Peak Oil ดอยน้ำมัน
คนที่สนใจ เกี่ยวกับเรื่องของพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันปิโตรเลียมนั้น สิ่งหนึ่งที่จะต้องรู้ก็คือทฤษฎีสำคัญที่เป็นหัวใจของกำลังการผลิตน้ำมันของ แหล่งผลิตต่าง ๆ และของโลก เพราะนี่จะเป็นตัวชี้ที่สำคัญว่า Supply หรืออุปทานน้ำมันของโลกจะเป็นอย่างไร ทฤษฎีนี้มีชื่อเรียกกันง่าย ๆ ว่า Peak Oil หรือผมขอแปลตรง ๆ ว่า “ดอยน้ำมัน” และผู้ที่คิดทฤษฎีนี้ก็คือ ดร. M. King Hubbert ซึ่งเป็นนักธรณีวิทยาและเคยทำงานอยู่กับบริษัท น้ำมัน Shell มานานกว่า 20 ปี อีกทั้งได้ทำงานในฐานะของนักวิจัยให้กับหน่วยงานการสำรวจทางธรณีวิทยาของ รัฐบาลสหรัฐกว่า 12 ปี และยังมีตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์และสแตนฟอร์ดอีก ต่างหาก
Peak Oil คือทฤษฎีที่อธิบายว่าทำไมแหล่งน้ำมันต่าง ๆ นั้น ในตอนเริ่มทำการผลิต กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะเพิ่มถึงจุดสุดยอด ซึ่งที่จุดนั้นก็คือจุดที่ได้มีการสูบน้ำมันออกมาจากบ่อแล้วประมาณครึ่ง บ่อ หลังจากถึงจุดที่มีกำลังการผลิตสูงสุดแล้ว กำลังการผลิตก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ อาจจะปีละ 1-2 % หรือมากกว่านั้นจนกระทั่งน้ำมันหมดบ่อ ถ้าดูเป็นเส้นกราฟของการผลิตก็จะเป็นเหมือนรูประฆังคว่ำโดยมีจุดสูงสุดอยู่ ตรงกลาง
คำ อธิบายแบบง่าย ๆ ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้นก็คือ บ่อน้ำมันนั้น ในช่วงแรกที่มีการเจาะและสูบน้ำมันขึ้นมา การสูบหรือการไหลของน้ำมันจะเร็วมากเพราะว่าน้ำมันยังอัดกันเต็มภายใต้แรง ดันในบ่อ พอหลุมถูกเปิดออก น้ำมันก็แทบจะทะลักขึ้นมาเองโดยไม่ต้องทำอะไร กำลังการผลิตในช่วงแรก ๆ จึงสูงมาก ต่อมาเมื่อน้ำมันถูกดูดออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงดันภายในบ่อก็จะลดลงเรื่อย ๆ หรือหมดไป น้ำมันก็ไหลออกมายากขึ้น การสูบก็ยากขึ้นเพราะน้ำมันที่เหลือก็มักจะเป็นน้ำมันที่ข้นขึ้นเพราะน้ำมัน ที่ใสและดีถูกดูดออกไปหมดแล้ว ในขั้นตอนนี้เรายังจำเป็นต้องช่วยโดยการอัดก๊าซเช่น คาร์บอนไดอ๊อกไซด์เข้าไปในหลุมและ/หรืออัดน้ำหรือสารเคมีที่จะทำให้น้ำมัน ดิบลดความข้นลงเพื่อให้น้ำมันไหลง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตของบ่อน้ำมันในช่วงหลังจากจุดสุดยอดแล้วก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนหมดในที่สุด
ใน ปี 1956 หลังจากที่ ดร. Hubbert คิดทฤษฎี Peak Oil ขึ้นแล้ว เขาก็ใช้สูตรนี้ทำนายว่า สหรัฐอเมริกาจะมีกำลังการผลิตน้ำมันถึงจุดสูงสุดในปี 1970 ซึ่งทำให้เขาถูกหัวเราะเยาะจากผู้เชี่ยวชาญในวงการน้ำมันทั้งหลาย เพราะว่าตั้งแต่ปี 1956 อเมริกาสามารถผลิตน้ำมันได้เพิ่มขึ้นทุกปีและไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย แต่แล้วทุกคนก็ต้องทึ่ง เพราะหลังจากปี 1971 เป็นต้นไป กำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐก็ลดลงทุกปีจนถึงทุกวันนี้ และในปี 1975 สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐก็ยอมรับว่าการคำนวณของเขาเกี่ยวกับการ ค่อย ๆ หมดไปของน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินั้นถูกต้อง
