วัดผลการลงทุน
การวัดผลการลง ทุนเป็นเรื่องสำคัญและเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น มันคงคล้าย ๆ กับการดูหรือติดตามการแข่งกีฬาที่เราชอบ เราลุ้นหรือเชียร์คนหรือทีมที่เราชอบว่าเขากำลังชนะหรือไม่เมื่อเวลาผ่านไป ในแต่ละช่วงของการแข่งขัน ในเรื่องของการลงทุนนั้น เมื่อสัปดาห์ก่อน วอเร็น บัฟเฟตต์ เพิ่งจะ “ชนะ” ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บว่าเป็นคนรวยที่สุดในโลกอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความมั่งคั่ง 62 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ “แพ้” หรือเสียตำแหน่งให้ บิล เกต มาสิบกว่าปี แต่ถ้าถาม วอเร็น บัฟเฟตต์ ว่าเขาคิดอย่างไร เขาคงบอกว่าเขา “ไม่สนใจ” ที่จริงเขาบอกว่าเขา ไม่ได้วัดความก้าวหน้าของการลงทุนของเขาจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นหรือ มูลค่าตลาดของการลงทุนของเขาในแต่ละปี การวัดผลการลงทุนของเขานั้น เขาจะดูสองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ ดูว่ากำไรของบริษัทที่เขาลงทุนนั้นเพิ่มขึ้นหรือไม่โดยเปรียบเทียบกับคู่ แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย เรื่องที่สองก็คือ เขาจะดูว่า “คูเมือง” ของบริษัทกว้างขึ้นหรือไม่ในช่วงปีที่ผ่านมา
“คู เมือง” ที่ว่าก็คือ ความแข็งแกร่งหรือความได้เปรียบหรือความเหนือกว่าของบริษัทที่ทำให้คู่แข่ง ทำงานลำบากหรือแข่งขันยากขึ้น สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็เหมือนกับการที่เขาเป็นเจ้าของธุรกิจ เอง เขาเน้นที่การทำกำไรของกิจการและการสร้างความเข้มแข็งของกิจการเพื่อที่จะทำ ให้สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคตมากกว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นวันต่อวัน เดือนต่อเดือน และปีต่อปี เขาเชื่อว่าวิธีการวัดผลแบบนี้ ในระยะยาวแล้วก็จะทำให้การลงทุนของเขาเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืนและในอัตราที่ ดี มากกว่าที่จะไปเน้นที่การดูหรือตามราคาหุ้น เขาคงเชื่อและมั่นใจว่า ในระยะยาวแล้ว ถ้าบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นและกำไรที่จะเพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคตเพราะความสามารถ ทิ้งห่างคู่แข่งเพิ่มขึ้นนั้น ในที่สุดก็จะทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปเอง
การ วัดผลการลงทุน “แบบบัฟเฟตต์” โดยเฉพาะในเรื่องของการดู “คูเมือง” นั้น เป็นเรื่องเชิงคุณภาพที่วัดได้ยากมาก เช่นเดียวกัน การวัดผลกำไรของบริษัทเองนั้น บางครั้งก็เปรียบเทียบได้ยากเพราะอาจจะหาบริษัทที่มีลักษณะเหมือนกับบริษัท ยาก ดังนั้น การวัดผลแบบนี้จึงมักจะไม่มีใครใช้กันโดยเฉพาะที่เป็นสถาบันการลงทุนเช่นกอง ทุนรวมต่าง ๆ พูดง่าย ๆ คุณจะอ้างอย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้ว ตัวเลขว่าพอร์ตคุณกำไรกี่เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้วก็มักเป็นตัวตัดสินว่าคุณทำ ผลงานได้ดีแค่ไหน ส่วนบริษัทจะกำไรเท่าไรหรือบริษัทจะเข้มแข็งขึ้นแค่ไหนคุณก็ไม่ได้ประโยชน์ อะไรในระยะสั้น ถ้าราคาหุ้นมันไม่เพิ่มหรือกลับลดลง
