่าที่จริงมันดีมากเสียจน เบน เกรแฮม ยอมรับ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปแก้ไขข้อความในหนังสือของเขา แต่ก่อนตายเขาบอกว่า เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาคิดว่าตลาดหุ้นสหรัฐนั้นมีประสิทธิภาพ นั่นเป็นการยอมรับว่า “นายตลาดแน่มาก” ยิ่งไปกว่านั้น วอเร็น บัฟเฟตต์ เอง ในระยะหลังก็ยอมรับเป็นนัยว่า ถ้าคุณไม่แน่จริง ซึ่งก็น่าจะเป็นนักลงทุน 99% ในตลาดหุ้น คุณควรยอมรับว่าคนที่แน่จริง ๆ ในตลาดหุ้นก็คือ “นายตลาด” ดังนั้น ทางที่ดีคุณควรลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีหุ้นแทนที่จะคิดลงทุนเอง
ใน ตลาดหุ้นไทยนั้น นายตลาดก็ดูเหมือนว่าจะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ว่าที่จริงมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะกองทุนรวมนั้นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ คนที่เข้ามาบริหารการลงทุนก็มาจากคนที่จบวิชาการลงทุนจากมหาวิทยาลัยชั้น นำ คนที่ลงทุนส่วนบุคคลเองก็มีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนมากใช้หลักการแบบ Value Investment พูดโดยรวมก็คือ คุณภาพของนักลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้น ซึ่งนี่ก็เท่ากับการบอกว่า “นายตลาด” มีคุณสมบัติดีขึ้นเรื่อย ๆ และผมเชื่อว่าถ้าไปดูสถิติผลตอบแทนของนายตลาดหรือผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย ผมก็เชื่อว่ามันน่าจะดีกว่าผลตอบแทนของนักลงทุนส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาแม้ ว่าฝีมืออาจจะยังไม่เท่านายตลาดของตลาดหุ้นสหรัฐ
ผม เขียนมายืดยาวที่แสดงให้เห็นว่านายตลาดนั้นเป็นนักลงทุนที่เก่งมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรเลิกการลงทุนแบบ Value Investment ในตลาดหุ้นไทยนั้น นายตลาดอาจจะยังไม่เก่งถึงขั้นที่เราไม่อยากจะแข่งด้วย ผมคิดว่าถ้าเราศึกษาการลงทุนแบบ Value Investment ให้ดีและมีจิตใจที่มั่นคงเราน่าจะยังสามารถทำผลงานได้ดีกว่าผลตอบแทนของตลาด ได้ เหนือสิ่งใด การลงทุนเองนั้น เราไม่เสียค่าใช้จ่ายในการบริหารการลงทุนซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของเราดีขึ้น
ใน กรณีที่เรายังไม่เก่งพอหรือยังเข้าใจการลงทุนไม่ดีพอแต่เรารู้ว่าตลาดหุ้น เป็นแหล่งที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีที่สุด สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่อิงดัชนีตลาด ซึ่งความหมายก็คือ เราจ้าง “นายตลาด” ให้ช่วยบริหารเงินให้เรา
สุด ท้ายสำหรับ Value Investor ผู้มุ่งมั่นก็คือ อย่า “ดูแคลน” นายตลาด การตั้งเป้าหมายเอาชนะผลตอบแทนตลาดหุ้นสูงถึง 10% ต่อปีในระยะยาวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าลืมว่า เรากำลังแข่งกับนักลงทุนที่ดูไม่น่าประทับใจ แต่ความเป็นจริงก็คือ เขาเป็น Super Investor คนหนึ่ง ผมเชื่อว่า ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดได้เฉลี่ย 5% ต่อปีในระยะยาว เราก็เป็น Super Investor แล้ว