ไม่ ใช่เฉพาะที่อเมริกาเท่านั้นที่เกิดปรากฏการณ์ Peak Oil ในแหล่งน้ำมันต่าง ๆ ทั่วโลก กำลังการผลิตน้ำมันต่างก็ลดลงเมื่อมีการผลิตไปถึงจุดหนึ่งซึ่งตามทฤษฎีก็คือ จุดยอดดอยหรือจุด Peak นั่นเอง มีการพูดกันว่าแม้แต่ในกลุ่มโอเปกเอง สมาชิกต่างก็ผลิตไปจนถึงจุดสูงสุดกันเกือบหมดแล้วยกเว้นซาอุดิอาราเบียที่ ยังมีกำลังการผลิตเหลืออยู่บ้างแต่ก็ใกล้ยอดดอยเต็มที นักวิชาการบางคนถึงกับพูดว่า โลกเราเองก็มีกำลังการผลิตน้ำมันถึงจุดสูงสุดไปแล้ว เพราะกำลังการผลิตน้ำมันที่ประมาณ 85 ล้านบาร์เรลต่อวันที่เราใช้อยู่นี้ดูเหมือนจะเริ่มคงที่มาเป็นเวลาพอสมควร แล้ว โอกาสที่จะผลิตได้เพิ่มอาจจะยาก เพราะแม้ว่าซาอุดิอาราเบียจะยังสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้บ้าง แต่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันอื่นในโลกก็เริ่มถึงจุดที่ผลิตได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ซาอุผลิตได้เพิ่มก็แค่มาชดเชยกับผู้ผลิตอื่นที่ผลิตได้น้อยลง เช่นอินโดนีเซียที่ตอนนี้แม้แต่จะผลิตใช้ในประเทศก็ไม่พอ ไม่ต้องพูดถึงแหล่งผลิตในทะเลเหนือหรือแหล่งผลิตอื่นที่กำลังการผลิตถอยลงไป เรื่อย ๆ เพราะอยู่ในช่วงขาลงแล้ว
ตาม การคาดการณ์ของนักวิชาการกลุ่ม Peak Oil ดูเหมือนว่าโลกเรากำลังจะขาดแคลนน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่หยุด เพราะปริมาณการผลิตนั้นไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกและอาจจะใกล้ถึงจุดลดลงใน ขณะที่ความต้องการน้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะจากประเทศอย่างจีนและอินเดีย ในอีกด้านหนึ่งกำลังการผลิตน้ำมันจากแหล่งน้ำมันใหม่ ๆ ก็มีน้อยมาก ว่าที่จริงการค้นพบน้ำมันแหล่งใหญ่ ๆ ของโลกนั้น เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายก็ประมาณ 30-40 ปีมาแล้วและโอกาสที่จะเจอแหล่งใหม่ ๆ ขนาดใหญ่ก็ดูมืดมน และแม้ว่าในขณะนี้จะมีการขุดเจาะน้ำมันกันมากเพราะราคาน้ำมันสูงจูงใจแต่ สิ่งที่พบนั้นดูเหมือนว่าอย่างมากก็แค่ประคองไม่ให้การผลิตน้ำมันของโลกลดลง เท่านั้น ดังนั้น ถ้าคิดถึงการเติบโตของการใช้น้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นเฉพาะจากจีนเพียงประเทศ เดียว โอกาสที่น้ำมันจะมีเพียงพอให้ใช้ก็มีน้อยมาก ว่ากันว่าถ้าจะให้มีน้ำมันพอ เราคงต้องเจอบ่อน้ำมันขนาดเท่ากับของซาอุสัก 2- 3 ประเทศในช่วง 20-30 ปีข้างหน้า ซึ่งดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้