การ วัดผลการลงทุนแบบ “มาตรฐาน” นั้น จะวัดโดยการเปรียบเทียบกับ Bench Mark หรือตัวเลขอ้างอิง ถ้าเป็นการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็คือเราจะเปรียบเทียบผลตอบแทนของเรา กับผลตอบแทนของตลาดในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งทั่ว ๆ ไปมักจะมองกันเป็นปี ๆ วิธีนี้เหมาะกับคนที่ “รับจ้าง” บริหารเงินเช่นบริษัทจัดการกองทุนรวมต่าง ๆ แต่จุดอ่อนก็คือ บางทีเราอาจจะชนะตลาดมาก เช่น ตลาดติดลบไป 20% และของเราติดลบไป 10% แบบนี้อาจจะดูว่าผู้บริหารเก่ง แต่ข้อเท็จจริงก็คือ เราก็ยังขาดทุนมากอยู่ดี มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
โดย ส่วนตัวผมเองนั้น ในการวัดผลการลงทุน ผมเองก็ยังเน้นที่มูลค่าพอร์ตเป็นหลัก แต่ผมจะเน้นว่าทุกปีผมจะพยายามทำให้พอร์ตมีมูลค่าเพิ่มขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่าการฝากเงินในธนาคาร ผมจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อย่างที่กอง ทุนรวมทำน้อย ผมคิดว่าการเปรียบเทียบกับตลาดนั้น ทำให้เราไขว้เขวจากการลงทุนแบบ Value Investment เพราะผลตอบแทนของตลาดหุ้นในแต่ละปีนั้น มักจะมาจากอิทธิพลของจิตวิทยาในตลาดมากกว่าเรื่องของผลประกอบการ ดังนั้น ถ้าผมพยายามที่จะวิ่งแข่งกับตลาดก็เท่ากับว่าผมให้ความสำคัญกับปัจจัยทาง จิตวิทยามากเกินไป
ผม ไม่ได้ละเลยปัจจัยทางพื้นฐานของกิจการ ว่าที่จริง ผมคิดว่าการลงทุนของผมนั้น ถ้าจะประสบความสำเร็จจริง ๆ นอกจากราคาหุ้นหรือมูลค่าพอร์ตควรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว กำไรของบริษัทโดยรวมจะต้องเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากกำไรแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะดูก็คือ ตัวเลขเม็ดเงินปันผลรวมที่ผมได้รับในแต่ละปีที่ควรจะเพิ่มขึ้นทุกปี และสุดท้ายก็คือ “คูเมือง” ที่บัฟเฟตต์พูดถึง นี่เป็นสิ่งที่ผมจะติดตามตลอดเวลา นั่นก็คือ ผมจะถือว่าเป็นปัจจัยบวกของบริษัทและเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความมั่นใจที่จะ ถือมันไปเรื่อย ๆ ตราบที่มันยังเข้มแข็งอยู่และเข้มแข็งเพิ่มขึ้น ถ้าบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นแต่คู่แข่งกลับมีความเข้มแข็งมากขึ้นและเริ่มเข้า มาคุกคามบริษัทอย่าง “น่ากลัว” แบบนี้ผมก็อาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้งมากกว่าที่จะถือหุ้นไว้แม้ว่ากำไรใน วันนี้จะเพิ่มขึ้น
สุด ท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ ในระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าทุกคนรวมทั้งตัวบัฟเฟตต์เองก็ต้องวัดผลการลงทุนจากเม็ดเงินของความ มั่งคั่งที่เกิดจากการลงทุน ความแตกต่างผมคิดว่าขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการ “ตัดสิน” ถ้าเราตัดสินกันโดยเอาเวลา 1 ปีเป็นที่ตั้ง เราก็มองแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราตั้งเวลาไว้ 3 ปี เราก็จะมองอีกแบบหนึ่ง สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ผมคิดว่าเขาให้เวลายาวมาก