“ผู้ เชี่ยวชาญ” หลาย ๆ คนและในหลาย ๆ ประเทศที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันต่างก็พูดว่า น้ำมันในโลกนั้นมีกำลังการผลิตเหลือเฟือ ราคาน้ำมันที่ขึ้นไปเป็นเพราะการเก็งกำไรของนักลงทุนหรือเฮดก์ฟันด์ในตลาด สินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็คงจะตอบได้ยาก แต่ประเด็นที่จะต้องคำนึงถึงก็คือ คนเหล่านั้น หลายคนมีผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างเช่นในกลุ่มของโอเปกเอง ว่ากันว่าตัวเลขกำลังการผลิตหรือปริมาณน้ำมันสำรองของแต่ละประเทศนั้นไม่มี ความโปร่งใสเลย หลายประเทศดูเหมือนจะพยายามบอกว่าตนเองมีสำรองน้ำมันมาก เหตุผลก็คือ เวลาจัดสรรโควตาการผลิตน้ำมันเขาจะจัดกันตามปริมาณสำรองที่แต่ละประเทศมี เพราะฉะนั้น แต่ละประเทศจึงมักบอกว่าตนเองมีน้ำมันมากกว่าความเป็นจริง เช่นเดียวกัน บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีหุ้นจดทะเบียนในตลาดก็มักจะพยายามบอกว่าตนเองมี สำรองน้ำมันมากเพื่อที่หุ้นของตนจะได้มีราคาสูง เหล่านี้ทำให้ตัวเลขน้ำมันสำรองของโลก “เพี้ยน” และไม่น่าเชื่อถือ แต่ถ้าดูข้อเท็จจริงของตัวเลขกำลังการผลิตที่ออกมา ดูเหมือนว่าสถานการณ์น้ำมันของโลกจะเป็นไปในแนวทางของพวกที่เชื่อทฤษฎี Peak Oil มากกว่า
ใน ฐานะของนักลงทุน เราคงต้องติดตามดูไปเรื่อย ๆ และตัดสินใจลงทุนด้วยความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ ส่วนตัวผมเองนั้น คงยังไม่เชี่ยวชาญพอที่จะเสี่ยงกับสิ่งที่ตนเองมีความรู้น้อย แต่นี่ก็คงจะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนโดยรวมได้ เพราะน้ำมันหรือว่าที่จริงก็คือพลังงานนั้น มันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราลึกซึ้งมาก นักลงทุนต้องรู้เกี่ยวกับน้ำมันทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นน้ำมันเลย
Peak Oil คือทฤษฎีที่อธิบายว่าทำไมแหล่งน้ำมันต่าง ๆ นั้น ในตอนเริ่มทำการผลิต กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะเพิ่มถึงจุดสุดยอด ซึ่งที่จุดนั้นก็คือจุดที่ได้มีการสูบน้ำมันออกมาจากบ่อแล้วประมาณครึ่ง บ่อ หลังจากถึงจุดที่มีกำลังการผลิตสูงสุดแล้ว กำลังการผลิตก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ อาจจะปีละ 1-2 % หรือมากกว่านั้นจนกระทั่งน้ำมันหมดบ่อ ถ้าดูเป็นเส้นกราฟของการผลิตก็จะเป็นเหมือนรูประฆังคว่ำโดยมีจุดสูงสุดอยู่ ตรงกลาง
คำ อธิบายแบบง่าย ๆ ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้นก็คือ บ่อน้ำมันนั้น ในช่วงแรกที่มีการเจาะและสูบน้ำมันขึ้นมา การสูบหรือการไหลของน้ำมันจะเร็วมากเพราะว่าน้ำมันยังอัดกันเต็มภายใต้แรง ดันในบ่อ พอหลุมถูกเปิดออก น้ำมันก็แทบจะทะลักขึ้นมาเองโดยไม่ต้องทำอะไร กำลังการผลิตในช่วงแรก ๆ จึงสูงมาก ต่อมาเมื่อน้ำมันถูกดูดออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงดันภายในบ่อก็จะลดลงเรื่อย ๆ หรือหมดไป น้ำมันก็ไหลออกมายากขึ้น การสูบก็ยากขึ้นเพราะน้ำมันที่เหลือก็มักจะเป็นน้ำมันที่ข้นขึ้นเพราะน้ำมัน ที่ใสและดีถูกดูดออกไปหมดแล้ว ในขั้นตอนนี้เรายังจำเป็นต้องช่วยโดยการอัดก๊าซเช่น คาร์บอนไดอ๊อกไซด์เข้าไปในหลุมและ/หรืออัดน้ำหรือสารเคมีที่จะทำให้น้ำมัน ดิบลดความข้นลงเพื่อให้น้ำมันไหลง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตของบ่อน้ำมันในช่วงหลังจากจุดสุดยอดแล้วก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนหมดในที่สุด
ใน ปี 1956 หลังจากที่ ดร. Hubbert คิดทฤษฎี Peak Oil ขึ้นแล้ว เขาก็ใช้สูตรนี้ทำนายว่า สหรัฐอเมริกาจะมีกำลังการผลิตน้ำมันถึงจุดสูงสุดในปี 1970 ซึ่งทำให้เขาถูกหัวเราะเยาะจากผู้เชี่ยวชาญในวงการน้ำมันทั้งหลาย เพราะว่าตั้งแต่ปี 1956 อเมริกาสามารถผลิตน้ำมันได้เพิ่มขึ้นทุกปีและไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย แต่แล้วทุกคนก็ต้องทึ่ง เพราะหลังจากปี 1971 เป็นต้นไป กำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐก็ลดลงทุกปีจนถึงทุกวันนี้ และในปี 1975 สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐก็ยอมรับว่าการคำนวณของเขาเกี่ยวกับการ ค่อย ๆ หมดไปของน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินั้นถูกต้อง
ไม่ ใช่เฉพาะที่อเมริกาเท่านั้นที่เกิดปรากฏการณ์ Peak Oil ในแหล่งน้ำมันต่าง ๆ ทั่วโลก กำลังการผลิตน้ำมันต่างก็ลดลงเมื่อมีการผลิตไปถึงจุดหนึ่งซึ่งตามทฤษฎีก็คือ จุดยอดดอยหรือจุด Peak นั่นเอง มีการพูดกันว่าแม้แต่ในกลุ่มโอเปกเอง สมาชิกต่างก็ผลิตไปจนถึงจุดสูงสุดกันเกือบหมดแล้วยกเว้นซาอุดิอาราเบียที่ ยังมีกำลังการผลิตเหลืออยู่บ้างแต่ก็ใกล้ยอดดอยเต็มที นักวิชาการบางคนถึงกับพูดว่า โลกเราเองก็มีกำลังการผลิตน้ำมันถึงจุดสูงสุดไปแล้ว เพราะกำลังการผลิตน้ำมันที่ประมาณ 85 ล้านบาร์เรลต่อวันที่เราใช้อยู่นี้ดูเหมือนจะเริ่มคงที่มาเป็นเวลาพอสมควร แล้ว โอกาสที่จะผลิตได้เพิ่มอาจจะยาก เพราะแม้ว่าซาอุดิอาราเบียจะยังสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้บ้าง แต่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันอื่นในโลกก็เริ่มถึงจุดที่ผลิตได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ซาอุผลิตได้เพิ่มก็แค่มาชดเชยกับผู้ผลิตอื่นที่ผลิตได้น้อยลง เช่นอินโดนีเซียที่ตอนนี้แม้แต่จะผลิตใช้ในประเทศก็ไม่พอ ไม่ต้องพูดถึงแหล่งผลิตในทะเลเหนือหรือแหล่งผลิตอื่นที่กำลังการผลิตถอยลงไป เรื่อย ๆ เพราะอยู่ในช่วงขาลงแล้ว