บางทีอาจจะเป็นสิบ ๆ ปี ดังนั้น การวัดผลการลงทุนของเขาจึงออกมาเป็นแบบที่กล่าว และสถิติการลงทุนของเขาก็พิสูจน์แล้วว่า เขาคิดถูกหรือใช้วิธีการวัดผลที่ถูกต้อง ในฐานะนักลงทุน ผมคิดว่าทุกคนควรมีมาตรฐานของตัวเองว่าจะดูอย่างไรว่า เราทำถูกหรือลงทุนถูกต้อง การใช้เพียงแค่ “ผลตอบแทนรายปี” เป็นเครื่องวัดเพียงอย่างเดียวนั้น ผมคิดว่าไม่เพียงพอ ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งเราอาจจะพบว่ามันเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง และเป้าหมายระยะยาวในการที่จะมี “อิสระทางการเงิน” อาจจะไม่บรรลุผล
“คู เมือง” ที่ว่าก็คือ ความแข็งแกร่งหรือความได้เปรียบหรือความเหนือกว่าของบริษัทที่ทำให้คู่แข่ง ทำงานลำบากหรือแข่งขันยากขึ้น สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็เหมือนกับการที่เขาเป็นเจ้าของธุรกิจ เอง เขาเน้นที่การทำกำไรของกิจการและการสร้างความเข้มแข็งของกิจการเพื่อที่จะทำ ให้สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคตมากกว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นวันต่อวัน เดือนต่อเดือน และปีต่อปี เขาเชื่อว่าวิธีการวัดผลแบบนี้ ในระยะยาวแล้วก็จะทำให้การลงทุนของเขาเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืนและในอัตราที่ ดี มากกว่าที่จะไปเน้นที่การดูหรือตามราคาหุ้น เขาคงเชื่อและมั่นใจว่า ในระยะยาวแล้ว ถ้าบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นและกำไรที่จะเพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคตเพราะความสามารถ ทิ้งห่างคู่แข่งเพิ่มขึ้นนั้น ในที่สุดก็จะทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปเอง
การ วัดผลการลงทุน “แบบบัฟเฟตต์” โดยเฉพาะในเรื่องของการดู “คูเมือง” นั้น เป็นเรื่องเชิงคุณภาพที่วัดได้ยากมาก เช่นเดียวกัน การวัดผลกำไรของบริษัทเองนั้น บางครั้งก็เปรียบเทียบได้ยากเพราะอาจจะหาบริษัทที่มีลักษณะเหมือนกับบริษัท ยาก ดังนั้น การวัดผลแบบนี้จึงมักจะไม่มีใครใช้กันโดยเฉพาะที่เป็นสถาบันการลงทุนเช่นกอง ทุนรวมต่าง ๆ พูดง่าย ๆ คุณจะอ้างอย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้ว ตัวเลขว่าพอร์ตคุณกำไรกี่เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้วก็มักเป็นตัวตัดสินว่าคุณทำ ผลงานได้ดีแค่ไหน ส่วนบริษัทจะกำไรเท่าไรหรือบริษัทจะเข้มแข็งขึ้นแค่ไหนคุณก็ไม่ได้ประโยชน์ อะไรในระยะสั้น ถ้าราคาหุ้นมันไม่เพิ่มหรือกลับลดลง
การ วัดผลการลงทุนแบบ “มาตรฐาน” นั้น จะวัดโดยการเปรียบเทียบกับ Bench Mark หรือตัวเลขอ้างอิง ถ้าเป็นการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็คือเราจะเปรียบเทียบผลตอบแทนของเรา กับผลตอบแทนของตลาดในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งทั่ว ๆ ไปมักจะมองกันเป็นปี ๆ วิธีนี้เหมาะกับคนที่ “รับจ้าง” บริหารเงินเช่นบริษัทจัดการกองทุนรวมต่าง ๆ แต่จุดอ่อนก็คือ บางทีเราอาจจะชนะตลาดมาก เช่น ตลาดติดลบไป 20% และของเราติดลบไป 10% แบบนี้อาจจะดูว่าผู้บริหารเก่ง แต่ข้อเท็จจริงก็คือ เราก็ยังขาดทุนมากอยู่ดี มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