ตาม การคาดการณ์ของนักวิชาการกลุ่ม Peak Oil ดูเหมือนว่าโลกเรากำลังจะขาดแคลนน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่หยุด เพราะปริมาณการผลิตนั้นไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกและอาจจะใกล้ถึงจุดลดลงใน ขณะที่ความต้องการน้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะจากประเทศอย่างจีนและอินเดีย ในอีกด้านหนึ่งกำลังการผลิตน้ำมันจากแหล่งน้ำมันใหม่ ๆ ก็มีน้อยมาก ว่าที่จริงการค้นพบน้ำมันแหล่งใหญ่ ๆ ของโลกนั้น เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายก็ประมาณ 30-40 ปีมาแล้วและโอกาสที่จะเจอแหล่งใหม่ ๆ ขนาดใหญ่ก็ดูมืดมน และแม้ว่าในขณะนี้จะมีการขุดเจาะน้ำมันกันมากเพราะราคาน้ำมันสูงจูงใจแต่ สิ่งที่พบนั้นดูเหมือนว่าอย่างมากก็แค่ประคองไม่ให้การผลิตน้ำมันของโลกลดลง เท่านั้น ดังนั้น ถ้าคิดถึงการเติบโตของการใช้น้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นเฉพาะจากจีนเพียงประเทศ เดียว โอกาสที่น้ำมันจะมีเพียงพอให้ใช้ก็มีน้อยมาก ว่ากันว่าถ้าจะให้มีน้ำมันพอ เราคงต้องเจอบ่อน้ำมันขนาดเท่ากับของซาอุสัก 2- 3 ประเทศในช่วง 20-30 ปีข้างหน้า ซึ่งดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้
“ผู้ เชี่ยวชาญ” หลาย ๆ คนและในหลาย ๆ ประเทศที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันต่างก็พูดว่า น้ำมันในโลกนั้นมีกำลังการผลิตเหลือเฟือ ราคาน้ำมันที่ขึ้นไปเป็นเพราะการเก็งกำไรของนักลงทุนหรือเฮดก์ฟันด์ในตลาด สินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็คงจะตอบได้ยาก แต่ประเด็นที่จะต้องคำนึงถึงก็คือ คนเหล่านั้น หลายคนมีผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างเช่นในกลุ่มของโอเปกเอง ว่ากันว่าตัวเลขกำลังการผลิตหรือปริมาณน้ำมันสำรองของแต่ละประเทศนั้นไม่มี ความโปร่งใสเลย หลายประเทศดูเหมือนจะพยายามบอกว่าตนเองมีสำรองน้ำมันมาก เหตุผลก็คือ เวลาจัดสรรโควตาการผลิตน้ำมันเขาจะจัดกันตามปริมาณสำรองที่แต่ละประเทศมี เพราะฉะนั้น แต่ละประเทศจึงมักบอกว่าตนเองมีน้ำมันมากกว่าความเป็นจริง เช่นเดียวกัน บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีหุ้นจดทะเบียนในตลาดก็มักจะพยายามบอกว่าตนเองมี สำรองน้ำมันมากเพื่อที่หุ้นของตนจะได้มีราคาสูง เหล่านี้ทำให้ตัวเลขน้ำมันสำรองของโลก “เพี้ยน” และไม่น่าเชื่อถือ แต่ถ้าดูข้อเท็จจริงของตัวเลขกำลังการผลิตที่ออกมา ดูเหมือนว่าสถานการณ์น้ำมันของโลกจะเป็นไปในแนวทางของพวกที่เชื่อทฤษฎี Peak Oil มากกว่า
ใน ฐานะของนักลงทุน เราคงต้องติดตามดูไปเรื่อย ๆ และตัดสินใจลงทุนด้วยความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ ส่วนตัวผมเองนั้น คงยังไม่เชี่ยวชาญพอที่จะเสี่ยงกับสิ่งที่ตนเองมีความรู้น้อย แต่นี่ก็คงจะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนโดยรวมได้ เพราะน้ำมันหรือว่าที่จริงก็คือพลังงานนั้น มันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราลึกซึ้งมาก นักลงทุนต้องรู้เกี่ยวกับน้ำมันทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นน้ำมันเลย