โดย ส่วนตัวผมเองนั้น ในการวัดผลการลงทุน ผมเองก็ยังเน้นที่มูลค่าพอร์ตเป็นหลัก แต่ผมจะเน้นว่าทุกปีผมจะพยายามทำให้พอร์ตมีมูลค่าเพิ่มขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่าการฝากเงินในธนาคาร ผมจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อย่างที่กอง ทุนรวมทำน้อย ผมคิดว่าการเปรียบเทียบกับตลาดนั้น ทำให้เราไขว้เขวจากการลงทุนแบบ Value Investment เพราะผลตอบแทนของตลาดหุ้นในแต่ละปีนั้น มักจะมาจากอิทธิพลของจิตวิทยาในตลาดมากกว่าเรื่องของผลประกอบการ ดังนั้น ถ้าผมพยายามที่จะวิ่งแข่งกับตลาดก็เท่ากับว่าผมให้ความสำคัญกับปัจจัยทาง จิตวิทยามากเกินไป
ผม ไม่ได้ละเลยปัจจัยทางพื้นฐานของกิจการ ว่าที่จริง ผมคิดว่าการลงทุนของผมนั้น ถ้าจะประสบความสำเร็จจริง ๆ นอกจากราคาหุ้นหรือมูลค่าพอร์ตควรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว กำไรของบริษัทโดยรวมจะต้องเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากกำไรแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะดูก็คือ ตัวเลขเม็ดเงินปันผลรวมที่ผมได้รับในแต่ละปีที่ควรจะเพิ่มขึ้นทุกปี และสุดท้ายก็คือ “คูเมือง” ที่บัฟเฟตต์พูดถึง นี่เป็นสิ่งที่ผมจะติดตามตลอดเวลา นั่นก็คือ ผมจะถือว่าเป็นปัจจัยบวกของบริษัทและเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความมั่นใจที่จะ ถือมันไปเรื่อย ๆ ตราบที่มันยังเข้มแข็งอยู่และเข้มแข็งเพิ่มขึ้น ถ้าบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นแต่คู่แข่งกลับมีความเข้มแข็งมากขึ้นและเริ่มเข้า มาคุกคามบริษัทอย่าง “น่ากลัว” แบบนี้ผมก็อาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้งมากกว่าที่จะถือหุ้นไว้แม้ว่ากำไรใน วันนี้จะเพิ่มขึ้น
สุด ท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ ในระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าทุกคนรวมทั้งตัวบัฟเฟตต์เองก็ต้องวัดผลการลงทุนจากเม็ดเงินของความ มั่งคั่งที่เกิดจากการลงทุน ความแตกต่างผมคิดว่าขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการ “ตัดสิน” ถ้าเราตัดสินกันโดยเอาเวลา 1 ปีเป็นที่ตั้ง เราก็มองแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราตั้งเวลาไว้ 3 ปี เราก็จะมองอีกแบบหนึ่ง สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ผมคิดว่าเขาให้เวลายาวมาก บางทีอาจจะเป็นสิบ ๆ ปี ดังนั้น การวัดผลการลงทุนของเขาจึงออกมาเป็นแบบที่กล่าว และสถิติการลงทุนของเขาก็พิสูจน์แล้วว่า เขาคิดถูกหรือใช้วิธีการวัดผลที่ถูกต้อง ในฐานะนักลงทุน ผมคิดว่าทุกคนควรมีมาตรฐานของตัวเองว่าจะดูอย่างไรว่า เราทำถูกหรือลงทุนถูกต้อง การใช้เพียงแค่ “ผลตอบแทนรายปี” เป็นเครื่องวัดเพียงอย่างเดียวนั้น ผมคิดว่าไม่เพียงพอ ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งเราอาจจะพบว่ามันเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง และเป้าหมายระยะยาวในการที่จะมี “อิสระทางการเงิน” อาจจะไม่บรรลุผล